ตอนที่ 467 ผู้ชายสามวิของจริง
ฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ผลิบาน สรรพสิ่งฟื้นคืน ถึงฤดูกาลของการผสม…พันธุ์อีกครั้ง! พังพอน งู รวมทั้งลิงและแมวเหมือนเกิดอารมณ์พร้อมกัน พุ่งเข้าไปเช่นนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนป่าเก่าแก่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือย้ายถิ่นฐานมาที่ สวีโจว ยังดีที่ไอปีศาจกับไอวิญญาณแห่งความตายได้กระจายออกมา กลายเป็นหมอกควันคอยปกคลุมไม่ทำให้คนทั่วไปแถวนี้รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ และด้านหลังภูเขาเทียมที่อยู่ไม่ไกล โจวเจ๋อกับทนายอันยืนเรียงกัน ไป๋อิงอิงยืนอยู่ด้านหลัง
จริงๆ แล้วโจวเจ๋อก็คันไม้คันมือมาก อยากจะลงมือ แต่พอเห็นพี่ลิงไล่ต้อนชายชราใส่แว่นตาดำคนนั้นจนวิ่งหนีเตลิด และเห็นเทพเจ้าจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือทั้งสองกับแมวดำต่อสู้กับเงาดำอย่างไม่ด้อยไปกว่ากัน ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกว่าไม่รู้จะแทรกเข้าไปตรงไหน
เสียดายที่รีบมาเกินไป ไม่ได้นำเครื่องดื่มและเมล็ดแตงในห้องมาด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่น่าเบื่อแบบนี้ และสามารถมองออกว่า เทพเจ้าจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือทั้งสองรวมทั้งแมวดำตัวนั้น ร่างวิญญาณของพวกเขาดูเหมือนจะแข็งแรงมากกว่าแต่ก่อน สมุดหยินหยางถูกเก็บไว้กับเจ้าลิง ไม่รู้ว่าเจ้าลิงทำอย่างไร ถึงอยู่กับปีศาจเหล่านั้นได้อย่างกลมกลืน
พูดตามตรงอย่างไม่กลัวเสียหน้า หากเจ้าของสมุดหยินหยางตัวจริงอย่างเถ้าแก่โจวนำสมุดหยินหยางออกมาต่อสู้ บางทีปีศาจสองสามตัวที่อยู่ในนั้นอาจจะไม่ไว้หน้าเขา แต่ครั้งนี้พวกมันกลับช่วยกันไว้หน้าเจ้าลิง แถมยังสู้สุดชีวิต
“ยมทูตท้องถิ่นของสวีโจวล่ะ” โจวเจ๋อเอ่ย
ทนายอันหัวเราะ “ใกล้แล้วๆ เห็นน้ำที่อยู่ตรงศาลาไหม มีคนกระดาษลอยอยู่มากมาย วันนี้ที่นี่คึกคักมากกว่าที่คิดไว้เสียอีก เหมือนกำลังจัดงานเลี้ยง” ความหมายนอกเหนือจากคำพูดนี้คือ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้ต่อสู้
ชายชรามีประวัติที่ไม่แน่ชัด แต่การกระทำทุกอย่างของเขาจะต้องเป็นการทำความผิดร้ายแรงที่ไม่ได้รับอนุญาตจากยมโลก การตั้งซุ้มประตู และจงใจสร้างวิญญาณเพื่อเก็บวิญญาณ หากเป็นยุคโบราณ ก็เท่ากับตั้งตนเป็นใหญ่ฉีกธงเพื่อก่อกบฏ
ซึ่งหมายความว่า ต่อไปนี้คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับชายชรา จะถูกยมทูตที่จงรักภักดีต่อยมโลกและซื่อสัตย์ต่อกฎระเบียบมองว่าเป็นพวกกบฏและต้องถูกโจมตี
เวลานี้ด้านนอกประตูโรงแรม พระขี้เรื้อนที่สติฟั่นเฟือนกำลังเดินเข้ามา แต่ตอนที่เดินมาถึงหน้าทางเข้าสวนดอกไม้ เขากลับหยุดเดิน “อมิตาภพุทธ ทำไมในนี้คึกคักจัง ปีศาจก่อกวนสร้างความวุ่นวายเหรอ” พระขี้เรื้อนไม่ได้เดินเข้าไปข้างในต่อ แต่กลับเดินถอยหลังสองสามก้าว แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวนอกประตูทางเข้า ทันทีที่นั่งลง พระขี้เรื้อนก็ต้องสะดุ้งขึ้นมา หมุนตัวและตะโกนไปทางสวนดอกไม้ “ใคร ทำให้อาตมาตกใจ!”
ใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากดงดอกไม้ใบหญ้า หญิงสาวน่าจะอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี ใส่กระโปรงลายดอก กำลังนอนอยู่ในสวนดอกไม้โดยไม่กลัวเลอะ เธอมีผิวคล้ำเล็กน้อย ไม่ได้ผิวขาวมาก แต่ดูแล้วกลับสะอาดสะอ้านและแข็งแรงมาก
“โยมเองเหรอ ทำไมไม่เข้าไปล่ะ” พระขี้เรื้อนถาม เห็นได้ชัดว่าพระรู้จักเธอ
“ดอกไม้และต้นหญ้าแถวนี้บอกฉันว่า ข้างในอันตราย” เสียงของหญิงสาวน่าฟังมาก เหมือนเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วยามเช้า
“เหอะๆ” พระขี้เรื้อนนั่งลงอีกครั้ง “ก็จริง พวกเขาเป็นเจ้าบ้าน เชิญพวกเรามา พวกเราจึงเป็นแขก มีอย่างที่ไหนที่แขกจะเข้าไปช่วยเจ้าบ้านจัดการเรื่องของพวกเขา ต้องเก็บกวาดบ้านให้สะอาดแล้วค่อยเรียกแขกเข้าไปต่างหาก”
“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาบอกว่าจะให้ที่ดินปลูกดอกพลับพลึงแดงกับฉัน ฉันคงไม่มาที่นี่หรอกค่ะ”
รถเก๋งสองคันขับเข้ามา ผู้ชายสามคนกับผู้หญิงหนึ่งคนเดินลงมา ทั้งสี่คนวิ่งเข้าไปในโรงแรมโดยตรงด้วยท่าทางรีบร้อน
“นี่ พระ” หญิงสาวผิวคล้ำยื่นมือตีศีรษะของพระเบาๆ
“อย่าตีหัวของอาตมา ไม่อย่างนั้นอาตมาจะโกรธ”
“ไม่เอาน่า อย่าขี้งกไปเลย ท่านไม่เห็นเหรอ ยมทูตท้องถิ่นสามสี่คนของสวีโจว ถูกซื้อตัวไปหมดแล้ว”
“อืม” พระขี้เรื้อนพยักหน้า เมื่อครู่ที่เข้าไปก็คือยมทูตท้องถิ่นของสวีโจว
“ท่านคิดว่า รากของยมโลกเน่าขนาดนี้แล้ว มันจะล้มลงเมื่อไรเหรอคะ”
“รากของยมโลก เคยสะอาดด้วยเหรอ” พระขี้เรื้อนย้อนถาม
“เอ่อ…”
“เรื่องไร้สาระพวกนี้ คนแก่ที่บ้านของโยมไม่ได้บอกเหรอ”
“ไม่เคยค่ะ ดูเหมือนเธอมีเรื่องอยากจะบอกฉัน แต่ฉันรอไม่ไหว จึงจับเธอทำปุ๋ยปลูกดอกไม้แล้ว”
“เหอะๆ”
พระขี้เรื้อนทำสีหน้าหนักใจ สาวน้อยคนนี้ ทำให้เขารู้สึกกลัวเล็กน้อย อย่ามองว่าเธอเรียบง่ายขยันทำไร่ทำนา เพราะฝีมือที่แท้จริงของเธอรวมไปถึงหน้าตาที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ใต้ใบหน้านี้ เกรงว่าแม้แต่พระก็ต้องปวดหัว
“อย่างนั้นท่านลองพูดกับฉัน ฉันอยากรู้มาก ยมโลกถูกแต่ละฝ่ายกัดกินจนเต็มไปด้วยรูพรุน ได้ยินว่ายมทูตที่อยู่ข้างล่าง แล้วก็ผู้จับกุมและผู้ตรวจสอบทั้งหลาย ก็มีคนให้พึ่งพิงและถิ่นเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูเหมือนจะจบเกมแล้ว”
“สมัยโบราณกาล จักรพรรดิเหลืองส่งอิ๋งโกวไปเฝ้าทะเลแห่งความตาย ต่อมาภายหลัง อิ๋งโกวดับสิ้น นรกจึงถูกแยกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายจึงถูกผนึกด้วยไท่ซานฝู่จวิน และจัดระเบียบของนรกใหม่
แต่หลังจากไท่ซานฝู่จวินรุ่นสุดท้ายหายสาบสูญ นรกได้แตกแยกอีกครั้ง จนกระทั่งพญายมทั้งสิบและพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้เข้าไปอยู่อย่างเป็นทางการ ถึงได้จัดระเบียบใหม่อีกครั้งจนเป็นระเบียบยมโลกที่ใช้กันในปัจจุบัน พญายมทั้งสิบเป็นสัญลักษณ์ของยมโลก แต่ใครต่างก็รู้ดีว่า ตอนนี้ผู้ที่กุมอำนาจใหญ่ที่สุดคือพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ผู้ลึกลับ และพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เคยเอ่ยปณิธานไว้ว่า หากนรกยังไม่ดับสิ้นข้าจะไม่เข้าสู่นิพพาน เข้าใจไหม”
“เข้าใจอะไรคะ พูดมาดีๆ อย่ามาเล่นเกมปุจฉาวิสัชนา ฉันไม่มีค่าธูปเทียนให้ท่านหรอกนะ”
“ก็คือเขาอยากจะทำให้ยมโลกเน่าไปถึงข้างในกระดูก จากนั้นก็ให้พังลงมาเหมือนดินถล่ม ดังนั้นพันปีที่ผ่านมา หลังจากไท่ซานฝู่จวินรุ่นที่แล้วหายสาบสูญ ผู้บริหารระดับสูงที่ดูแลยมโลกตัวจริง จริงๆ แล้วคือรอคอยให้ยมโลกดับชีวิตด้วยตัวเอง เพียงแต่ระบบนี้มีหลักการดูแลในตัวมันเอง ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งถึงจะเล่นจนพัง”
“อ้อ แบบนี้นี่เอง อยากให้มันพังเร็วๆ จัง ถึงตอนนั้นไม่ต้องแยกโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์ ฉันก็จะสามารถปลูกดอกพลับพลึงแดงที่ไหนก็ได้ในโลกมนุษย์”
“อมิตาภพุทธ คนก็ส่วนคน ผีก็ส่วนผี เดิมเป็นหนึ่งเดียว กฎของการแยกโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์ อาตมาเจ็บปวดทรมานมานานแล้ว! ปณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ก็คือปณิธานของอาตมาเช่นกัน” พระขี้เรื้อนมีความเป็นแม่พระต่อวิญญาณทั้งหลาย
ด้านนอกโรงแรม พระหนึ่งรูปกับหญิงสาวคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนด้านในโรงแรม เมื่อมียมทูตสวีโจวอีกสี่คนเข้าร่วม ฉากการต่อสู้จึงยิ่งคึกคักขึ้นมาในทันที ยมทูตหญิงที่โจวเจ๋อเคยเจอก่อนหน้านี้ตอนนี้เธอยืนอยู่ข้างหลังชายชราใส่แว่นตาดำ คอยช่วยชายชราควบคุมเจ้าลิง
ส่วนยมทูตสวีโจวทั้งสี่คนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งปะทะกับปีศาจสองสามตัวโดยตรง และอาจจะทำงานอย่างกระตือรือร้นมากกว่างานของตัวเองด้วยซ้ำ
“หึ” โจวเจ๋อที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ จนขาเป็นเหน็บเริ่มถามอย่างไม่พอใจ “เหล่าอัน”
“ทำไมเหรอ เถ้าแก่”
“ยมทูตสองสามคนที่อยู่ฉางโจวถูกขุมอำนาจในนรกซื้อตัวไปแล้ว และยมทูตของสวีโจวทั้งห้าคนที่พวกเราเห็นอยู่นี้ก็ถูกซื้อตัวด้วยขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของชายชรา ทำไมทงเฉิงของพวกเราจึงไม่มีใครมาถามไถ่สนใจเลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทนายอันจึงเงียบทันที เพราะว่าคำถามของเถ้าแก่ตัวเองมีความแปลกจริงๆ เขาจึงไม่รู้จะตอบอย่างไร ก็เหมือนเวลาที่ทุกคนอยู่ในระบบเดียวกัน แผนกอื่นมีคนนำของมาติดสินบนเพื่อแสดงความเคารพอย่างต่อเนื่อง แต่แผนกของตัวเองเป็นหน่วยงานที่ไม่มีอะไรพิเศษ จึงไม่มีใครสนใจ
หัวหน้าแผนกเกือบจะแขวนป้าย ‘ข้าทุจริต’ ไว้หน้าประตูแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจ
ในความเป็นจริงนั้น ธุรกิจลักลอบนำเข้าสินค้าของทนายอันโจวเจ๋อเข้าเป็นหุ้นส่วนนานแล้ว จึงนับได้ว่าเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกันเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านเท่านั้น แต่จะว่าไป ตอนนี้ลองคิดดูก็จริงอยู่ ที่ผ่านมาไม่เคยมีขุมอำนาจไหนของนรกยื่นกิ่งมะกอกมาทางนี้ พร้อมกับโบกเงินก้อนโตพลางตะโกนว่า ‘ถ้าอยู่กับข้า จะมีเนื้อกิน!’ เลย
“หรือเป็นเพราะว่าชื่อเสียงของพวกเรายมทูตทงเฉิงดีเกินไป” โจวเจ๋อมองทนายอัน “ดังนั้นจึงไม่มีใครซื้อตัวพวกเรา”
“อาจจะ…ใช่ก็ได้”
“เหล่าอัน พวกเรายังคงปฏิบัติตามระเบียบเกินไปเหรอ” โจวเจ๋อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อไม่สบายใจก็ยิ่งคันมือ
“ดังนั้น พวกเราจึงยิ่งต้องจัดการพวกเขาให้ดี บอกให้โลกรู้ว่า พวกเรายมทูตทงเฉิงก็เก่งเหมือนกัน และสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง จัดการพวกเขาให้หนักๆ ไปเลย ฆ่าให้หมดได้ยิ่งดี ราคาของพวกเราจะได้สูงขึ้น”
ทนายอันเริ่มพูดเกลี้ยกล่อม โจวเจ๋อกลับหัวเราะอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “เหล่าอัน ทำไมผมรู้สึกว่าคุณกำลังผลักผมลงหลุมไฟ”
“จะเป็นไปได้ยังไง ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ถึงแม้จะไม่เพิ่มราคาให้ตัวเอง แต่อย่างน้อยก็สามารถบอกขุมอำนาจต่างๆ และภูตผีปีศาจตามป่าเขาว่า ต่อไปจะก่อเรื่องก็ได้ แต่อย่ามาก่อเรื่องที่ทงเฉิง ไม่อย่างนั้นต้องลองชั่งน้ำหนักของตัวเองดูว่ามีความสามารถพอไหม ถ้าเป็นแบบนี้ เถ้าแก่คุณสามารถนอนอาบแดดได้อย่างสบายใจเลย”
ส่วนทางโน้น เมื่อมียมทูตทั้งสวีโจวทั้งห้าคนมาเข้าร่วม พวกสัตว์โลกทั้งหลายจึงเริ่มทานกำลังไม่ไหว เริ่มหมดแรงอย่างเห็นได้ชัด และน่าจะถึงเวลากลายร่างของเจ้าลิงน้อยแล้ว
วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ คืนนี้เพระจันทร์ค่อนข้างกลมสวย ซึ่งอาจจะมีผลช่วยเจ้าลิงอยู่บ้างใช่ไหม ดูเหมือนเจ้าลิงจะชอบพระจันทร์เต็มดวง
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ตอนนี้เป็นตอนกลางวันแสกๆ ยังห่างจากตอนกลางคืนที่มีพระจันทร์โผล่ออกมา
“มา ช่วยกันจัดแจงเป้าหมายก่อน เงาสองคนนั้น เป็นของเหล่าอัน ชายชราใส่กางเกงขาสั้นสวมแว่นกันแดด อิงอิงคุณรับผิดชอบ”ความหมายนอกเหนือจากนี้คือ ยมทูตสวีโจวที่เหลืออีกห้าคนเป็นของโจวเจ๋อ
“กระเพาะใหญ่จริงๆ ระวังจะแน่นพุงเกินไป” ทนายอันหัวเราะ พุ่งตัวออกไปทันทีแล้วตะโกนเสียงสูง “ยมโลกมีกฎระเบียบ กฎแห่งความตายไร้ความปรานี สลาย!” เขาท่องคาถาใส่เงาทั้งสองโดยตรง!
“เถ้าแก่ สู้ๆ นะเจ้าคะ!” ไป๋อิงอิงคุกเข่าข้างหนึ่ง ร่างกายที่แข็งแกร่งของผีดิบสาวเริ่มปรากฏออกมา เธอเป็นผีดิบที่มีอายุนานสองร้อยปี ทั้งยังได้รับการหล่อเลี้ยงจากโจวเจ๋อมาตลอด จึงทำให้เธอมีความพิเศษมากขึ้น
ทันใดนั้นตัวเธอพุ่งออกไปเหมือนลูกกระสุน กระแทกลงไปที่ตัวของชายชราโดยตรง เนื่องจากสถานการณ์การต่อสู้มีคนเข้ามาร่วมอีกสองคนอย่างกะทันหัน จึงยิ่งวุ่นวายในพริบตา ยมทูตสวีโจวทั้งห้าตกตะลึงเล็กน้อย ทำไมวันนี้แขกที่ไม่ได้รับเชิญถึงเยอะขนาดนี้
และเวลานี้ โจวเจ๋อได้เดินออกมา ในฐานะของเถ้าแก่ เขาจะต้องออกมาเป็นคนสุดท้าย พร้อมกับเพลงประกอบพื้นหลังถึงจะเข้ากัน เสียดายนักพรตเฒ่าที่ถนัดด้านการเปิดเพลงประกอบพื้นหลังอยู่อีกด้านหนึ่ง จึงไม่สามารถให้ความร่วมมือกับเขาได้ เขาจึงเสียใจเล็กน้อย
โจวเจ๋อแบมือของตัวเอง มองเล็บทั้งห้านิ้วของตัวเองงอกยาวออกมาช้าๆ ความรู้สึกที่คุ้นเคยบุกโจมตีเข้ามาแล้วเขาพูดเบาๆ ว่า “กา…” เอ่อ พอลองคิดดูแล้ว ต้องใส่ใจอารมณ์ของคนผู้นั้นด้วย เขาจึงหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นโจวเจ๋อจึงพูดต่อ “พลิกเมฆา!”
‘ครืดๆๆๆๆ!!!!!’ โซ่ตรวนสีดำห้าเส้นพุ่งออกมาจากใต้ดิน รัดตัวของยมทูตสวีโจวทั้งห้าคนในพริบตา
โจวเจ๋อพลางคิดในใจว่า มันหนาขึ้นและมีสีดำมากกว่าเดิม แต่ไม่ขัดต่อการเคลื่อนไหวของเขา แล้วพูดเบาๆ ต่อว่า “คว่ำพิรุณ!”
‘ครืด!’ โซ่ตรวนเหมือนถูกดึงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ยมทูตทั้งห้าคนที่ถูกรัดตัวเมื่อครู่ยังไม่ทันได้ดิ้นรนก็ถูกดึงลงไปติดกับพื้นแล้ว เพียงชั่วครู่เดียว เงาร่างของยมทูตทั้งห้าลงไปกองกับพื้นด้วยสภาพที่ดูไม่ได้
ความรู้สึกแบบนี้สบายใจจริงๆ โจวเจ๋อกำลังดื่มด่ำกับรสชาติของความสุขที่เปิดตัวมาก็ข่มอีกฝ่ายได้ทันที ต่อจากนั้นเขาเริ่มมึนหัว หายใจหอบ เหมือนคนเป็นหืดหอบคุกเข่าลงกับพื้นโดยตรงแล้วอ้าปากหายใจพะงาบๆ ไม่หยุด
หมดแรงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะหมดแรง โจวเจ๋อเองก็คิดไม่ถึง เขาเพิ่งเก๊กเท่ได้แค่สองสามวินาที แต่ตอนนี้โจวเจ๋อกลับได้ยินเสียงที่ไม่อยากฟังที่ส่งผ่านมาจากส่วนลึกสุดของหัวใจ “เร็ว…จริงๆ…นะ…”
………………………………………………………………………..