ตอนที่ 540 พูดจาฉะฉาน
เมื่อโจวเจ๋อและทนายอันกลับไปถึงร้านหนังสือเวลาก็ล่วงเลยไปสองทุ่มแล้ว สวี่ชิงหล่างเห็นพวกเขากลับมาถึงได้เริ่มกินอาหารเย็น
อาหารเย็นค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีอาหารมากมายเป็นพิเศษ และไม่ได้จัดวางจนเต็มโต๊ะเวอร์วังอะไร หม้อซุปเนื้อวัวเริ่มตุ๋นมาตั้งแต่เช้าถูกเปิดในเวลานี้ มีชั้นไขมันลอยอยู่ด้านบน หยิบเอาชามที่ค่อนข้างใหญ่ขึ้นมา ใส่เนื้อลงไปเยอะๆ ใช้ทัพพีตักน้ำมันที่ลอยชั้นบนสุดออก ตักน้ำซุปทัพพีใหญ่ลงไป ใช้ทัพพีกดๆ เกลี่ยๆ เนื้อวัวในชาม เทน้ำซุปกลับลงไปในหม้อ และเติมน้ำซุปทัพพีที่สองลงไป หยิบต้นหอมหนึ่งกำมือโรยหน้าจนเกือบเต็มชาม แค่นี้ซุปเนื้อวัวหนึ่งชามก็เรียบร้อย
สวี่ชิงหล่างยังเตรียมพวกลูกชิ้นเนื้อทอดและแผ่นแป้งไว้จำนวนหนึ่งอีกด้วย สามารถฉีกออกและแช่ลงไปในซุปได้เอง ให้ความรู้สึกเกือบจะเหมือนกับแป้งแช่ในซุปเนื้อแกะ[1] แม้ว่าชื่อเสียงจะไม่โด่งดังเท่าแป้งแช่ในซุปเนื้อแกะ แต่รสชาติไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ใครที่ชอบรสชาตินี้รับรองว่าติดใจไม่รู้ลืมอย่างแน่นอน
ด้านหน้าโต๊ะ คนทั้งโต๊ะพากันก้มหน้าดื่มซุป รู้สึกแค่เพียงอิ่มเอมใจ ทนายอันหิวจัดแล้วเลยดื่มซุปไปสามชามรวด ที่จริงแล้วไม่ได้เติมเนื้อวัวเข้าไปอีก แต่ซุปนี้อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ สำหรับคนทั่วไปที่มีปริมาณการกินปกติ ซุปหนึ่งชามก็คุ้มกับมื้ออาหารนั้นแล้ว ในขณะที่ทุกคนกำลังซดซุปกันเพลินอยู่นั้น ร่างองอาจสง่างามก็มาโผล่ที่ประตูร้านหนังสือ และมักจะมาพร้อมประโยคทักทายสุดคลาสสิกเสมอ “อ้าว บังเอิญจัง ทุกคนกำลังกินข้าวอยู่เลย!”
จางเยี่ยนเฟิงในชุดเครื่องแบบเดินเข้ามา และตรงไปนั่งประจำที่อย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ สวี่ชิงหล่างตักให้เขาหนึ่งชาม แล้วยื่นแผ่นแป้งไปอีกหนึ่งจาน เหล่าจางซดซุป ‘อึกๆ’ ลงไปรวดเดียว แล้วถอนหายใจเฮือกยาว
“เฮ้ นี่เป็นวิธีทำของทางลั่วหยางใช่ไหม จำได้ว่าเคยไปปฏิบัติภารกิจที่ลั่วหยางเมื่อสองสามปีก่อน ได้ดื่มซุปนี้ภายใต้การแนะนำของสหายท้องถิ่น จุ๊ๆ รสชาตินี้ติดใจไม่รู้ลืมเลยแฮะ”
โจวเจ๋อเหลือบมองเหล่าจาง ขี้เกียจแม้แต่จะพูดกับหมอนี่ที่เอาแต่กินดื่มฟรีแล้ว
ถ้าเข้าใจสถานการณ์จะนึกว่าตำรวจเป็นครอบครัวเดียวกับประชาชนประหนึ่งปลาคู่กับน้ำไปแล้ว ผู้ที่ไม่รู้ก็คิดว่าตำรวจนายนี้มากินข้าวปลาอาหารฟรีในร้านทุกเช้า กลางวัน เย็น
“เสี่ยวจางเอ๊ย วันนี้นึกว่าเจ้าไม่มาเสียแล้ว” นักพรตเฒ่าพูดขณะฉีกแผ่นแป้ง
วันนี้เป็นเพราะว่าเถ้าแก่กับทนายกลับมาช้าถึงได้เริ่มกินอาหารเย็นช้าไปด้วย แต่เหล่าจางกลับมาได้เวลาพอดิบพอดี มันก็ถือว่า ‘บังเอิญ’ เกินไป หากไม่รู้ว่าเหล่าจางปกติแล้วยุ่งกับงานจริงๆ ละก็ นักพรตเฒ่าก็เกือบจะคิดว่าเขาจอดรถสังเกตการณ์อยู่ข้างนอก รอจนพบว่าร้านหนังสือเริ่มกินข้าว เขาก็จะเข้ามา ‘โดยบังเอิญ’ พอดี
“เปล่าครับ คืนนี้สำนักงานจัดประชุมปรับทัศนคติถึงได้มาช้า ด้านล่างมีหัวหน้าโรงพักคนหนึ่ง ลูกสาวของเขาถูกครูทำโทษให้ยืน เขากลับจับครูขังในโรงพักเป็นเวลาถึงเจ็ดชั่วโมง ตอนนี้เรื่องราวใหญ่โตจนหัวหน้าคนนั้นถูกให้ออกจากตำแหน่งย้ายไปแล้ว ไอ้สารเลวพวกนี้นี่ พวกผมทำงานหนักเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน คำบอกเล่าปากต่อปากและภาพลักษณ์ของตำรวจเป็นสิ่งที่พวกเราเหล่านี้หล่อหลอมขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย มันดันมาพังครืนในกำมือของไอ้ชาติชั่วนี่”
เหล่าจางมีทุนทรัพย์และคุณสมบัติพอที่จะพูดเรื่องแบบนี้ได้ ชาติก่อนเขาเสียสละในเหตุการณ์จี้โรงเรียนอนุบาล เพื่อช่วยชีวิตเด็กที่ถูกจับตัวและครูสาว เขาถูกฉีกทึ้งและถูกไฟคลอกตายพร้อมผู้ร้าย
“ประชุมปรับทัศนคติเป็นเรื่องที่ดี!” ตอนนี้เองทนายอันจู่ๆ ก็ตบต้นขาและตะโกนขึ้นมา ทำเอาหญิงสาวตัวดำที่ดื่มซุปอยู่ข้างๆ ตกใจจนสำลัก
โจวเจ๋อส่ายหน้าอย่างจนใจ คนอื่นๆ กลับมองทนายอันที่มีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงจนเกินไปถึงขนาดนี้อย่างนึกสงสัย
“เหล่าจาง” ทนายอันวางมือลงบนไหล่ของเหล่าจางและออกแรงตบ “คุณต้องแก้ไขความคิดและทัศนคติของคุณให้ดี ยังมีความรู้สึกส่วนตัวของคุณอีกที่ต้องยกระดับให้สูงขึ้น”
ชั่วขณะหนึ่ง เหล่าจางรู้สึกสับสนฉงนใจเล็กน้อย เขาทำอะไรผิดไปหรือเปล่า
ทนายอันกินเสร็จแล้วก็ผุดลุกขึ้น จากนั้นนั่งลงข้างๆ เหล่าจางพลางชี้ชามยักษ์ตรงหน้าเหล่าจาง “คุณกินสิ คุณกินของคุณไป ผมก็พูดของผมไป”
“อ้อ โอเค” เหล่าจางก้มหน้าดื่มซุปต่อ
“เหล่าจางเอ๋ย อันที่จริงน่ะ วิสัยทัศน์ของคนเราจำเป็นต้องสูงขึ้นและกว้างไกลออกไป คุณว่าจริงไหม”
“อืม”
“งั้นจะมองการณ์ไกลได้อย่างไร ก่อนอื่นคุณต้องยืนให้สูง คุณว่าถูกไหม”
“อืม”
โจวเจ๋อคร้านจะฟังทนายอันพล่าม จึงลุกขึ้นเดินตรงไปนั่งลงบนโซฟาตัวโปรดของเขา เพราะว่าเพิ่งกินอาหารเข้าไปจึงไม่ได้เอนกายนอนลง
อิงอิงเดินเข้ามาและหยิบหนังสือพิมพ์สองสามฉบับส่งให้โจวเจ๋อ ไม่ได้ชงชาไว้เพราะการดื่มชาหลังอาหารไม่ดีต่อการย่อยอาหาร ซึ่งมีเขียนไว้ใน ‘การฝึกฝนทักษะของสาวใช้’
“เหล่าจาง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเสมอภาคกัน คุณรู้ใช่ไหม”
“เอ่อ นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ…”
“ไม่ใช่ๆ น่าจะมีในรัฐธรรมนูญด้วยใช่ไหม ทุกคนเท่าเทียมกัน ถูกไหม”
“อืม ถูก”
“ประชาชนที่มีชีวิตก็คือประชาชน ประชาชนที่ตายไปแล้วหรือว่าจะไม่ใช่ประชาชนแล้วล่ะ”
“เหล่าอัน คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่”
“ผมจะบอกคุณว่า ตอนนี้มีเรื่องที่ดีมากๆ วางอยู่ตรงหน้าคุณ ผมลงน้ำพักน้ำแรงมาอย่างยากลำบากเพื่อให้ได้มันมาให้คุณเลยนะ”
“คุณว่ามาก่อนสิ”
“มีโอกาสอยู่ตรงหน้า ซึ่งสามารถทำให้คุณได้รับสถานะทางการในนรก และสะดวกสบายกว่าการเป็นยมทูตตัวกระจ้อยร่อยในโลกมนุษย์อีก คุณอยากไปไหม”
“ไม่อยาก”
“ใช่แล้ว คุณต้องอยาก…” ทนายอันสูดหายใจเข้าลึกๆ “คุณนี่…คุณจะไม่อยากไปได้ยังไง”
เหล่าจางมองโจวเจ๋อที่นั่งอยู่ห่างๆ โดยไม่รู้ตัว
“คุณอย่าไปมองเขา เรียนรู้กับเขาไม่มีอนาคตหรอก”
“…” โจวเจ๋อ
“ต้องลงไปนรกเหรอ”
“ถูกต้อง”
“ไม่สามารถอยู่บนโลกมนุษย์ได้แล้วใช่ไหม”
“ก็มีโอกาสอยู่ สักสามปีห้าปีก็สามารถขึ้นมาดูได้”
“ผมไม่อยากไป ผมรู้สึกว่าตัวเองตอนนี้ก็ค่อนข้างดีอยู่แล้ว”
“จะค่อนข้างดีได้อย่างไรเล่า”
“เข้างาน ทำคดี จับผู้ร้าย ใช้ชีวิตให้เต็มที่แล้ว”
“แค่นี้ก็เต็มอิ่มแล้วเหรอ เหล่าจาง ผมคาดหวังในตัวคุณไว้สูงมากมาโดยตลอดนะ ผมบอกเถ้าแก่เสมอว่าจากในร้านหนังสือทั้งหมด ผมรู้สึกว่าคนที่มีอนาคตที่สุด จริงๆ แล้วก็คือคุณนั่นเอง!”
“อา เอ่อ ใช่เหรอ”
“ใช่น่ะสิ ใช่แน่นอนอยู่แล้วสิ เหล่าจางตอนนี้นรกต้องการคุณนะ”
“แต่ผมไม่มีความสามารถอะไร…”
ทนายอันยื่นนิ้วก้อยของตัวเองออกมาจิ้มไปที่หน้าอกของเหล่าจาง
“…” เหล่าจาง
“มีใจที่เปี่ยมไปด้วยมโนธรรมดวงนี้ก็เพียงพอแล้ว อย่างอื่นน่ะจะมีหรือไม่มีก็ช่างปะไร สิ่งที่ควรมีก็มีอยู่แล้ว แต่มีเพียงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเท่านั้นที่คนอื่นมอบให้ไม่ได้”
“ผม…”
“ผมเผิมอะไรล่ะ เหล่าจาง คุณฟังผมนะ คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้สถานการณ์ของนรกและยมโลกเลวร้ายแค่ไหน”
“เลวร้ายแค่ไหน”
“คดีเล็กขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ คดีปานกลางขึ้นอยู่กับอิทธิพล คดีสำคัญขึ้นอยู่กับการเมือง! คุณบอกทีสิว่านี่จะไม่ร้ายแรงได้อีกเหรอ”
“อ้อ เหมือนจะใช่”
“ลองมองผมอีกที ผมเป็นอย่างนี้แล้วจะไม่ร้ายแรงได้อยู่อีกไหม”
“คุณน่ะ…” เหล่าจางลังเลครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดคำว่า ‘สมควร’ สองคำนั้นออกมา ไม่ว่าระบอบไหนก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายกบฏ ก็ต้องโจมตีอย่างไร้ความปรานี
“ผมมีส่วนพัวพันกับเรื่องร้ายแรงขนาดนั้น กลับยังไม่ตาย ตอนนี้ยังนั่งซดซุปเนื้อที่นี่และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของผมกับคุณได้ นี่มันไม่น่ากลัวหรือไง”
“เอ่อ…” เหล่าจาง
คุณพูดถึงขนาดนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลทันที
“ดังนั้นนรกต้องการให้คุณไปนะ โอกาสตรงหน้านี้คุ้มค่าให้คุณคว้าไว้…”
เถ้าแก่โจววางหนังสือพิมพ์ลง ทนฟังไม่ไหวแล้ว จึงผุดลุกขึ้นผลักประตูและเดินออกไป อิงอิงก็ตามออกมาใส่เสื้อคลุมให้โจวเจ๋อ ที่จริงโจวเจ๋อรู้อยู่แก่ใจดี ไม่ว่าทนายอันจะพูดจาหว่านล้อมเก่งแค่ไหนก็เกลี้ยกล่อมเหล่าจางไม่ได้
เหล่าจาง ‘โง่มาก’ สิ่งที่เขาเชื่อมั่นในตำรวจตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา รวมถึงการที่เขายอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตเด็กๆ อาจถูกใครหลายคนมองว่าเป็น ‘คนโง่’ แต่ ‘คนโง่’ ไม่ใช่ ‘คนเป็นโรคสมองเสื่อม’ เว้นแต่ว่าเขาจะออกปาก ใช้มิตรภาพสมัยก่อนเอ่ยปากกับเหล่าจางด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นเหล่าจางก็คงจะไม่เห็นด้วย และเถ้าแก่โจวเองก็ไม่เต็มใจพูดแบบนี้ด้วย จะให้เถ้าแก่อย่างเขาอยู่อ่านหนังสือพิมพ์ อาบแดด ดื่มกาแฟอยู่ข้างบนนี้ต่อ แล้วส่งคุณลงนรกเพื่อต่อสู้กับอาชีพใหม่งั้นเหรอ
ทำเรื่องพวกนี้ไม่ลงจริงๆ
ใต้กิ่งไฟถนน โจวเจ๋อเดินข้างหน้า อิงอิงเดินตามหลัง เงาของทั้งสองคนถูกสาดยืดยาวไปพร้อมกัน อันที่จริงก็ไม่ได้เดินไปไกลสักเท่าไร แค่เลี้ยวกลับจากถนนด้านหน้าอ้อมกลับมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
“อ้าว ไปเดินเล่นกันเหรอ” เพื่อนร่วมชั้นฉวีหมิงหมิงกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งริมถนน หูก็เสียบหูฟังไปด้วย เมื่อเห็นโจวเจ๋อใกล้เข้ามา เขาก็ถอดหูฟังออกอย่างมีมารยาท โจวเจ๋อก็พยักหน้าอย่างสุภาพเช่นกัน
“พี่ชาย มีเรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจผมมาหลายวันแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะพูดออกมาดีหรือเปล่า” ฉวีหมิงหมิงลุกขึ้นยืนและพูดด้วยความลำบากใจเล็กน้อย
“งั้นก็ไม่ต้องพูดสิ”
“…” ฉวีหมิงหมิง
“ผม…”
“อิงอิง ผมรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย ลมข้างนอกแรงเกินไป เรากลับกันเถอะ”
“เอ่อ…” ฉวีหมิงหมิง
เมื่อโจวเจ๋อข้ามถนนไป ฉวีหมิงหมิงกัดฟันกรอดและไล่ตามมา โจวเจ๋อยักไหล่อย่างจนใจเล็กน้อย
“ผมอยากรบกวนคุณให้ช่วยอะไรหน่อย”
“ช่วงนี้ผมยุ่งมาก”
“ผมอาศัยอยู่ตรงข้ามบ้านคุณ” หมายความว่า ฉันสามารถมองเห็นนายนั่งอยู่ริมหน้าต่างบ้านนายทุกวัน ยุ่งอยู่กับอะไรทุกวี่ทุกวัน
“ว่ามาสิ ไม่รับปากว่าจะช่วยได้” โจวเจ๋อเอ่ยพูด
“ข้างๆ บ้านพวกคุณ” ขณะที่พูดเพื่อนร่วมชั้นฉวีหมิงหมิงชี้ไปทางฝั่งขวามือของร้านหนังสือ เป็นทนายอันที่เหมาให้หญิงสาวตัวดำปลูกดอกพลับพลึงแดงโดยเฉพาะ
“มีอะไร” โจวเจ๋อถาม
“ช่วงนี้หนอนพิษกู่ที่ผมเลี้ยงพวกนั้นมีอาการกระสับกระส่าย ผมไม่รู้สาเหตุ ต่อมาผมปล่อยหนอนพิษกู่ออกมาสองสามตัว แล้วพบว่าพวกมันคลานกระดึ๊บไปตรงตำแหน่งข้างบ้านพวกคุณ”
“อ๋อ” โจวเจ๋อพยักหน้าและสั่งกำชับอิงอิง “อิงอิง พรุ่งนี้ซื้อยาฆ่าแมลงหรือกาวดักแมลงวันอะไรพวกนี้มาเยอะๆ แล้วใส่ไว้ข้างบ้านมากๆ หน่อย”
“เจ้าค่ะ เถ้าแก่!”
“เถ้าแก่ฉวี ขอบคุณที่เอ่ยเตือน วางใจได้ พวกเราจะระวังไม่ให้ตัวเองถูกแมลงกัด เถ้าแก่ฉวีคุณช่างใจดีจริงๆ นะครับ” ทันใดนั้นดูเหมือนว่าโจวเจ๋อนึกอะไรบางอย่างได้และสั่งว่า “ไม่ได้ ย่าฆ่าแมลงแพงเกินไป พรุ่งนี้บอกให้เดดพูลมาเฝ้าหน้าประตูร้านหน่อยนะ แมลงมาหนึ่งตัวก็กลืนเข้าไปหนึ่งตัว ถือว่าเป็นมื้อพิเศษของเขาแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ เถ้าแก่!”
“…” ฉวีหมิงหมิง
…………………………………………………………
[1] แป้งแช่ในซุปเนื้อแกะ (羊肉泡馍) อาหารขึ้นชื่อของมณฑลส่านซี