ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 454 ปลาเค็มระเหเร่ร่อน

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 454 ปลาเค็มระเหเร่ร่อน

ความรู้สึกมึนศีรษะจู่โจมเข้ามาอย่างแรง รู้สึกสมองบวมเล็กน้อย และยังมีความรู้สึกคลื่นไส้อยู่บ้าง ทันใดนั้นราวกับท้องฟ้าสว่างไปหมด มองเห็นแต่สีขาวสว่างจ้าแสบตา

“ฮู่ว…” ทนายอันลุกขึ้นนั่งทันที พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกในขณะเดียวกัน เหมือนคนจมน้ำที่เพิ่งลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ ต้องการอากาศเป็นอย่างมาก

ถึงแม้จะไม่ได้ออกจากนรกกลับมาโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก แต่วิธีการไปกลับแบบนี้ทุกครั้ง ยังคงไม่เคยชินอยู่เหมือนเดิม ทรมาน ทรมานโคตรๆ

ฟ้าสว่างแล้ว เหนือศีรษะของเขามีกิ่งไม้และหญ้าทำเป็นเพิงอย่างง่าย ทนายอันพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนหินกรวดที่ทั้งเย็นและแข็งมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตัวเองปวดหลังขนาดนี้ แม่งเอ๊ย ถ้าหากนอนที่นี่หนึ่งคืนไม่แน่อาจจะเป็นโรคไขข้ออักเสบเอาได้ จากนั้นเขาก็เหลือบมองโจวเจ๋อที่นอนอยู่ข้างๆ

โจวเจ๋อมีหญ้าปูอยู่ใต้ร่างของเขาหนึ่งชั้น ตรงกลางยังมีผ้าห่มและหมอน มีแม้กระทั่งถุงน้ำร้อนสองสามใบอยู่ข้างๆ!

ทนายอันรู้สึกหดหู่ใจ เวลานี้ไป๋อิงอิงเดินมาพอดี เมื่อเห็นทนายอันลุกนั่ง เธอพูดขึ้นด้วยความดีใจ “ทนายอัน ในที่สุดเจ้าก็เป็นศพลุกได้แล้ว!”

“…” ทนายอันหดหู่ใจอีกครั้ง

“อ้าว เหล่าอันตื่นแล้วเหรอ” นักพรตเฒ่าเดินเข้ามา นั่งลงยองๆ แล้วพูดด้วยความสงสัย “ทำไมเถ้าแก่ยังไม่ฟื้นอีก”

“ใช่แล้ว ทนายอัน ทำไมเถ้าแก่ของพวกเรายังไม่ฟื้น” อิงอิงมองทนายอันด้วยความสงสัย

“ยังไม่ฟื้น เป็นไปได้ยังไง พวกเราออกมา…” ทนายอันไม่ได้พูดต่อ

‘มา เถ้าแก่ ดูท่าของผมนะ ทำตามผม ทำแบบนี้ก่อน…’ จากนั้นตัวเองก็กลับโลกมนุษย์แล้ว ซี้ด ทนายอันสูดปาก ตัวเองยังไม่ทันสอนเถ้าแก่ใช้วิชาคืนวิญญาณเลย! แย่แล้วๆ คราวนี้แย่แล้ว เถ้าแก่โดนจับส่งสุ่มไปที่อื่นแน่แท้แล้ว

“ทนายอัน รีบพูดสิ เถ้าแก่ไปไหนกันแน่” อิงอิงถามด้วยความร้อนใจ ถ้าหากเถ้าแก่ฟื้นแล้วทนายอันตาย เธอคงไม่ร้อนใจเหมือนตอนนี้

“เอ่อ…” ทนายอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดออกมา “เถ้าแก่ ไปเดินเล่นข้างนอก เขาบอกว่าอยู่ในร้านหนังสือทั้งวันอึดอัดมาก ดังนั้นจึงอาศัยโอกาสนี้เป็นวิญญาณเร่ร่อนท่องเที่ยวไปทั่วเหมือนดังที่ศาสนาเต๋ากล่าว อืม ลองออกไปใช้ชีวิต”

“เป็นไปไม่ได้!” อิงอิงพูดออกมาตามตรง “เถ้าแก่เขาเป็นคนขี้เกียจขนาดนั้น จะไม่กลับมานอนกอดข้าได้ยังไงแถมยังออกไปเดินเล่นข้างนอกเนี่ยนะ”

“…” ทนายอัน ใช่แล้ว เขาเป็นคนขี้เกียจมาก แต่ในช่วงคับขันแบบนี้ ตัวเองดันหาข้ออ้างผิดซะได้

“เฮ้อ อย่าใจร้อน อย่าใจร้อนไปเลย เถ้าแก่น่าจะกลับโลกมนุษย์มาแล้ว ตำแหน่งคร่าวๆ น่าจะอยู่แถวนี้ พวกเราลองหาดู แล้วเรียกวิญญาณของเขากลับเข้าร่างอีกครั้งก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

“อยู่แถวนี้ แถวนี้แถวไหน พวกเราจะรีบไปหา!” นักพรตเฒ่าแสดงท่าทีด้วยความจงรักภักดีอย่างยิ่ง “ข้าจะไปเรียกวิญญาณของเถ้าแก่กลับมา”

“อาจจะอยู่ในภูเขา และอาจจะอยู่ในเมือง หรือไม่ก็อยู่ในมณฑลนี้ วางใจได้ ไม่เกินขอบเขตมากไปหรอก น่าจะอยู่ในเขตหวาตง”

นักพรตเฒ่าที่กำลังจะเดินออกจากเพิงเล็กเพื่อตามหาเถ้าแก่ถึงกับตัวเซ เกือบจะลื่นล้มไปอยู่บนพื้น

พื้นที่ไม่ใหญ่มาก อยู่ในเขตหวาตง ตอนนี้อิงอิงเก็บแส้ขึ้นมา ทนายอันจำแส้เส้นนี้ได้ เป็นอันที่โจวเจ๋อเก็บได้ก่อนหน้านี้

“พวกเราตอนนี้ ไปตามหาเถ้าแก่ก่อน” อิงอิงกัดฟันพูด ขณะเดียวกันก็มองทนายอันด้วยแววตาล้ำลึก ผีดิบสาวรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งทะเลาะต่อว่ากัน แต่สายตานี้สื่อความหมายชัดเจนเป็นอย่างมาก ถ้าหากเถ้าแก่เป็นอะไรไปในท้ายที่สุด เธอจะสู้กับทนายอันสุดขาดใจ!

ทนายอันอยากจะอธิบายจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าเถ้าแก่ในฐานะที่เป็นยมทูตจะขี้เกียจจนไม่ได้เรียนแม้แต่มุทราคืนวิญญาณ แต่พอมองสีหน้าของอิงอิงในตอนนี้แล้ว เขาก็รู้ตัวว่าควรหุบปาก และไม่ควรใช้เหตุผลพูดกับผู้หญิงโดยเฉพาะเวลาที่ผู้หญิงโกรธจัด

ตอนที่ทนายอัน ‘ปิ้ว’ หายตัวไป ร่างกายของโจวเจ๋อก็เริ่มจาง ต่อจากนั้นคือหมอกเลือนราง มีหลายสิ่งคล้ายถูกยืดยาวและขยายออกไป อวัยวะรับสัมผัสไม่ได้สูญเสียการรับรู้ แต่กลับตาลปัตรไปทั้งหมด ทรมานยิ่งกว่าเสียการรับรู้เสียอีก ให้ความรู้สึกเหมือนเมารถคูณเข้าไปเป็นร้อยเท่า

โจวเจ๋อไม่แน่ใจว่าความรู้สึกแบบนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร ตอนที่เขาได้สติกลับมา พบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าประตูวัดแห่งหนึ่ง

ความรู้สึกอันตรายบุกโจมตีเข้ามาโดยอัตโนมัติ โจวเจ๋อไม่ทันได้สังเกตเหตุการณ์รอบๆ แต่เขารู้ดีว่าตัวเองต้องออกไปจากที่นี่

เขาเริ่มวิ่ง เทียบกับตอนที่ลอยล่องอย่างหมดหนทางหลังออกมาจากนรกตอนที่ตายครั้งแรก อย่างน้อยตัวเขาในตอนนี้ ถึงแม้จะอยู่ในสภาพของวิญญาณแต่ยังมีสติและวิ่งได้ ไม่งุนงงสับสนอย่างสิ้นเชิง

จริงๆ แล้วตัวของโจวเจ๋อก็รู้ดี ในทางโลกนั้น ศาสนสถานที่ ‘ศักดิ์สิทธิ์’ จริงมีน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นอารามเต๋า วัดของศาสนาพุทธ หรือโบสถ์ก็ตาม สามารถใช้ควบคุมสิ่งชั่วร้ายได้ถือว่าล้ำค่าและหายากโดยสิ้นเชิง

แต่โจวเจ๋อไม่กล้าเดิมพัน ถ้าหากตัวเองโชคร้ายดวงซวยขึ้นมาล่ะ โจวเจ๋อลอยล่องไปตามถนนเส้นนี้ไม่หยุด เขาพยายามหาและสำรวจตำแหน่งของตัวเอง เพราะจุดมุ่งหมายสุดท้ายคือตามหากายเนื้อของตัวเอง

แต่ยังยากอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามโจวเจ๋อจำได้ว่าตอนนี้กายเนื้อของตัวเองน่าจะอยู่ในภูเขา แต่ตอนนี้ตัวเองกลับอยู่ในเมือง รถราคราคร่ำ ผู้คนเดินขวักไขว่ ไม่เหมือนอยู่ในภูเขาลึกเลยด้วยซ้ำ

เขาเห็นขบวนรถปรากฏขึ้นมาข้างหน้า ขบวนรถขับช้ามาก ความเร็วไม่ต่างจากคนเดิน ข้างๆ ยังมีคนเดินตามขบวนรถด้วยความเคารพอยู่ไม่น้อย

ตอนแรกโจวเจ๋อไม่ได้สนใจ เขาให้ความสนใจสุนัขสีดำสองตัวที่มายืนอยู่ข้างตัวเองมากกว่า สุนัขสองตัวนี้ไม่รู้เกิดเป็นบ้าอะไร เห่าใส่เขาตลอดเวลา และคอยตามเขาด้วยความดุดัน

สุนัขที่ถูกเลี้ยงโดยทั่วไปจะขี้กลัวมาก ถึงแม้จะมองเห็นสิ่งอัปมงคล แต่ก็ไม่กล้าเห่าเสียงดัง ทว่าสุนัขป่าที่ไม่มีใครสนใจ มีความคล้ายคนเดินเท้าเปล่าไม่กลัวใส่รองเท้าแบบนั้น

โจวเจ๋อเตะไปหนึ่งที ตอนนี้เขาไม่มีร่างกาย แต่ระดับความแรงของวิญญาณไม่ใช่วิญญาณทั่วไปสามารถเทียบได้สุนัขสีดำตัวหนึ่งล้มหน้าคว่ำกลิ้งลงไปบนพื้น มันไม่ได้บาดเจ็บ แต่ดูซึมเซาไปไม่น้อย สุนัขอีกตัวหนึ่งเห็นดังนั้นจึงสงบเสงี่ยมลงเล็กน้อย มันย่ำเท้าเห่าอยู่กับที่ใส่โจวเจ๋อ แต่ไม่กล้าตามมา แบบนี้เรียกว่าเสือออกจากป่าไปอยู่ตามพื้นบ้านกลับถูกสุนัขรังแก

เถ้าแก่โจวถอนหายใจ เตรียมจะข้ามถนนไปดูฝั่งตรงข้าม มีร้านขายหนังสือพิมพ์อยู่ตรงนั้น เขาอยากดูหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็แผนที่นำเที่ยวที่ติดอยู่ในร้าน แค่นี้ก็น่าจะรู้ตำแหน่งของตัวเองแล้ว ต่อจากนั้นจะลอยไปที่ไหน จะติดต่อไป๋อิงอิงอย่างไร ก็เป็นเรื่องหลังจากนี้

เถ้าแก่โจวอยู่ในสภาพของวิญญาณเร่ร่อนอย่างแท้จริงก็รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไร เขาได้แต่ลองคลำหาทางไปเรื่อยๆ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกยินดีเพียงอย่างเดียวก็คือ ถึงแม้วิญญาณของเขากำลังจางหายไปอย่างช้าๆ แต่น้ำหนักตัวของตัวเองต่างจากน้ำหนักตัวตอนที่เขาตายครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง เขาจึงไม่ต้องกังวลว่า ‘วิญญาณจะแตกดับ’ เป็นการชั่วคราว

กระทั่งถ้าหากโจวเจ๋อเต็มใจ ยังสามารถกลายร่างเป็นผีร้ายได้ทุกชั่วขณะ ทว่าค่าตอบแทนหลังจากกลายเป็นผีร้ายกลับมากเกินไป เถ้าแก่โจวยังอยากกลับเข้าไปในร่างเดิมของตัวเองใช้ชีวิตนอนอาบแดดดื่มกาแฟอยู่ในร้านหนังสือต่อไป

ขบวนรถขับใกล้เข้ามาแล้ว แต่ก็ยังขับช้ามากเหมือนเดิม จนเกือบจะทำให้การจราจรติดขัด แต่โจวเจ๋อไม่สนใจเดินผ่านขบวนรถไป ไม่ว่าอย่างไรตัวเขาก็เป็นผี ไม่ต้องดูสัญญาณไฟจราจรอะไรอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ความรู้สึกที่เดินทะลุได้อย่างอิสระ เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่จริงๆ เหมือนได้เล่มเกมตัวใหม่ อยากเล่นให้สะใจสักสองสามตา ทว่าตอนที่โจวเจ๋อเดินทะลุผ่านรถตู้ เขาพลันตกตะลึงไปทั้งตัว

เขาเห็นพระใส่จีวรนั่งอยู่เต็มรถตู้ แต่พระที่อยู่บนรถคันนี้กลับไม่มีออร่าอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา ซึ่งในสายตาของผีแล้วคือ ‘ไม่มีพิษภัย’ ถือว่าเป็นพวกเอาแต่กินไม่ทำงาน

ถึงแม้พระกลุ่มนี้ดูเหมือนตั้งใจสวดมนต์กันอย่างจริงจัง แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีพลังในการทำร้ายเลย ยังไม่ต้องพูดถึงผีระดับโจวเจ๋อ แม้แต่ผีทั่วไปก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียว และหนึ่งในนั้นมีพระที่ค่อนข้างอ้วนรูปหนึ่งกำลังสวดมนต์อยู่ ตอนที่โจวเจ๋อเดินผ่าน พบว่าเขาเป็นพวกที่ปลอมปนเข้ามาให้ครบจำนวน กำลังท่องมนต์ ‘โดเรมอน’ อยู่ ไร้สาระแท้ๆ

อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ถึงแม้มันจะร้องว่า ‘ถ้าหากฉันมีคทานางฟ้าจะเสกให้กลายเป็นสาวสวยน่ารัก…’ แต่เมื่อท่องแทรกเข้าไปพร้อมกับเสียงสวดมนต์ของพระทั้งหลายกลับดูละมุนละไมเข้ากันได้อย่างกลมกลืน

ทว่าฉากที่เห็นต่อจากนี้ ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกหนังศีรษะชาขึ้นมาทันที ตำแหน่งตรงกลางรถที่นั่งล้อมรอบด้วยพระด้อยคุณภาพทั้งหลาย มีตู้กระจกใบหนึ่งวางอยู่ และมีกล่องไม้ใบหนึ่งวางอยู่ในตู้นั้น

ตอนที่โจวเจ๋อเดินผ่านในรถตู้ออกมา กล่องใบนั้นกลับเด้งเปิดขึ้นมาเอง และสิ่งที่คล้ายกับลูกแก้วสีสันต่างๆพลันส่องแสงขึ้นมาในทันใด!

นั่นคือแสงแห่งธรรมที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า! ความรู้สึกอันตรายอันยิ่งใหญ่จู่โจมเข้ามาทันที โจวเจ๋อรู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร มันคือสารีริกธาตุ และเป็นสารีริกธาตุของพระเกจิที่มีญาณสูงของจริงของแท้!

เขาคิดว่าตัวเองซวยถึงขั้นนี้เชียว ถึงขนาดข้ามถนนมาเจอขบวนรถขนย้ายสารีริกธาตุอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ตอนนี้เขาจะมาเสียใจที่ข้ามถนนไม่ดูสัญญาณไฟจราจรก็คงไม่ทันแล้ว

แสงแห่งธรรมสาดส่อง และดูเหมือนจะมองเห็นพระโพธิสัตว์จินกังเปล่งแสงทำหน้าตาถมึงทึงใส่หน้าเขา โจวเจ๋อจึงลอยกระเด็นออกไป แม้แต่สิ่งที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจของโจวเจ๋อก็แทบจะคำรามออกมาด้วยความโกรธสุดขีดเหมือนกัน

เห็นได้ชัดว่า โจวเจ๋อเจอดีเข้าแล้ว ไม่เพียงแต่ซวยมาถึงตัวเอง แม้แต่อิ๋งโกวที่ยังย่อยอาหารครั้งที่แล้วอย่างสงบก็ยังโดนผลกระทบไปด้วย

โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองรีบถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง และได้ยินเสียงลมพัดอยู่ข้างหูของเขาเพียงอย่างเดียว เหมือนทหารในสนามรบที่ถูกระเบิดระเบิดใส่กระเด็นลอยขึ้นฟ้า

บรรดาพระที่อยู่ในรถตู้ก็ตกใจ พวกเขามองไม่เห็นแสง แต่กล่องสารีริกธาตุที่ถูกล็อกอยู่ในตู้กระจกกลับเด้งออกมาด้วยตัวเอง ทำให้พวกเขาตกใจสุดขีด

หรือว่าตัวเองไม่จริงใจดังนั้นจึงเจอคำเตือนจากวิญญาณพระเกจิ โดยเฉพาะพระอ้วนรูปนั้นที่ท่องโดเรมอนถึงขนาดตกใจจนหน้าซีดขาว สองมือสองเท้าเริ่มสั่นระริก…

………………………………………………………………………..

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท