ตอนที่ 499 พ่อ!
“เพิ่มน้ำตาล!”
อีกทั้งครั้งนี้โจวเจ๋อยังใจกว้างเป็นพิเศษ กลัวเด็กน้อยจะกินไม่อิ่ม ฉะนั้นคราวนี้จึงเพิ่มน้ำตาลให้เขาไปเลยสิบก้อน!
เถ้าแก่โจวใช้ชีวิตแบบอดออมมาโดยตลอด คราวนี้ขูดเลือดขูดเนื้อครั้งใหญ่จริงๆ!
‘พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ!’
เล็บทั้งสิบนิ้วหลุดออกจากปลายนิ้วของโจวเจ๋อ และพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วทันที!
ในชั่วพริบตา โจวเจ๋อเจ็บปวดจนแทบจะเป็นลม โชคดีที่ฝืนดึงสติเอาไว้ไม่ให้เป็นลมล้มพับไป คราวก่อนตอนเผชิญหน้ากับชุ่ยฮวาตรงริมฝั่งแม่น้ำที่มีศพถูกฝังไว้ โจวเจ๋อยิงเล็บออกไปแค่นิ้วเดียว แต่คราวนี้ตั้งสิบนิ้ว!
คู่ต่อสู้ต่างกัน เป้าหมายต่างกัน ผีดิบน้อยตัวนี้หนังเหนียวกว่าชุ่ยฮวามาก และน่ากลัวกว่าด้วย
หากโจวเจ๋อมีทางเลือกอื่นละก็ แน่นอนว่าโจวเจ๋อไม่ยอมกระเสือกกระสนอย่างนี้หรอก สิบนิ้วเชื่อมใจ ความเจ็บปวดประเภทนี้คนธรรมดาจินตนาการไม่ออกหรอก ครั้งก่อนเล็บหักไปแค่นิ้วเดียวยังเจ็บปวดจนไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ครั้งนี้ดันอยู่ในรังของชาวบ้าน ประจวบเหมาะกับคนเขาอยากจัดการโจวเจ๋อแล้วตามยอดรักในดวงใจของเขาไปเร็วๆ
โจวเจ๋อกังวลว่าหากดันทุรังต่อไป ผีเจ้าป่าเจ้าเขา ผีไร้ญาติข้างนอกจะพากันกรูเข้ามา ถึงตอนนั้นหากเขาตกอยู่ท่ามกลางสงครามประชาชีอีกครั้งก็เป็นอันจบสิ้น
เล็บสิบนิ้วราวกับสายฟ้าฟาดสิบสายพุ่งไปตรงหน้าเด็กชายทันที
รูม่านตาของเด็กชายหดตัวลงชั่วขณะ เล็บของเขาโบกสะบัดตามสัญชาตญาณ
‘ปัง!’
‘ปัง!’
สกัดกั้นเล็บได้สองนิ้วต่อเนื่องกัน ปลายนิ้วของเด็กชายเองมีเลือดพวยพุ่งออกมาเช่นกัน ร่างกายถอยกรูดไปชั่วครู่ เล็บมาเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้ตัวแล้วว่าฉิบหายแล้ว!
เล็บอีกแปดนิ้วตามมาติดๆ ทิ่มแทงร่างของเขาอย่างไร้ความปรานี เมื่ออยู่ต่อหน้าเล็บของโจวเจ๋อร่างผีดิบแสนโอหังของเขาดูเหมือนว่าไม่ได้แข็งแกร่งจนทำลายไม่ได้อย่างที่ตัวเองจินตนาการเอาไว้
“อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!” เด็กชายกรีดร้องลั่นยาวรัวเป็นชุด ร่างหงายหลังลอยละลิ่วออกไปกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลัง เล็บแปดนิ้วแยกกันตอกเข้าไปในลำตัวของเขา และตรึงทั้งร่างไว้บนกำแพงแน่น
โจวเจ๋อคลานขึ้นมาอย่างเงียบๆ ความเจ็บปวดทำให้สีหน้าของเขาเริ่มเหยเก แต่เขาก็ยังเดินโซเซตรงไปใต้ร่างของเด็กชาย
เลือดสีดำกำลังไหลรินออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์แปดจุดบนตัวเด็กชาย เลือดของเขาให้เนื้อสัมผัสคล้ายกับน้ำมัน เด็กชายอ้าปากพะงาบๆ อยากพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพบว่าไม่สามารถพูดอะไรได้ ร่างกายของเขาแข็งทื่อพยายามขยับตัวแต่ก็ไร้ประโยชน์
โจวเจ๋อฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองออก ใช้ฟันกับศอกพันแผลให้มือทั้งสองข้างของตัวเขาเอง นี่เพียงเพื่อห้ามไม่ให้เสียเลือดมากเกินไปจนตัวเองล้มลง แต่หากไม่ได้จัดการรักษาเป็นเรื่องเป็นราวละก็ อาการบาดเจ็บก็จะแย่ลงเรื่อยๆ
“แกทำมาจากอะไรกันแน่เนี่ย ยังไม่ตายอีก”
โจวเจ๋อมองผีดิบน้อยอย่างประหลาดใจเล็กน้อย มิน่าล่ะถึงได้โอหังขนาดนี้ อีกฝ่ายมีทุนให้หยิ่งยโสจริงๆ นั่นแหละ เขามอบน้ำตาลให้อีกฝ่ายไปตั้งสิบก้อนแล้ว เจ้าตัวยังดิ้นทุรนทุรายตายยากเหมือนแมลงสาบอยู่เหมือนเดิม ไม่มีเค้าส่อให้เห็นว่าจะตายทันทีเลยด้วยซ้ำ
ยังดีที่มีสิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อโล่งใจ นั่นก็คือตอนนี้เจ้าหมอนี่กลายเป็นตุ๊กแกที่หางถูกตรึงไว้ ดูเหมือนว่าแววตายังอาฆาตมาดร้ายดังเดิม แต่กัดใครไม่ได้อีกแล้ว
ในโลกนี้ นอกจากบั๊กอย่างเจ้านั่นในร่างของเขา ผีดิบระดับคล้ายเด็กชายแบบนี้น่าจะหายากละมั้ง
เดิมทีโจวเจ๋ออยากใช้มือของตัวเองจับหน้าเขาเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นมือของตัวเองถูกพันจนเหมือนหมั่นโถว คิดๆ แล้วก็ช่างมันเถอะ แล้วใช้เท้าเตะๆ ถีบๆ เจ้าหมอนี่แทน
“ฉันไม่ได้หลอกแก ฉันเป็นบรรพบุรุษของแกจริงๆ”
เด็กชายถลึงตามองด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าในมุมมองของเขา นี่เป็นความอัปยศอดสูอย่างหนึ่งที่โจวเจ๋อมอบให้ในฐานะผู้ชนะ โจวเจ๋อกำลังลิ้มรสความตื่นเต้นของการเป็นผู้ชนะ!
เมื่อมองแววตาเกรี้ยวกราดของเด็กชาย ตอนนี้โจวเจ๋อนับว่าสัมผัสได้ถึงความจนใจของอิ๋งโกวในคืนนั้นแล้ว เขาเพียงบอกความจริงกับพระขี้เรื้อนว่า ‘ตอนที่ข้าเกิด โลกนี้ไร้พุทธะ’ แค่ประโยคเดียวเหมือนกัน กลับเป็นผลให้พระขี้เรื้อนถูกกระตุ้นจนคลุ้มคลั่งระเบิดจักรวาลขนาดย่อมออกมาทันทีเพื่อต่อกรกับอิ๋งโกว และเกือบจะเรียกพระพุทธเจ้าลงมาได้แล้ว
เขากัดฟัน พูดตามจริงแล้ว เรื่องที่เกิดในคืนนั้นช่างน่าเสียใจจริงๆ ถ้าเขาไม่ถูกพิษละก็ อาศัยแค่ความสามารถของเขาก็น่าจะรับมือได้แท้ๆ อย่างน้อยๆ ก็สามารถจากไปได้อย่างสบาย ผลปรากฏว่าดันทำจนกลายเป็นอย่างเช่นตอนนี้ ตอนที่อยากได้พลังของอิ๋งโกวเจ้านั่นดันนอนหลับสนิทเสียได้
เล็บสิบนิ้วเอ๋ย เล็บทั้งสิบนิ้วเอ๋ย!
โจวเจ๋อพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อยากจะหาอะไรมาทุบเจ้าหมอนี่ให้ตายๆ ไปเสีย แต่ดูจากระดับความหยาบกร้านและความหนาของผิวหนังนี่แล้ว บวกกับตอนนี้เขาไม่มีเล็บแล้วด้วย จะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายอย่างไรดี
โจวเจ๋ออ้าปาก หรือว่ากัดเขาให้ตายดี
ตัดหญ้าให้ถอนรากถอนโคน มันเป็นหลักการที่ทุกคนต่างรู้กันดี
คราวที่แล้วปล่อยให้พระขี้เรื้อน ‘หนี’ ไป โจวเจ๋อไม่สบอารมณ์อยู่นาน คราวนี้เขาไม่อยากเก็บคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวกว่าพระขี้เรื้อนไว้ให้กลับมาแก้แค้นเขาอีกในอนาคต
แต่ทว่า ตอนที่โจวเจ๋ออ้าปาก กลับพบว่าเขี้ยวของเขาหายไปแล้ว คาดว่าวันนี้คงเหนื่อยเกินไป ใช้พลังเกินขีดจำกัดจึงไม่สามารถเปิดใช้สภาวะผีดิบได้อีก
เว้นเสียแต่ว่าโจวเจ๋อจะยอมนั่งลงที่นี่และพักผ่อนไปสักครึ่งค่อนวัน คาดว่าถึงตอนนั้นค่อยพยายามแยกเขี้ยวออกมากัดเจ้าหมอนี่ตายอีกครั้งก็น่าจะได้
แต่ที่นี่ดันเป็นรังของคนอื่นเขา โจวเจ๋อไม่บ้าบิ่นได้ขนาดนั้นจริงๆ หรอก
“เจ้าเด็กน้อย ฉันขอเตือนแกต่อไปอย่าได้คิดแก้แค้นเชียว ไม่งั้นแกได้ตายอนาถแน่ จริงๆ นะ”
โจวเจ๋อเตือนด้วยความปรารถนาดี เป็นความห่วงใยผู้เยาว์จริงๆ อีกทั้งโจวเจ๋อก็ไม่ต้องการให้เจ้าหมอนี่จู่ๆ มาโผล่อยู่นอกหน้าต่างตอนที่เขากำลังนั่งดื่มกาแฟ อ่านหนังพิมพ์อยู่บนโซฟาในอนาคตหรอกนะ
ถ้าครั้งหน้าพบเจออีก เทียบกับเล็บสิบนิ้วหักแล้ว โจวเจ๋อยอมปล่อยอิ๋งโกวออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ดีกว่า ถือโอกาสให้เขาสั่งสอนเจ้าเด็กน้อยนี่ว่าอะไรคือการพัฒนาคุณธรรม สติปัญญา ร่างกาย ศิลปะ และแรงงาน
แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อเผชิญกับคำเตือนที่ปรารถนาดีของโจวเจ๋อ ในหูของเด็กชายคงจะเป็นอวดดี! ยั่วยุ! อดสู! ไปแล้วแน่ๆ
เถ้าแก่โจวเตะขาเจ้าหมอนี่อีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ลาก่อน” จากนั้นวิ่งออกไปตามทางที่ปูด้วยก้อนอิฐสีเทา เล็บไม่เหลือแล้ว แถมร่างกายยังเสียเลือดอีก โจวเจ๋อไม่รู้ว่าเขาจะฝืนทนได้นานแค่ไหน แต่ต้องลองพยายามหนีออกไปข้างนอกดู
ทว่าสิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อแปลกใจคือ เมื่อวิ่งมาจนถึงซุ้มประตูที่มีข้ารับใช้ดูแลก่อนหน้านี้ เขาดันไม่เจอใครเลย แม้กระทั่งข้ารับใช้สองคนที่ประตูก็หายไป
โจวเจ๋อเดินออกไปข้างนอกต่อ โต๊ะงานเลี้ยงทางนู้นแขกเหรื่อยังแน่นขนัดเหมือนเดิม ทุกคนยังดื่มกินเหมือนผีหิวโหย การแสดงนี้ดำเนินไปหลายชั่วโมงแล้วก็ยังคึกคักขนาดนี้
สิ่งนี้ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกได้ทันทีว่าคนเหล่านี้ค่อนข้างมีความสุขทีเดียว น่าเสียดายที่ผีดิบน้อยไม่ได้แต่งงานทุกวัน ไม่อย่างนั้นวิญญาณเหล่านี้คงมีงานเลี้ยงทุกวันไปแล้ว
ดื่มเหล้าที่ไม่มีวันดื่มหมด
กินอาหารที่ไม่มีวันกินหมด
อันที่จริง สิ่งที่มนุษย์บนโลกจำนวนไม่น้อยตามหาอยู่ ไม่ใช่สิ่งนี้หรอกหรือ
กระทั่งตอนที่เดินผ่านโต๊ะนั้นที่เขาเคยนั่งอยู่ก่อน ผีฝรั่งทั้งเจ็ดที่โต๊ะยังยกจอกเหล้าขึ้นทักทายโจวเจ๋ออยู่เลย ช่างสะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพแห่งการปฏิวัติที่ลึกซึ้ง ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้โจวเจ๋อก็พล่ามด่าพรรคริพับลิกันกับพวกเขา ในสายตาของพวกเขาโจวเจ๋ออยู่ฝ่ายตัวเอง
ฝรั่งสาวคนนั้นยังถามโจวเจ๋อเป็นภาษาอังกฤษว่าเพื่อนข้างๆ เขาไปไหนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าที่เธอถามถึงคือทนายอัน คนอย่างทนายอันนิสัยเหมือนหมา มีวิธีรับมือกับสาวๆ อย่างร้ายกาจมาก แต่ว่าอย่าพูดถึงเลย คาดว่าทนายอันคงไปแล้วละ ต่อให้เขาอยู่ที่นี่ หลังจากเจอศพฝรั่งสาวคนนี้แล้วก็น่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเธอแล้ว
โจวเจ๋อยิ้มให้พวกเขา แต่ในใจกลับคิดไตร่ตรอง หรือว่าเจ้าผีดิบน้อยนั่นอวดดีจนนึกว่าตัวเองสามารถจัดการทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้ ถึงกับไม่แจ้งให้ภายนอกรับรู้ด้วยซ้ำ
สถานที่อย่างลานเล็กๆ นั่น เป็นสถานที่ที่เจ้าผีดิบน้อยซุกซ่อนสาวงามไว้ เดาว่าวิญญาณรับใช้ตนอื่นไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่ามกับที่นั่นสินะ
ฉะนั้น เขาสามารถเดินวางท่าออกไปอย่างนี้ได้เลยใช่ไหม
ไม่เลวเลยทีเดียว ในเมื่อช่วยหลินเข่อได้แล้ว ทนายอันก็น่าจะพาเธอออกไปแล้ว
หลังจากเขาออกไปแล้ว เรื่องก็น่าจะจบลงได้ชั่วคราวพร้อมใส่จุดจบประโยคได้แล้ว
กลับบ้าน
รักษาบาดแผล
เตียงใหญ่ๆ หนังสือพิมพ์ กาแฟ
ทว่าเดือนถัดไปเถ้าแก่โจวคงไม่อยากเติมน้ำตาลลงในกาแฟอีกแล้ว
หลังจากเดินออกไปข้างนอกตามความจำเดิม เมื่อใกล้จะถึงนอกถ้ำที่ตกลงมาตั้งแต่แรกสุด จู่ๆ โจวเจ๋อก็หยุดฝีเท้า หันข้างและหลบเข้าไป
เห็นแค่ปากถ้ำมีข้ารับใช้แต่งชุดดำยืนเรียงเป็นตับ หญิงชราตาเขียวในชุดดำกำลังยืนสั่งสอนลูกน้องอยู่ตรงนั้นในเวลานี้ สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อตะลึงก็คือ ยังมีตัวอะไรบางอย่างหมอบอยู่ใต้เท้าของหญิงชรา พอมองอย่างละเอียดดีๆ แล้ว ปรากฏว่าเป็นแบดเจอร์ตัวนั้น!
“วันแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของนายท่าน กลับมีคนนอกแอบเข้ามาอย่างไม่คาดคิด! นี่เป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงของลูกน้องอย่างพวกเรา! หากนายท่านรู้เข้า โมโหโกรธาขึ้นมา แม้แต่เป็นผีพวกเราก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็น!
พวกเจ้าทั้งหลายไปเรียกคนมาเพิ่ม ปิดทางเข้าออกทั้งหมด ส่วนคนอื่นๆ แจ้งให้คนรับใช้อื่นๆ ในสถานที่ทราบและไปตามหากับข้า จะต้องจับคนที่แอบเข้ามาให้จงได้!
สำหรับแขกเหรื่อที่ฉลองอยู่ อย่าเพิ่งรบกวนพวกเขา อย่าทำให้บรรยากาศงานเลี้ยงแต่งงานของนายท่านพัง แต่ส่งคนไปตรวจสอบยืนยันตัวตนพวกเขาทีละคน!”
หญิงชราตำหนิเสร็จก็เตรียมพาคนออกไป โจวเจ๋อเห็นเช่นนี้แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป ในตอนนี้ย้อนกลับไปทางเดิมไม่ได้แล้ว
ตอนนี้คิดๆ ดูแล้วรุ่นถู่ฆ่าแบดเจอร์ทิ้งเป็นการผดุงธรรมแทนสวรรค์แล้วจริงๆ เจ้าตัวนั้นดันรู้จักบอกความลับเป็นเสียด้วย แต่โชคดีที่จมูกของมันไม่ไวเท่าเจ้าหมาบ๊อกๆ ไม่อย่างนั้นตัวเขาคงซ่อนไม่มิดจริงๆ
คนรับใช้ที่กำลังเสิร์ฟเหล้าอยู่รอบๆ ดูเหมือนจะทยอยได้รับแจ้งต่างเริ่มวางงานในมือลง
จู่ๆ หัวใจโจวเจ๋อเหมือนหยุดเต้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าที่ที่ปลอดภัยที่สุดเป็นลานเล็กๆ ที่ผีดิบน้อยถูกเขาตรึงไว้ แต่เขาวิ่งออกมาแล้วจะให้วิ่งกลับไปอีก มันเป็นเรื่องบ้าอะไรกัน
อีกทั้งอาการเสียเลือดก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ถ้ายังไม่หาที่ดีๆ จัดการบาดแผลของเขาละก็ อาจจะเป็นลมล้มตึงไปเลยก็ได้
ตอนนี้เอง จู่ๆ หญิงชราก็พาคนดินออกมาจากฝั่งตรงข้ามโจวเจ๋อได้อย่างไรไม่รู้ ดูท่าทางรีบร้อนคล้ายกับเป็นเสนาธิการ
โจวเจ๋อสะดุ้งโหยง เมื่อกำลังคิดว่าจะวิ่งหลบไปทางไหนดี ทันใดนั้นก็มีมือปริศนามาจับไหล่ของเขา
“เถ้าแก่ ผมเอง!” เป็นเสียงของทนายอัน
โจวเจ๋อไม่ขัดขืน และถูกทนายอันดึงเข้าไปด้านในประตู
ที่นี่คือห้องเก็บของ เห็นเหล้าแต่ละไหจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าจะเป็นโรงเหล้าและห้องบ่มเหล้าละมั้ง เหล้าที่ทุกคนดื่มในงานเลี้ยงน่าจะมาจากที่นี่แหละ
ทนายอันลากโจวเจ๋อเข้ามาที่นี่และปิดประตูทันที จากนั้นไม่รอให้โจวเจ๋อได้เอ่ยถาม รีบลากโจวเจ๋อไปซ่อนในห้องด้านในทันที
‘โครม!’
ประตูถูกผลักออก หญิงชราพาข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งเข้ามา
“นักต้มเหล้า เห็นคนแปลกหน้าหรือไม่” หญิงชราตะโกน
มาตามหาถึงที่นี่แล้วเรอะ
โจวเจ๋อตะลึงงัน ตอนนี้เขาไม่มีความสามารถแม้แต่จะต่อสู้ดิ้นรน
ใครจะรู้ว่าในเวลานี้เองจะมีเสียงดังลอดออกมาจากข้างนอก “เรียนแม่ย่า ไม่เจอเลยขอรับ ไม่เห็นแม้แต่เงาคน กระผมกำลังพัลวันอยู่กับการต้มเหล้าอยู่ตรงนี้ หายากนักที่คนด้านนอกเหล่านั้นจะได้ใช้ประโยชน์จากงานแต่งงานของนายท่านเพื่อมากินมาดื่ม เหล้าพวกนี้ส่งออกไปข้างนอกรวดเร็วนัก ถ้าแขนขากระผมไม่ว่องไวกว่านี้ เหล้าในงานเลี้ยงคงจะขาดตอนแล้วจริงๆ”
หญิงชราพยักหน้าพูด “งานแต่งอันยิ่งใหญ่ของนายท่านจะขาดสุราเมรัยได้อย่างไร เจ้ารีบหน่อย อีกอย่าง หากพบเจอคนแปลกหน้าหรือใบหน้าไม่คุ้นเคยให้รีบรายงานข้าได้ตลอดเวลา”
“ขอรับ ทราบแล้วขอรับ ท่านวางใจได้ แม่ย่าค่อยๆ เดินนะขอรับ ครั้งหน้าว่างๆ ก็มาก๊งเหล้ากัน กระผมจะตระเตรียมเหล้าอย่างดีให้ท่าน!”
หญิงชราพาลูกน้องออกไปพร้อมปิดประตู
โจวเจ๋อถึงได้หันหน้าไปมองทนายอัน พูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “เดี๋ยวนะ ทำไมคุณยังไม่ออกไปอีก”
เล็บทั้งสิบนิ้วของเขาหัก พยายามอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อมอบทั้งโอกาสและเวลาให้อีกฝ่ายได้ออกไป แต่ไอ้หมอนี่ยังเตร็ดเตร่อยู่ในนี้งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่รั้งอีกฝ่ายไว้ช่วยเขาต่อสู้กับผีดิบเสียเลยเล่า
บางทีเล็บของเขาอาจจะหักน้อยลงสักสองสามนิ้ว อย่างน้อยๆ ก็ให้ทนายอันนิ้วหักเป็นเพื่อนเขาสักสองสามนิ้ว เขาอาจจะรู้สึกยุติธรรมขึ้นมาหน่อย
“เถ้าแก่ ผมก็อยากไป แต่ทางออกที่เราเข้ามา ถูกจัดการควบคุมไว้หมดแล้ว” ทนายอันยิ้มขมขื่น
“หญิงชราคนนั้นอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ แต่ข้ารับใช้ไม่กี่คนนั้นคุณเอาไม่อยู่หรือไง”
โจวเจ๋อยอมรับในความสามารถของทนายอันมาก หากไม่ปลุกอิ๋งโกวให้ตื่นขึ้น โจวเจ๋อก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรตอนนั้นเขาก็เป็นถึงผู้ตรวจสอบที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะถอดรูปเปลี่ยนตัวตนเสียใหม่ จนเสียความสามารถส่วนหนึ่งไป แต่จะดูถูกไม่ได้เด็ดขาด
“เถ้าแก่ ผมปวด ผมปวดท้อง…” ทนายอันชี้ท้องของเขาแล้วเอ่ย “ปวดจนผมกลัวไปหมด ทนไม่ไหวแล้ว หน้ามืด ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง”
ตอนนี้โจวเจ๋อถึงได้พบว่าสีหน้าของทนายอันซีดเผือด ริมฝีปากคล้ำ แม้แต่นิ้วทั้งสิบของเขายังเป็นสีซีด ตอนที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ก็กุมท้องของเขาเอาไว้ทั้งสองมือ
ในฐานะแพทย์ที่ยอดเยี่ยมในชาติก่อน โจวเจ๋อเดาได้ทันทีว่าทนายอันอาหารเป็นพิษเข้าให้แล้ว!
แถมยังเป็นอาการอาหารเป็นพิษที่ร้ายแรงมาก ซึ่งอาจจะถึงแก่ชีวิตได้เลยด้วยซ้ำ
เอ่อ
ชั่วครู่หนึ่ง โจวเจ๋อไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ดูเหมือนจะตำหนิหรือกล่าวโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะที่ทนายอันอาหารเป็นพิษก็น่าจะมาจากเหล้าไหนั้น และคนที่ให้ทนายอันดื่มเหล้า
ใช่…
โจวเจ๋อรู้สึกว่ามันตลกนิดหน่อย สุดท้ายสิ่งที่ทำให้แผนการช่วยเหลือของพวกเขาทั้งคู่ล้มเหลวดันเป็นเหล้าไหนั้นไปเสียได้
ในเวลานี้ โจวเจ๋อมองสาวน้อยโลลิที่นอนอยู่บนพื้นข้างๆ สาวน้อยโลลิยังไม่ฟื้น หรือว่าจะหาทางปลุกให้เธอตื่นดี อย่างน้อยๆ จะได้เพิ่มกำลังรบให้ฝ่ายของตัวเองทันที
“ตอนนี้คุณยังทนไหวอยู่ไหม” โจวเจ๋อถาม
“ตอนที่ผมอุ้มหลินเข่อออกมาเมื่อกี้ถึงเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุด คุกเข่าลงกับพื้นทั้งตัวเลยทีเดียว ยังโชคดีที่ถูกคนพามาพักที่นี่ ตอนนี้ช่วงทรมานที่สุดผ่านไปแล้ว ผมรู้สึกว่าถ้าทนอยู่ต่ออีกสักสองสามชั่วโมงน่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง เถ้าแก่นิ้วของคุณเป็นอะไร”
ทนายอันเห็นมือทั้งสองข้างของโจวเจ๋อพันไว้จนกลายเป็นเช่นนี้ อีกทั้งตอนนี้ยังมีเลือดไหลซึมอยู่
“สู้กับไอ้ตัวเล็กนั่นไง ไอ้ตัวเล็กนั่นจะไม่ตามออกมาอีกพักหนึ่งเลย ตอนนี้ได้แต่ภาวนาว่าลูกน้องที่นี่จะไม่โผล่ไปลานเล็กๆ นั่น ไม่สิ ยังมีห้องหออีก”
โจวเจ๋อพิงผนัง เขาในเวลานี้เหมือนกับยอมจำนนต่อโชคชะตาเล็กน้อย
ไม่ถูกสิ โจวเจ๋อรีบเงยหน้ามองทนายอัน “ทำไมคุณถึงมาอยู่ตรงนี้ได้”
เสียงบทสนทนาข้างนอกเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนช่วยบิดบังให้พวกเขาทั้งสองคนนี่นา มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ วิญญาณที่นี่จะช่วยพาพวกเขาทั้งสองคนเข้ามาแถมยังช่วยซ่อนให้อีกได้อย่างไร
“นี่…” ทนายอันลังเลที่จะพูด อยากพูดอะไรสักอย่าง กลับไม่รู้ว่าควรพูดออกไปอย่างไรดี
“ลูก เพื่อนลูกเป็นยังไงบ้าง”
ขณะนี้ มีคนผลักประตูห้องด้านในและโผล่หน้าเข้ามา มันเป็นใบหน้าที่เหมือนทนายอันอย่างกับแกะ!
เพียงแต่ว่าสวมใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนกัน เขาสวมแจ็กเก็ตหนังตัวเก่าที่นับว่านิยมเมื่อหลายสิบปีก่อน แถมยังสวมหมวกเบเรต์สีเขียวอีกต่างหาก
ทนายอันมองโจวเจ๋อ ราวกับอึกอักที่จะพูดเล็กน้อย แต่เผชิญหน้ากับคำถามของคนผู้นั้นจึงลังเลเพียงชั่วครู่ แล้วทนายอันก็เผยรอยยิ้มแสนจริงใจและตะโกนออกไป
“พ่อ”
………………………………………………………………