ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 517 ชีวิตคนเราหากเหมือนเจอกันครั้งแรก

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 517 ชีวิตคนเราหากเหมือนเจอกันครั้งแรก

ถ้าหากนี่คือการถ่ายทำภาพยนตร์ เวลานี้ทั้งหน้าจอใหญ่จะถูกขยายออกในแนวเฉียง ด้านซ้ายคือโจวเจ๋อที่นั่งอยู่ในรถ ด้านขวาคือเงาร่างหน้าตาอัปลักษณ์ที่ยืนอยู่นอกรถ จากนั้นเบลอวัตถุและสิ่งของที่อยู่รอบตัว โชว์ความเด่นของตัวละคร

แน่นอนว่า มุมด้านซ้ายสามารถวางภาพซ้อนได้อีก คือสวี่ชิงหล่างที่คุกเข่าอยู่ในกองเลือด แสดงสีหน้าเจ็บปวดทรมาน เสียดายที่ไม่มีผู้กำกับสั่ง ‘คัต’

ด้านหนึ่งคือการข่มขู่ของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ด้านหนึ่งคือเสียงคำรามของผีดิบ ตอนนี้โจวเจ๋อไม่คิดถอย

เนื่องจากคำสัญญาก่อนหน้านั้น คำสัญญาของลูกผู้ชายที่ไม่ยอมให้แปดเปื้อนโดยง่าย โจวเจ๋อจึงไม่เข้าไปในร้านบะหมี่ ไม่เข้าไปแทรก ไม่เข้าไปช่วย ไม่เข้าไปยุ่ง ไม่พูดแสดงความคิดเห็นอะไรไร้สาระอย่างการบอกให้ทำตัวอุ่นๆ ดื่มน้ำเยอะๆ เพราะคุณเป็นหวัดง่าย ทว่าในเวลานี้เงาร่างของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลได้เดินมาอยู่หน้ารถของตัวเองแล้ว ถ้ามัวแต่นั่งเฉยๆ เหมือนพระแก่ที่ไม่สนใจอะไร คงจะทำเกินไปหน่อย

เทพเจ้าแห่งท้องทะเลดูเหมือนจะคาดคิดไม่ถึงว่าคนที่นั่งอยู่ในรถจะดุขนาดนี้ จึงตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เดิมทีเขาอยากจะเตือนว่าอย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น แต่กลับเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง

แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นบุคคลที่เจอคลื่นลมยักษ์ในท้องทะเลเป็นประจำ วินาทีถัดมา น้ำฝนที่ระบายลงท่อไม่ทันบนท้องถนนเริ่มเอ่อล้นออกมาอย่างรวดเร็ว โจวเจ๋อยังคงนั่งอยู่ในรถ แต่รถของเขา เวลานี้กลับเหมือนลอยอยู่ในทะเล

กลิ่นเหม็นคาวเค็มๆ และอับชื้นลอยมาปะทะจมูก ม่านฝนที่อยู่ทั่วท้องฟ้ากระทบคลื่นที่โหมซัดสาด ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถบุกโจมตีได้ตลอดเวลา แค่เพียงคลื่นเดียวก็สามารถซัดทุกอย่างให้พลิกคว่ำ! ดูเหมือนจะขาดแค่นกนางแอ่นหนึ่งตัวเท่านั้น

เงาดำที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ ก่อตัวแน่นเป็นรูปร่าง ใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีดำซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมงูเหลือมสีม่วง ร่างเงาของคนกับหางของงูเหลือมยักษ์ที่เลื้อยส่ายไปมาอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น ประหนึ่งว่าในทะเลที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาคือเจ้าแห่งท้องทะเลตัวจริง

นัยน์ตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากมาพร้อมกับการดูหมิ่นทุกอย่างไม่สนใจใคร! จากปีศาจได้บำเพ็ญเพียรมาถึงขั้นนี้ก็ไม่ง่าย คล้ายกับคนที่ลักลอบนำเข้าสินค้ากระทั่งเคยเป็นมาเฟียมาก่อน สุดท้ายอำลาวงการชุบตัวเองใหม่เป็นนักธุรกิจที่ดีในท้องถิ่น ไม่มีกลิ่นอายของปีศาจเลยสักนิด กระทั่งแฝงไปด้วยกลิ่นอายของเทพเซียนอยู่เล็กน้อย

ไม่แปลกใจเลยถ้าอยากจะแก้เค้นใครสักคนก็ยังต้องใส่ถุงมือสีขาว ใช้เสร็จก็ทำลายหลักฐาน เพราะกลัวว่าจะเลอะมือของตัวเอง

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว เทพเจ้าระดับต่ำตามป่าเก่าแก่ทางทิศตะวันออกที่โจวเจ๋อเคยเจอกลับเหมือนเด็กน้อยที่เล่นซนอยู่ในดินโคลนมากกว่า

ในทะเลที่กว้างใหญ่ มนุษย์เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยกระจิริด ไม่ต่างจากฝุ่นผง นี่คือการแสดงอำนาจและดูถูกเหยียดหยามอย่างหนึ่ง การเจอหน้ากันและชักดาบเข้าห้ำหั่นกันคือพวกอันธพาลชั้นต่ำ ลูกพี่ตัวจริงเมื่อเจอกันจะถือไพ่คุมเชิงกันเท่านั้น

โจวเจ๋อนั่งไม่ขยับ ไม่รีบร้อน เพราะเขารู้ว่ามีคนหนึ่งที่ไม่ชอบการโดนดูถูกแบบนี้มากกว่าตัวเอง และคนนี้ก็คือคนบ้าที่ก่อนหน้านี้แม้จะตายก็ยังรอให้ประตูแห่ง ‘พระพุทธศาสนา’ เปิด รอให้พระพุทธเจ้าเสด็จลงมา

โจวเจ๋อแบมือ บอกเป็นนัยให้เจ้างั่งปลดผนึกปากกาเล็กน้อย ไม่ต้องเยอะมาก แค่พอใช้ก็พอ เพราะแค่อวดว่าใครเก่งกว่าไม่ใช่เหรอ ขอโทษจริงๆ นะ ถ้าจะพูดถึงการอวดว่าใครเก่งกว่า ไม่ใช่เพราะเขาเถ้าแก่โจวคิดจะว่าใคร แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้เมื่อเทียบกับคนคนนั้นที่อยู่ภายในร่างของตัวเขาเองแล้วล้วนเป็นขยะ!

และแล้วโจวเจ๋อก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนคนนั้น เขากลั้นไม่ไหวแล้ว ถึงแม้เขาจะรู้ว่าโจวเจ๋อกำลังยืมใช้พลังของเขา แต่เขาไม่สนใจ สำหรับเขาแล้วหน้าตาและศักดิ์ศรีสำคัญยิ่งกว่าชีวิต

เสียดายที่เถ้าแก่โจวไม่ได้คุยรายละเอียดกับเด็กผู้ชาย ถ้าหากเขารู้ว่าใต้ดินในวันนั้น คนคนนั้นเพื่อป้องกันตัวเองตื่นมาแล้วหัวเราะเยาะเขา ถึงกับใช้นามของบรรพบุรุษขู่บังคับผีดิบน้อยให้ฆ่าตัวเอง

เถ้าแก่โจวจะไม่นิ่งแบบนี้อีกต่อไป

“งู…สะ…หวะ…”

ท่ามกลางคลื่นลม เทพเจ้าแห่งท้องทะเลหันหน้า ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ

“ข้า…จะให้เจ้า…เห็น…ทะเล…ของจริง!”

‘ตู้ม!’ เกิดเสียงดังสนั่น ท้องทะเลสีฟ้าครามตกลงสู่ความเงียบงันในพริบตา ราวกับว่าถูกยึดพลังแห่งชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง ม่านสีดำทะมึนขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วในทันใด

และในเวลาเดียวกัน แขนที่เละและขาดยื่นออกมาจากใต้ทะเลมากมายนับไม่ถ้วน คิดจะดึงใครสักคนที่ดวงซวยมาอยู่แทนตัวเอง โครงกระดูกเยอะแยะไร้ที่สิ้นสุด ลอยกระเพื่อมอยู่ในทะเล ประดับประดาด้วยสีขาวที่น่าสะดุดตา

กลิ่นอายแห่งความตายเริ่มหนาแน่น การกลับมาของวิญญาณ!

ในทะเลของเจ้า แอบซ่อนไปด้วยปลามากมายหลายชนิด

ในทะเลของข้า นรกถูกฝังอยู่!

บนทะเลของเจ้า เดินเรือข้ามฟาก

บนทะเลของข้า เดินกลับไปเกิดใหม่!

ไข่มุกเล็กเท่าเม็ดข้าวริอ่านหาญกล้าแข่งกับแสงสว่างของพระจันทร์!

‘แกร๊ก…แกร๊ก…แกร๊ก…’ ภายในภาพ หน้ากากของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลกำลังแตกละเอียด ขณะที่กำลังแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขายังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม ใบหน้าที่เงียบสงบของเขา ความหยิ่งของเขา ผู้คนมักจะหัวเราะเยาะว่านั่นคือกบตัวหนึ่งที่มองฟ้าจากก้นบ่อ แต่วันนี้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลพบว่าตัวเองเป็นแค่กบที่ตัวใหญ่นิดหน่อยเท่านั้น เหนือศีรษะของเขา เป็นปากบ่อที่ใหญ่กว่าเท่านั้นเอง

เสียดายที่ภาพแตกละเอียดเร็วเกินไป โจวเจ๋อมองเห็นภาพรางๆ เหมือนเทพเจ้าแห่งท้องทะเลกำลังคุกเข่าลงช้าๆ

ทะเลของโลกมนุษย์ แต่คุกเข่าอยู่ในนรก! จากนั้นภาพจึงมลายหายไปอย่างสิ้นเชิง รถก็ยังเป็นรถคันนั้นอยู่ มันจอดอยู่ท่ามกลางสายฝน จอดอยู่บนถนน จอดอยู่ตรงหน้าเงาร่างนั้น

เงาร่างนั้นก็ค่อยๆ หายไป มากับฝน ไปกับฝน ราวกับว่ามันไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย

เขี้ยวมุมปากของโจวเจ๋อหายไปช้าๆ แสงอาทิตย์สาดไปที่เหล่าสวี่ที่คุกเข่าอยู่ในกองเลือดในร้านบะหมี่ ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว

พอได้ช่วยก็เหมือนได้ช่วยงานใหญ่ แต่โจวเจ๋อไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจอะไร และไม่อยากเข้าไปขอคำชมเลยสักนิด ในเมื่อเหล่าสวี่ได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้ว โหดแม้กระทั่งยอมกรีดแม้แต่ใบหน้าของตัวเอง เช่นนั้นเงาเมื่อครู่ ถ้าหากเขาไม่ได้นับรวมเข้าไปในขั้นตอนการเตรียมการ ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกหลักการเท่าไร

แน่นอนว่าเขาคิดแผนเองก็จริง แต่ในเมื่อเจ้าสิ่งนั้นมาปรากฏต่อหน้าโจวเจ๋อ โจวเจ๋อไม่คิดว่าได้ช่วยเหลือเขา แค่เห็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลแล้วหมั่นไส้ จึงลงมือเท่านั้นเอง แบบนี้ฟังแล้วดูมีเหตุผลเหมือนกัน ใครสั่งให้เขามีหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนั้น ฉันตกใจหมดเลย

ฝนเริ่มน้อยแล้ว โจวเจ๋อผลักประตูรถ รองเท้าของโจวเจ๋อเหยียบอยู่บนน้ำขัง เขาบิดขี้เกียจ “กลับมาบ้านเก่าแล้ว”

“แฮก…แฮก…แฮก…” เสียงหายใจหอบดังเข้ามาไม่หยุด ฝนที่อยู่ข้างนอกเหมือนจะเริ่มตกน้อยลงแล้ว ไม่ตกหนักเหมือนก่อนหน้านั้น ความร้อนรนและต่อต้านภายในร่างกายก็ค่อยๆ ลดลง

เขาสงสัยและสับสนมึนงงเล็กน้อย เพราะบททดสอบที่ตัวเองเตรียมตัวมาอย่างจริงจังกลับไม่ปรากฏตัว แผนการและการเตรียมตัวทุกอย่างก่อนหน้านั้นยังไม่ได้เอามาใช้งานเลย

สวี่ชิงหล่างไม่ได้ลุกขึ้นมา แต่คุกเข่าอยู่บนพื้นต่อไป หลับตาเหมือนกำลังสื่อสารและพูดคุยอยู่ แผนการทำให้เชื่องแต่เดิม ดูเหมือนจะเริ่มต้นสวยแต่ตอนท้ายกลับแย่

หลังจากกลืนผู้หญิงคนนั้น ก็เท่ากับทำให้ตัวเองและเทพเจ้าแห่งท้องทะเลคนนั้นได้ผูกพันธะเชื่อมโยงกันบางอย่าง

นี่คือแผนของสวี่ชิงหล่าง และเขาก็เป็นคนเตรียมงานเอง หลังจากที่ถูกอาจารย์ของตัวเองกดอยู่ในถังน้ำคืนนั้นจึงคิดแผนนี้ออก เขาเตรียมงานนี้มานานมาก นานมากจริงๆ

ทว่ามันราบรื่นเกินไป ราบรื่นเหมือนที่คิดไว้เกินไปจริงๆ กระทั่งแสงสีเขียวเข้มเริ่มลอยขึ้นมาตามร่างกายอย่างช้าๆ เหมือนเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ ที่ปกคลุมร่างกายของตัวเอง แต่เสียดายที่โจวเจ๋อไม่ได้เห็นฉากนี้ เขาลงจากรถและไม่ได้ให้ความสนใจทางนี้ต่อ

เสื้อผ้าบนตัวของสวี่ชิงหล่างที่โดนมีดสั้นปักหน้าอกก่อนหน้านั้น เกือบจะขาดวิ่นหมดแล้ว และตอนนี้แสงสีเขียวก็ไม่ได้สว่างอยู่นาน

เขาค่อยๆ ขยับเหมือนเปลือกไข่ที่แตกออก เสื้อเชิ้ตที่บางเหมือนผ้าโปร่งตัวนั้นค่อยๆ ฉีกออก เหมือนกำลังถอดเสื้อผ้า แต่จริงๆ แล้วคืองูลอกคราบ!

สวี่ชิงหล่างสงสัยอยู่บ้าง เทพเจ้าแห่งท้องทะเลคนนั้น ดูเหมือนจะดีกว่าที่จินตนาการเอาไว้ ไม่ต้องต่อรองใดๆ อีกฝ่ายก็ยอมรับโชคชะตาอย่างว่าง่าย เป็นฝ่ายมอบพลังมาให้เขา

การลอกคราบเพื่อรักษาบาดแผล ฉากนี้ไม่ได้น่าสะอิดสะเอียนตามความหมายของงูลอกคราบทั่วไป ถึงขนาดพูดได้ว่ามีความงดงามอยู่บ้าง เหมือนฉากเซ็กซี่ในภาพยนตร์ฮ่องกงเมื่อนานมาแล้ว

อันที่จริงมีเรื่องมากมาย เมื่อเปลี่ยนคนทำมักจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันจริงๆ โลกที่น่าเบื่อใบนี้อย่างไรเสียก็ยังมองหน้าตา

สวี่ชิงหล่างลุกขึ้น ก้มหน้ามองหน้าอกของตัวเอง หน้าอกที่มีบาดแผลอันน่ากลัวแต่เดิมทีได้หายไป กลายเป็นเนื้องอกใหม่เข้ามาแทนที่ แต่ยังคงเจ็บแผลเหมือนเดิม

การรักษาบาดแผลเช่นนี้ คือต้นแบบของการรักษาที่ปลายเหตุอย่างแท้จริง ดูเหมือนจะฟื้นฟูเหมือนเดิม แต่บาดแผลเหล่านี้ยังต้องใช้เวลาพักฟื้นให้ดีถึงจะฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิม

อ้อ ใช่แล้ว มันยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือห้ามเลือด สวี่ชิงหล่างเดินไปหน้ากระจกที่สะท้อนตัวเองอยู่ในนั้น ใบหน้าของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว ไม่ต้องพูดถึงรอยมีด แม้แต่เลือดก็ไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิด แต่เขาไม่กล้ายื่นมือไปลูบ และไม่กล้าใช้แรงสัมผัสมัน แต่อย่างน้อยเขารู้สึกพอใจอยู่บ้าง

ผู้หญิงรักสวยรักงาม ผู้ชายก็รักสวยรักงามเหมือนกัน เขาเอียงศีรษะ มองตัวเองที่อยู่ในกระจกต่อไป ยื่นมือแตะบนกระจกเบาๆ

ในนัยน์ตาของสวี่ชิงหล่าง รูม่านตาของเขาเหมือนกำลังแตกออก ปรากฏสีเขียวจางๆ เขาจ้องมองตัวเองที่อยู่ในกระจกอยู่นาน จากนั้นหันตัวเงยหน้ามองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าทำไม ความรู้สึกที่สุดแสนจะรังเกียจถูกส่งผ่านมาจากก้นบึ้งของหัวใจ สีเขียวที่อยู่ในนัยน์ตากำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รูม่านตากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ชีวิตที่ตัวเองรังเกียจ สภาพแวดล้อมที่ตัวเองเดียดฉันท์ เสียงดังเอะอะบนท้องถนนที่น่ารำคาญ สวี่ชิงหล่างใช้สองมือกุมศีรษะของตัวเอง เขาสับสนมึนงง เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกรุนแรงเหล่านี้มาจากไหน แต่พวกมันกลับปรากฏขึ้นมาในเวลานี้ และกำลังทลายห้องหัวใจของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

เขาคิดวางแผนทุกอย่าง เตรียมงานเองทุกขั้นตอน ชั้นลอยบนเพดานยังมีไม้ตายของจริงอยู่ แต่ไม่ได้ใช้งาน

เขาได้คำนวณแล้วว่าจะต้องสำเร็จแน่นอน แต่เรื่องราวหลังจากทำสำเร็จแล้ว เขาไม่อยากคิดมาก ในความเป็นจริง ผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่คิดถึงเรื่องราวหลังจากที่ทำสำเร็จแล้วเอาไว้

ตอนที่คุณกำลังจ้องมองเหวลึก เหวลึกก็กำลังจ้องมองคุณอยู่เหมือนกัน ตอนที่คุณพยายามจะสร้างความสัมพันธ์กับเทพเจ้าแห่งท้องทะเลเพื่อรับพลังจากเขา ความรู้สึกของเขา ความคิดของเขา ย่อมต้องเกิดความรู้สึกตอบสนองร่วมกันกับคุณในระดับหนึ่ง

ปีศาจที่บำเพ็ญตบะครบหกสิบปีมาหลายรอบตนหนึ่งกับชายหนุ่มอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีคนหนึ่ง ใครจะมีอิทธิพลกับใครมากกว่ากัน จริงๆ แล้วไม่ต้องเดาเลย

สวี่ชิงหล่างฝืนมองทุกสิ่งที่อยู่ในนี้ต่อ ที่นี่เป็นความทรงจำที่อบอุ่นที่สุดที่เขาเคยมีมาก่อน แต่ตอนนี้ก้นบึ้งหัวใจของเขากลับมีความคิดหุนหันอยากทำลายทุกอย่างให้พังทลาย

เสียงจากส่วนลึกในหัวใจกำลังร้องเรียกเขาไม่หยุด ในหัวของเขามีภาพความลำบากที่เขาเคยเจอตั้งแต่เด็กจนโตเป็นเหมือนภาพสไลด์ที่เลื่อนไปมาไม่หยุด มันกำลังปฏิเสธอดีตของตัวเอง มันกำลังต่อว่าตัวเองในปัจจุบัน มันกำลังคิดเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง มันกำลังรวมเป็นหนึ่งกับตัวเอง! เขารู้สึกลนลานทำตัวไม่ถูก

สวี่ชิงหล่างหาโทรศัพท์เจอแล้ว เขาอยากจะโทรศัพท์ แต่โทรศัพท์ที่เพิ่งถืออยู่ในมือกลับร่วงลงพื้นอย่างแรง!

‘เพล้ง!’ โทรศัพท์แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ “โอ๊ยยยย!!!!” สวี่ชิงหล่างกุมศีรษะ คุกเข่าไปบนพื้น ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่กำลังสับสนคนหนึ่ง ผู้ชายที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ผู้ชายที่ขี้กลัวคนหนึ่ง…

ไม่รู้ว่าเขาคุกเข่านานแค่ไหน สวี่ชิงหล่างเริ่มลุกขึ้นช้าๆ อีกครั้ง เขารู้สึกอึดอัดกะทันหัน เขาอยู่ในพื้นที่ที่คับแคบจึงรู้สึกหายใจไม่ออก กระทั่งพื้นที่แข็งแรง ก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่ชอบอยากกำจัดมันทิ้งไป

เขาไม่อาจตั้งสติคิดได้เลยว่าตัวเองทำสำเร็จหรือว่าล้มเหลว หรือสิ่งที่เรียกว่าสำเร็จ จริงๆ แล้วคือความล้มเหลวอย่างหนึ่ง

อาจารย์คนนั้นของสวี่ชิงหล่าง เดิมทีไม่ใช่คนที่ใสสะอาดอะไร เขาเป็นคนสุดโต่ง เขาบ้าระห่ำ เขาเหมือนคนบ้าสุดๆ คนหนึ่ง ถ้าหากไม่เป็นเพราะเขาได้เจอกับเถ้าแก่โจวที่ปลุกอิ๋งโกวขึ้นมาในคืนนั้น ทุกคนในร้านหนังสือคงจะถูกเขาฆ่าอย่างราบคาบไปแล้ว

ลัทธิเต๋าที่ทิ้งคนบ้าแบบนี้ไว้ แท้จริงแล้วคือการสืบทอดอย่างหนึ่ง สวี่ชิงหลางศึกษาและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าพอถึงตอนนี้เขากับอาจารย์ที่เขาเกลียดชังที่สุด สุดท้ายกลับเดินบนเส้นทางเดียวกัน

บางทีหลังจากนี้ไม่นาน โลกนี้อาจจะไม่มีสวี่ชิงหล่างอีกแล้วก็เป็นได้ แต่กลับเป็นถุงมือขาวที่เป็นของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง จุดจบของสวี่ชิงหล่าง มีความเป็นได้สูงที่จะเหมือนผู้หญิงคนนั้นที่ตายอยู่ในอ้อมอกของเขา

บนทะเลที่กว้างใหญ่ แม้แต่กัปตันเรือแก่ๆ ที่มากด้วยประสบการณ์ก็ยังหลงทาง นับประสาอะไรกับคนหนุ่มสาวที่ไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด เขาเดินโซซัดโซเซออกมาจากร้านบะหมี่ เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน ถึงขนาดไม่รู้ว่าเท้าของตัวเองที่กำลังเดินอยู่จะก้าวไปทางไหน

‘พรืดด!!!!’ ประตูบานม้วนถูกเปิดออก สวี่ชิงหล่างหันไปมองอย่างงุนงง ร้านหนังสือที่ว่างเปล่ามานาน ถูกคนเปิดประตูออกมาจากด้านใน

โจวเจ๋อยืนอยู่หน้าประตู พร้อมกับผ้าขนหนูเลอะสกปรกผืนหนึ่งพาดอยู่บนไหล่ของเขา ยืนเท้าเอว หายใจหอบอย่างรำคาญ จากนั้นเถ้าแก่โจวจึงอุทานว่า “ทำความสะอาดใหญ่ เหนื่อยจริงๆ”

สวี่ชิงหล่างยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ เขาดูคุ้นหน้าจัง เขาเป็นใคร ทำไมตัวเองจำไม่ได้แล้ว แต่ฉันรู้จักเขาแน่นอน รู้จักแน่นอน!

“เหล่าสวี่ นายกลับมาเยี่ยมญาติที่บ้านเก่าก็ไม่เรียกฉัน ร้านเก่านี้ไม่มีคนเข้ามาเกือบปีแล้ว สกปรกมาก มีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะเช็ดไปหนึ่งรอบ เหนื่อยฉิบหาย”

สวี่ชิงหล่างพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว ใช่แล้ว สำหรับเขาที่ชินกับการนอนอาบแดดอยู่ตรงนั้น การทำความสะอาดเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากจริงๆ

สวี่ชิงหล่างหลับตา เสียงที่ฟังดูทรมานดังออกมาจากลำคอ เหมือนคนเมาค้างที่ได้สติกลับมาช้าๆ เจ็บมาก ทรมานจริงๆ

“เหล่าสวี่ ฉันหิวแล้ว ทำอะไรให้กินหน่อย เหมือนเดิมนะ แปะไว้ก่อน” ฝนหยุดตกแล้ว ท้องฟ้าก็สดใส โจวเจ๋อจึงหยิบเก้าอี้พลาสติกสองตัวจากร้านหนังสือเก่าของตัวเองออกมาวางข้างนอก แล้วตัวเองจึงนั่งลง

เขาเหมือนคุณปู่คนหนึ่ง สองมือกอดอกตัวเอง รอพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นจึงอาบแดดอย่างสบายใจ สวยมาก สวยมากจริงๆ!

“โอเค” สวี่ชิงหล่างกัดฟัน มึนศีรษะ สมองเบลอ เหมือนถูกคนเอาค้อนมาตีศีรษะอย่างแรงเมื่อครู่ เขาเดินกลับไปที่ร้านบะหมี่ของตัวเอง เดินเข้าไปในห้องครัวด้านหลัง ผักที่ซื้อมาเมื่อวานยังใช้ไม่หมด ข้าวสวยยังเหลืออยู่ในหม้อ ทว่ามันเย็นแล้ว

เขามองดูครู่หนึ่ง จากนั้นเอามือกุมศีรษะของตัวเองด้วยความทรมานยากจะทนไหว แล้วเดินไปเหมือนคนเดินละเมอ เปิดเตาแก๊ส จุดไฟ เทน้ำมัน ผัดข้าวผัดไข่ก่อน จากนั้นก็ผัดผักอีกสองสามจาน

ตอนที่ทำกับข้าว เขาเกือบจะล้มในห้องครัวอยู่สองสามครั้ง เหมือนตุ๊กตาล้มลุก ไม่ล้ม แต่กลับทำให้คนหวาดเสียว

“กับ…ข้าว…” โจวเจ๋อยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติก เหมือนตอนที่ตัวเองเพิ่งมาที่นี่เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ตอนนั้นพระจันทร์ก็ไหวเอน ผู้คนก็ลังเลเช่นกัน มัวแต่นั่งอยู่ในร้านหนังสือทุกวัน ออกจากบ้านน้อยมาก และก็ขี้เกียจออกไปด้วยเหมือนเด็กทารกที่เพิ่งเกิดใหม่ สงสัยต่อสิ่งภายนอก แต่ที่มีมากกว่าคือความหวาดกลัว

ข้าวผัดไข่ถูกยกเข้ามาพร้อมกับผัดผักสองอย่าง ถูกวางอยู่บนเก้าอี้พลาสติกตัวที่สอง ตะเกียบ ช้อน ก็ยื่นเข้ามาเช่นกัน

โจวเจ๋อหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วถูเบาๆ สวี่ชิงหล่างยืนพิงขอบประตู สายตาเหม่อลอย เขาเหมือนจะเข้าใจหลายอย่าง แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ

โจวเจ๋อคีบผักขึ้นมา แล้วเอาใส่ปาก “แหวะ…” หน้าอกกระเพื่อม ความรู้สึกอยากอาเจียนอย่างรุนแรงบุกโจมตีเข้ามา โจวเจ๋ออ้าปาก แล้วคายผักที่อยู่ในปากออกมา

นานมากแล้ว หลังจากที่เขามีดอกพลับพลึงแดง เขาแทบจะลืมความน่ากลัวเวลากลืนอาหารสามมื้อต่อวันในอดีตไปแล้ว

สวี่ชิงหล่างที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว กับข้าวที่ตัวเองทำ ไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงแม้อาหารที่ตัวเองทำ อาจจะไม่ได้ตั้งใจทำมาก แต่มันไม่อร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ

“เหล่าสวี่” โจวเจ๋อเรียก สวี่ชิงหล่างไม่ตอบ

“แม่นางสวี่” โจวเจ๋อตะโกนอีกครั้ง สวี่ชิงหล่างก็ยังไม่ขานตอบ

โจวเจ๋อจึงทนไม่ไหว หยิบปลายตะเกียบจิ้มไปที่ขาของสวี่ชิงหล่าง สูดลมหายใจลึกๆ แล้วถามว่า “มีน้ำส้มสายชูไหม”

สวี่ชิงหล่างพยักหน้า เดินเข้าไปหยิบน้ำส้มสายชูออกมาหนึ่งขวด แล้วยื่นให้โจวเจ๋อ

โจวเจ๋อจำได้ตอนที่ตัวเองเพิ่งกลับมาได้ระยะหนึ่ง ทุกครั้งที่กินข้าว ต้องเทน้ำส้มสายชูครึ่งขวดลงไปก่อน และอาศัยตอนที่กระเพาะเริ่มหดเกร็งพักหนึ่งรีบกินข้าวสองสามคำทันที อาหารสามมื้อต่อวัน ถูกใช้ไปแบบนี้ เขาบิดฝาเปิดขวดน้ำส้มสายชู แล้วดื่มคำโต ตอนที่เตรียมจะกลืนมันลงไป ทันใดนั้นก็ ‘พรืด!’ น้ำส้มหนึ่งคำถูกพ่นออกมาทั้งหมด

โจวเจ๋อเขินอายอยู่บ้าง จากการใช้ชีวิตมัธยัสถ์ไปใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อนั้นไม่ยาก แต่จากการใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยกลับมาใช้ชีวิตมัธยัสถ์ไม่ง่ายเลย วันเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ไม่ชินที่ต้องอาศัยน้ำส้มสายชูคลุกกับข้าวแล้ว

“เหอะๆ” สวี่ชิงหล่างที่นิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่ข้างๆ กลับหัวเราะขึ้นมาในทันใด

โจวเจ๋อส่ายหน้า มองน้ำส้มสายชูในมือต่อ ทว่าเขากลับกำลังทำสงครามอยู่ในใจ ทันใดนั้นแก้วน้ำใบหนึ่งก็มาวางอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมกับของเหลวสีฟ้าที่อยู่ในแก้ว ส่งกลิ่นเปรี้ยวหวานออกมาเป็นระยะ ช่างเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยอย่างมาก น้ำบ๊วย!

โจวเจ๋อหยิบน้ำบ๊วยที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมามองแล้วมองอีก ก่อนจะเงยหน้ามองไปทางสวี่ชิงหล่าง แล้วเอ่ยว่า “นายยังจำได้เหรอ ในร้านยังมีไอ้นี่อยู่เหรอ หมดอายุแล้วหรือยัง”

“จำได้” สวี่ชิงหล่างตอบ ตอนนี้สีเขียวที่อยู่ในนัยน์ตาของเขาได้หายไป รูม่านตาที่แตกร้าวนั่นก็เริ่มฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม

“ฉันคิดว่านายลืมหมดแล้ว ไม่ได้ดื่มนานแล้ว” โจวเจ๋อพูดอย่างทอดถอนใจ

“ผมคิดว่าคุณลืมแล้ว” สวี่ชิงหล่างนั่งยองๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงว่า “ผมหมักมันอยู่ตลอด”

โจวเจ๋อเลื่อนเก้าอี้พลาสติกที่ตัวเองนั่งออกไป แล้วนั่งพิงกำแพงโดยตรง สำหรับผู้ป่วยเป็นโรครักอนามัยเกินเหตุที่ทนไม่ได้ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนสองครั้งทุกวัน การกระทำเช่นนี้กลับแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

เขายื่นมือดึงข้อมือของสวี่ชิงหล่าง “นั่งลง”

สวี่ชิงหล่างไม่ขยับ โจวเจ๋อจึงใช้แรงดึงอีกครั้ง “นั่งลงเถอะ”

สวี่ชิงหล่างจึงนั่งลง ผู้ชายสองคนนั่งพิงกำแพงหันหน้าไปทางถนนด้วยกันภายใต้ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ

โจวเจ๋อยื่นมือตบไหล่ของตัวเองแล้วพูดว่า “ให้นายยืมเอาไหม”

สวี่ชิงหล่างเหลือบตามองโจวเจ๋อหนึ่งที แล้วเอ่ยว่า “อย่าทำให้อาเจียนได้ไหม”

“ฉันยังเป็นคนรักของนายนะ” โจวเจ๋อหัวเราะแล้วพูดต่อ “ยังจำได้วันนั้นที่ฉันรู้ว่าตัวเองถูกไอ้สวีเล่อจ้างคนมาฆ่าตัวเอง ก็เหมือนกับนายก่อนหน้านี้ เอามือกุมศีรษะแล้วก็คุกเข่าลงไปด้านหลังเคาน์เตอร์ร้านหนังสือ ตอนนั้นนายเดินเข้ามาพอดี นายทำอะไรนะ ฉันจะบอกนายให้นะ แม่งโคตรอยากจะอ้วก ที่ดึงฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของนาย! ตอนนั้นฉันโคตรอยากอาเจียน จริงๆ เลย”

สวี่ชิงหล่างแหงนหน้า เขาจำวันนั้นได้

“ตอนนั้นก็คิดว่า แม่งเอ๊ย วันหลังฉันต้องหาโอกาสกอดนายบ้าง ให้นายได้สัมผัสความน่าขยะแขยงที่โดนเกย์ยัดเยียด” ขณะที่พูด โจวเจ๋อได้ยื่นมือโอบไหล่ของสวี่ชิงหล่างโดยใช้กำลังรุนแรง

“เหล่าสวี่ พูดจริงๆ นะ นายแค่ตั้งใจทำกับข้าวก็ดีแล้ว อย่าไปฟังเหล่าอันพูดจาไร้สาระเลย ไอ้หมอนั่นตอนแรกก็พูดให้กำลังใจทุกคน ผลปรากฏว่าตอนนี้เขากลับแห้งเหี่ยวเสียเอง พอได้กินได้นอน ชีวิตก็ด่ำดิ่งเสื่อมโทรมเหมือนกัน”

“เขาจะกลับมาอีก เขาเคยพูดไว้” ทันใดนั้นสวี่ชิงหล่างก็เอ่ยขึ้น โจวเจ๋ออ้าปากค้าง เขารู้ว่าสวี่ชิงหล่างพูดถึงใครอาจารย์…คนที่ฆ่าพ่อแม่ของเหล่าสวี่

จากนั้นโจวเจ๋อจึงไม่พูดอะไรอีก ซัดน้ำบ๊วยไปหนึ่งคำ โอ้ว! เปรี้ยวมาก แต่อร่อย…

“ผมไม่อยากให้ตอนที่เขากลับมา แล้วผมยังหลบอยู่ข้างหลังพวกคุณ ไม่อยากจริงๆ” สวี่ชิงหล่างพูดพึมพำกับตัวเอง

“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้า ความรู้สึกและอารมณ์เหล่านี้เขาสามารถเข้าใจได้

หากจะโทษก็ต้องโทษอาจารย์ของเหล่าสวี่ ไอ้หมอนั่นสร้างขอบเขตบ้าๆ ออกมา ศัตรูคนนี้ ก็เหมือนกับบอสในเกมออนไลน์ ฆ่าครั้งเดียวไม่พอ ยังต้องฆ่าครั้งที่สองครั้งที่สาม

เขาเคยพูดไว้ว่าเขาจะกลับมา จริงๆ แล้วเมื่อได้เห็นข่าวที่คล้ายกันทุกวัน โจวเจ๋อมักจะอุทานอยู่ในใจ เพราะว่าข่าวเหล่านี้ทำให้รู้สึกว่าวันที่อาจารย์ของสวี่ชิงหล่างจะปรากฏตัวอีกครั้งเริ่มสั้นลงอย่างต่อเนื่อง

“ไม่ว่ายังไง ขอบใจนะ” สวี่ชิงหล่างหัวเราะ สีเขียวในนัยน์ตาของเขาหายไปหมดแล้ว รูม่านตากลับมามีสภาพเหมือนเดิมแล้ว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความสดชื่นแจ่มใส

โจวเจ๋อยื่นน้ำบ๊วยให้สวี่ชิงหล่างแล้วเอ่ยว่า “นายก็ลองสักหน่อยสิ” สวี่ชิงหล่างส่ายหน้า “นายหมักด้วยตัวเอง มันอร่อยมากนะ” โจวเจ๋อรบเร้าต่อ

สวี่ชิงหล่างยังคงส่ายหน้าต่อ

“นี่ๆๆ นายคนทำไม่ดื่ม ตอนนั้นฉันดื่มมานานมาก รู้สึกใจไม่ดีเลย”

“เหล่าโจว คุณรู้ไหมตอนที่ผมหมักน้ำบ๊วย ผมกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ”

“อะไร”

“คิดว่าผมจะทำให้คุณรู้สึกเปรี้ยวตายไปเลย!”

“…” โจวเจ๋อ

“ตอนหลังผมหมดหวังแล้ว ผมจึงเปลี่ยนสูตร ยอมเสียทุกอย่างเพื่อเพิ่มระดับความเปรี้ยว คิดค้นหาวิธีแทบตายแต่คุณกลับดื่มอย่างเอร็ดอร่อย ตอนนั้นผมคิดว่า คุณเหมือนสัตว์เลี้ยงในฟาร์มตัวหนึ่งจริงๆ”

“เหอะๆ” โจวเจ๋อหัวเราะ ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ช่วงเวลาที่ยาวนานในตอนนั้น ถ้าหากไม่มีน้ำบ๊วยของสวี่ชิงหล่างโจวเจ๋อคงจะเป็นโรคขาดสารอาหารตายไปนานแล้ว

“มีบุหรี่ไหม บุหรี่ฉันหมดแล้ว” โจวเจ๋อถาม

สวี่ชิงหล่างคลำกระเป๋าหยิบบุหรี่ออกมาให้ตัวเองหนึ่งมวน แล้วยื่นให้โจวเจ๋ออีกหนึ่งมวน บุหรี่สองมวนถูกจุดไฟ

โจวเจ๋อสูบเข้าไปเต็มปอดหนึ่งครั้ง แล้วค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกมา เม้มปากแล้วพูดว่า “สูบมวนนี้เสร็จแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ พวกเขาใกล้จะตื่นแล้ว รอนายกลับไปทำอาหารเช้าอยู่”

สวี่ชิงหล่างเขี่ยบุหรี่ที่อยู่ในมือ แล้วพยักหน้า “ครับ”

………………………………………………………………

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท