ตอนที่ 557 ความลับของเถ้าแก่โจว!!!
ชุ่ยฮวาเอ๋อร์ตะโกนด่ากราดอยู่ตรงนั้น ด่าได้ตลาดล่างมาก วาจาทะลึ่งหยาบคายทุกประเภทสาดออกมาไม่หยุด ถ้าคุณอยู่ในชนบทแล้ววิ่งไปเหยียบไร่ผักของคนอื่น เขาก็ต้องด่าคุณเปิดเปิงอย่างนี้แน่นอน
ที่จริง หากจะบอกว่าสูญเสียไปเท่าไรนั้นมันไม่สำคัญเลยจริงๆ ประเด็นสำคัญคือการเหยียบย่ำทำลายข้าวของเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าโมโหที่สุดต่างหาก
อย่ามองแค่ว่าตอนนี้ยมทูตที่อยู่ที่นี่แต่ละคนว่านอนสอนง่ายแค่ไหน แต่ตอนที่อยู่ในท้องถิ่นของตนก็มีบทบาทเป็นพวก ‘สวรรค์สูงฮ่องเต้ห่างไกล[1]’ เมื่อมาที่นี่กลับถูกเด็กน้อยแปลกหน้าตำหนิเหมือนกำลังอบรมสั่งสอนหลานชาย ก็ย่อมหัวร้อนเป็นธรรมดา แต่ผู้ตรวจสอบผู้ยิ่งใหญ่สองสามคนนั้นที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดดันนิ่งสงบทำสมาธิราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ลอยตัวอยู่เหนือเหตุการณ์ คนอื่นถ่มน้ำลายใส่หน้าก็ไม่รู้จักเช็ด ผู้ที่ไม่รู้ยังนึกว่าเจ้าหน้าที่ระดับรากหญ้าของยมโลกยอมจำนนก้มหัวเต็มใจเป็นวัวควาย
โจวเจ๋อหันข้างเล็กน้อย ชุ่ยฮวาเอ๋อร์มีผืนนาอยู่ที่นี่และใช้มันปลูกผักและดองผักกาดดองด้วย ถือได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น
แต่ทว่า ในเวลานี้อย่าให้เจ้าเด็กนั่นเห็นเลยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นด้วยสติปัญญาของเด็กนั่นเดาว่าจะตะโกนแหกปากออกมาตรงๆ ‘ไอ้สารเลวที่แทงข้า ทำไมแกมาอยู่ที่นี่ได้!’
โชคดีที่มีคนมากมายอยู่ที่นี่ อีกทั้งชุ่ยฮวาเอ๋อร์ก็ตำหนิติเตียนอย่างแรงจนไม่ได้สังเกตเห็นโจวเจ๋อที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน
“ข้าโชคร้ายไปแปดชาติแน่ๆ ถึงได้มาเจอดาวหายนะอย่างพวกเจ้า!” ปากก็แห้ง หายใจก็หอบ ด่าจนเหนื่อยนิดหน่อยแล้วชุ่ยฮวาเอ๋อร์ก็ถือกระบุงพร้อมกับเดินโซเซออกไป เธอต้องกลับไปทำบะหมี่ผักกาดดองให้ท่านสี่ จะชักช้าเสียเวลาอยู่ที่นี่นานไม่ได้ หากท่านสี่หิวจนไส้กิ่วขึ้นมา โทษก็จะใหญ่มากทีเดียว
หลังจากชุ่ยฮวาเอ๋อร์เดินไปไกลแล้ว โจวเจ๋อเห็นว่าไหล่ของผู้ตรวจสอบสองสามคนที่ยืนด้านหน้าสุดผ่อนคลายลงพร้อมกันพลางถอนหายใจเฮือก ดูเหมือนว่าที่ทนายอันพูดจะถูก ระหว่างผู้ตรวจสอบด้วยกันเองไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด
ในฐานะผู้ชายที่สามารถข่มทนายอันได้ ‘เฝิงซื่อ’ ประสบความสำเร็จในนรกอย่างเห็นได้ชัด ถึงขนาดที่ว่าสาวรับใช้ส่วนตัวของเขาสามารถชี้นิ้วด่าทอกลุ่มผู้ตรวจสอบได้กันเลยทีเดียว!
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง จู่ๆ ผู้ตรวจสอบสองสามคนด้านหน้าสุดก็คุกเข่าลงพร้อมกัน ชูมือขึ้นสองข้าง เอ่ยด้วยเสียงเคารพนบน้อม “คำนับท่านอาวุโส!”
ยมทูตทั้งสามร้อยคนที่นี่ตกตะลึงครู่หนึ่งในทันใด จากนั้นก็พากันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง นายท่าน บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่จัดตั้งการฝึกอบรมครั้งนี้ปรากฏตัวขึ้นในที่สุดดฮณ๊ฯดฯฌซ,
โจวเจ๋อก็คุกเข่าลงเช่นกัน แต่ก็ยังจงใจเงยหน้าแอบลอบมองไปข้างหน้า ทว่ามองไม่เห็นใคร จากนั้นเลื่อนสายตาขึ้น กลางอากาศมีชายวัยกลางคนสวมเครื่องแบบทางการสีเหลือง สวมฟางกวานบนศีรษะ มือข้างหนึ่งถือปากกา มืออีกข้างหนึ่งถือสมุด ค่อยๆ เดินลงมาจากฟากฟ้า
ทุกย่างก้าวของเขาราวกับเหยียบย่ำดวงใจของผู้คนเบื้องล่าง แผ่วเบาแต่ทว่าทรงพลัง อาจจะเป็นแรงกดดันจากตัวเขาเอง หรืออาจจะเป็นเงาทะมึนที่มาจากตำแหน่ง ‘ผู้พิพากษา’ เอาเป็นว่ากลุ่มคนเบื้องล่าง พวกยมทูตที่พยายามแอบแหงนหน้ามองเหล่านั้นจำต้องก้มหน้างุดไปทีละคน คล้ายกับถูกมือของใครบางคนกดหัวลงอย่างแรงเสียอย่างนั้น
เหล่าจางฝืนไม่ไหวแล้วจึงก้มหน้าลงพลางหันข้าง เหลือบมองเถ้าแก่ที่อยู่ข้างๆ ก็พบว่าเถ้าแก่ก้มหน้าศึกษาผักกาดขาวพันธุ์พิเศษของนรกที่พื้นตั้งนานแล้ว
“…” เหล่าจาง
เมื่อปากกากับสมุดกระทบกัน ไม่คิดว่าจะส่งเสียงระฆังดังขึ้น ครู่หนึ่ง ทุกคนรู้สึกเพียงหัวใจว่างเปล่าราวกับว่าละอองฝุ่นถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว
โจวเจ๋อเลียริมฝีปาก เพียงแค่รู้สึกว่าหากผู้พิพากษาผู้นี้ไปโลกมนุษย์และเริ่มทำโครงการเฉียนเป่าหรือไม่ก็โครงการเมกะโปรเจกต์ 101 อะไรทำนองนี้ รับรองว่าจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
“ลุกขึ้นเถิด” ผู้พิพากษาลู่เอ่ย
ทุกคนลุกขึ้นอย่างช้าๆ การเคลื่อนไหวของทุกคนล้วนเชื่องช้ามาก โจวเจ๋อเป็นคนสุดท้ายที่ยืนขึ้น เพราะเขาพบว่าผักกาดขาวบนพื้นมีรูพรุนเหมือนถูกแมลงกัดกิน
นรกก็มีแมลงร้ายด้วยหรือนี่
“วันนี้ที่เรียกพวกท่านมา มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ข้าต้องการคน ข้าต้องการคนของข้า ข้าต้องการคนที่ยอดเยี่ยม ข้าให้สัญญาว่าจะมอบตำแหน่งสูงเงินเดือนดีให้ ข้าจะให้โอกาสพวกท่านเฟื่องฟูเพียงชั่วพริบตา สิ่งที่พวกท่านจะต้องทำในวันนี้ก็คือเผยความยอดเยี่ยมเป็นเลิศต่อหน้าข้า!” ตรงประเด็น ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมแม้แต่นิดเดียว
เดิมทีโจวเจ๋อนึกว่าผู้พิพากษาลู่ผู้นี้จะรำลึกย้อนไปถึงผลงานการพัฒนานรกในช่วงห้าปีที่ผ่านมาพร้อมกับทุกคน แล้วมองดูพิมพ์เขียวที่สวยงามของนรกในอนาคตด้วยกัน จัดการพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และพญายมทั้งสิบองค์ โอ้ไม่สิ พาพญายมออกมาพร้อมกัน มาร้องเพลงสรรเสริญแล้วค่อยเข้าประเด็นกัน
คิดไม่ถึงว่า คนจะค่อนข้างตรงไปตรงมา ความหมายก็น่าจะประมาณว่า ข้ามีเงิน ข้าอยากรับสมัครและซื้อทหาร! อีกทั้งตอนที่ผู้พิพากษาลู่ผู้นี้พูด ก็ดูเหมือนว่าจะมีจังหวะพิเศษ ราวกับว่าสามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้คน เอาเป็นว่า โจวเจ๋อสังเกตเห็นเหล่าจางที่อยู่ข้างๆ ตัวเองกำลังหอบเล็กน้อย
จุ๊ๆ ทำไมถึงไม่มีผลอะไรกับฉันเลยล่ะ ดูเหมือนว่าฉันเปิดใจกว้างสินะ ตำแหน่งฐานะและความมั่งคั่ง ละอองฝุ่นและดิน เรื่องจิ๊บๆ ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
ผู้ตรวจสอบหลายคนยืนอยู่ด้านหลังผู้พิพากษาลู่ มีผู้ตรวจสอบทั้งหมดห้าคน แต่งกายแบบเดียวกันทั้งหมด เป็นเสื้อกันลมแบบโบราณแต่สีต่างกัน
นี่ทำให้โจวเจ๋อต้องสงสัยในสุนทรียภาพของผู้พิพากษาลู่ผู้นี้ ผู้ใต้บังคับบัญชามีหลากหลายสีสันอย่างนี้ คอสเพลย์พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์อยู่งั้นเหรอ
“เบื้องหน้านี้เป็นโบราณสถานมีชื่อเสียงในนรกแห่งหนึ่ง พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เคยมาร่วมพิธีไว้อาลัยที่นี่ พญายมทั้งสิบองค์ผู้ยิ่งใหญ่เคยเสด็จเข้ามาหมดแล้ว ระดับผู้ตรวจสอบขึ้นไป ดูเหมือนว่าไม่มีผู้ใดไม่เคยย่างกรายเข้ามาที่นี่ ในเพลานั้นที่นี่เต็มไปด้วยข้อห้าม แต่บรรพบุรุษของราชวงศ์ในอดีตได้ทำลายข้อห้ามที่น่ากลัวที่สุดมานานแล้ว สมบัติส่วนใหญ่ที่บรรจุอยู่ในนั้นก็ถูกบรรพบุรุษรุ่นก่อนยึดไปเช่นกัน แต่ที่นี่ยังคงมีความลับซ่อนอยู่และมีสมบัติที่ตกหล่นสูญหายไปอีกมากนัก แน่นอนว่ายังมีอันตรายที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย
วันนี้ข้าจะเปิดประตูโบราณสถานแห่งนี้ให้พวกท่านเข้าไป ข้าให้เวลาพวกท่านเจ็ดวัน หลังจากเจ็ดวัน ข้าจะเปิดประตูอีกครั้ง! พวกท่านสำแดงสิ่งที่พวกท่านได้รับ อาจจะเป็นการตระหนักรู้ ขุมทรัพย์ หรือโชคลาภวาสนาอื่นๆ ที่ได้รับมาต่อหน้าข้า นอกจากนี้ ขอเตือนว่า สายตาของยมโลกมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ข้างในนั้นกลับเป็นหนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งของยมโลกที่ไม่สามารถหยั่งรู้ได้!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของโจวเจ๋อแข็งค้างทันที ยิ่งกว่านั้นสีหน้าของยมทูตจำนวนมากพลันเปลี่ยนไป ความหมายผิวเผินของประโยคนี้คือ ข้างในนั้นสามารถรบราฆ่าฟัน ปล้นสะดมระหว่างยมทูตด้วยกันได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคิดบัญชีในภายหลัง!
อำมหิตจริงๆ
โจวเจ๋อทอดถอนใจ เอายมทูตสามร้อยคนมาทดสอบต่อสู้เพื่อกลั่นกรอง สิ่งที่เขาต้องการในการสร้างนรกขุมที่เก้าขึ้นใหม่ก็คือกลุ่มกระดูกสันหลัง ฉะนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าจะมียมทูตตกตายกันไปเท่าไร
จริงๆ แล้ว ยมทูตเป็นวัสดุสิ้นเปลืองในสายตาคนระดับสูงของยมโลก มีความหมายคล้ายคลึงกับกองทัพหุ่นเชิดในปีนั้นเล็กน้อย
พฤติกรรมของผู้พิพากษาลู่เรียบง่ายตรงไปตรงมาเสียจริง หลังจากพูดเนื้อหาการทดสอบเสร็จสิ้นก็หมุนตัวกางแขนทั้งสองข้าง ได้ยินเพียงเสียง ‘โครม!’ ประตูใหญ่ของพระราชวังด้านหน้าก็ค่อยๆ ถูกผลักออกอย่างช้าๆ ในเวลานี้ แต่ทว่าไม่สามารถเปิดได้อย่างเต็มที่ เปิดเพียงช่องเล็กๆ ยาวแค่สองเมตรเท่านั้น
“เข้าไปเถิด” ผู้พิพากษาลู่เร่งเร้า
“เข้าไป!” ผู้ตรวจสอบห้าคนแบ่งกันเรียงแถวซ้ายขวา เหมือนคนเลี้ยงแกะกำลังช่วยเจ้าของที่ดินต้อนฝูงแกะ
ยมทูตกลุ่มหนึ่งเรียงแถวเข้าไปข้างในอย่างเชื่อฟังราวกับกำลังกลับคอกแกะอย่างไรอย่างนั้น
แบะ…
โจวเจ๋อเอื้อมมือไปดึงเหล่าจาง ส่งสัญญาณให้เหล่าจางตามเขาไปติดๆ
ข้างในอาจจะวุ่นวายมาก ตามคำกล่าวแนะนำของผู้พิพากษาผู้นั้นก่อนหน้านี้ เมื่อก่อนพระราชวังแห่งนี้น่าจะเป็นคฤหาสน์ของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ จากนั้นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ล้มลง ต่อมาพวกบุคคลยิ่งใหญ่ทั้งหลายพากันมาเสี่ยงโชคที่นี่ ยกเลิกข้อห้าม สิ่งใดสามารถย้ายได้ก็ย้ายไป บุคคลผู้ยิ่งใหญ่แย่งปลาตัวใหญ่ ผู้น้อยก็แย่งปลาตัวเล็ก ส่วนยมทูตสามร้อยคนอย่างเขาเข้าไปก็ตามหาได้แค่แพลงก์ตอน[2]น่ะสิ
หลังจากเดินเข้าประตูใหญ่ไป วิสัยทัศน์เบื้องหน้าก็เปิดขึ้น!
สิ่งที่ดึงดูดสายตาคือจัตุรัสที่รกร้าง บ้างก็ชำรุดทรุดโทรม บ้างก็เก่าล้าสมัย แต่คุณยังคงสามารถเสริมเติมแต่งถึงความรู้สึกกดดันน่าเกรงขามได้ในสมอง จนยากจะจินตนาการได้ว่าในยุครุ่งเรืองของที่นี่ในอดีต จะหรูหราโออ่าได้ถึงเพียงไหนกัน
มีสหายยมทูตที่มั่นอกมั่นใจสิบกว่าคนตรงเข้าไปยังพื้นที่ส่วนลึก ราวกับกลัวว่าถ้าชักช้าของดีจะถูกคนอื่นแย่งไปเสียก่อน ช่างมั่นใจเต็มเปี่ยมเสียจริง แต่ยมทูตส่วนใหญ่เดินเข้าไปข้างในพร้อมกันอย่างช้าๆ เพิ่งจะเข้ามาในสถานที่แปลกตาเป็นครั้งแรก ทุกคนยังคงระมัดระวังและหวาดกลัว
ยมทูตบางส่วนที่ดูเหมือนจะรู้จักกันมาก่อนรวมตัวกันอย่างเงียบๆ นี่คือแผนการแบ่งเป็นกลุ่มเพื่อรุกและถอยร่วมกันเฝ้าระวังช่วยเหลือกัน
โจวเจ๋อนั่งลงตรงขั้นบันไดหลังเข้าประตูมา ส่วนเหล่าจางก็นั่งอยู่ข้างโจวเจ๋อ ทั้งสองเหมือนเป็นนักท่องเที่ยวจอมขี้เกียจที่มาเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้าม และทอดถอนใจว่าบ้านของจักรพรรดิชราใหญ่โตมาก นี่จะต้องจ่ายภาษีอสังหาริมทรัพย์เท่าไรกันนะ
“ไปด้วยกันไหม” หญิงสาวชุดกระโปรงขาวเดินมาอยู่ตรงหน้าโจวเจ๋อพร้อมกับเชื้อเชิญโจวเจ๋อ
นามของคน เงาของต้นไม้ ยมทูตทงเฉิงมีชื่อเสียงมาก ย่อมมีคนอยากรวมกลุ่มด้วย
ข้างกายหญิงสาวคนนี้ยังมียมทูตอีกสองคนยืนอยู่ ดูเหมือนจะมีมารยาทและน้ำใจดี แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนสำคัญไม่มีความสามารถอะไร จึงไม่กล้ามาหาโจวเจ๋อเพื่อจัดตั้งทีม
เถ้าแก่โจวโบกมือพลางเอ่ย “คุณไม่คู่ควร”
“…” หญิงสาว
พวกเธอจากไปโดยไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และไม่ทิ้งคำพูดร้ายกาจใดๆ ไว้เลย สิ่งนี้ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ปกติแล้วเขาจะถ่อมตน ถ่อมตน และถ่อมตน แต่ก็มักมีคนตื้นเขินมาหาเรื่องเขา แต่ตอนนี้เขาทำตัวเด่นทำท่าทางวางโตอยากหาเรื่องต่อยตี กลับไม่มีใครกล้าหือ
ที่ริมสระน้ำตรงกลางชานบันไดด้านหน้าโจวเจ๋อนั้นมียมทูตสองคนยืนอยู่ ดูเหมือนพวกเขากำลังตรวจสอบด้านในนั้นอยู่ สระน้ำตื้นมากแถมอยู่ใกล้ประตูทางเข้ามากที่สุด ตามหลักการแล้ว ที่นี่น่าจะไม่มีของดีอะไรอยู่ด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรรุ่นก่อนๆ ก็ค้นหาที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองตั้งใจทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม และนึกว่าตัวเองรู้ความจริงของความมืดใต้แสงตะเกียง
ยมทูตหนึ่งในนั้นกระโดดลงไปทันที ต้องการจะไปสำรวจในโคลน
แต่ใครจะรู้ว่าในชั่วพริบตานั้นเอง
‘ฟุ่บ!’
งูเหลือมยักษ์เนื้อเปื่อยเน่าโผล่หัวออกมากัดเอาศีรษะของยมทูตคนนั้นขาดสะบั้นในฉับพลัน และวิญญาณของยมทูตคนนั้นก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ในทันใด
ชั่วขณะหนึ่ง ยมทูตมากกว่าหนึ่งร้อยคนในบริเวณใกล้เคียงที่ยังไม่ได้จากไป มองดูงูเหลือมยักษ์นี้พร้อมกัน!
ทุกคนไม่คาดคิดว่าอันตรายจะอยู่ใกล้แค่ประตูทางเข้า!
บางทีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตคงขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการงูเหลือมยักษ์จึงเก็บมันไว้อยู่ตลอดมา แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่างูเหลือมยักษ์เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ได้
หลังจากที่งูเหลือมยักษ์ตัวนี้กลืนกินวิญญาณยมทูตไปคนหนึ่งแล้ว ดวงตางูที่เหลืออยู่เพียงดวงเดียวดูเหมือนจะกวาดมองรอบข้าง ไม่คิดจะเริ่มจู่โจมก่อน มันไม่แม้แต่จะสนใจยมทูตที่อยู่ใกล้ที่สุดแต่ก็ไม่ได้ลงมาคนนั้น และถอยกลับเข้าไปในโคลนอีกครั้ง
เหล่าจางที่อยู่ข้างๆ เบิกตากว้างอ้าปากค้าง โจวเจ๋อก็อ้าปากค้างเช่นกัน จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าในเมื่อจะตีเนียนอยู่ไปวันๆ ก็ควรจะตีเนียนให้ถึงที่สุดจะดีกว่า
สหายตายไปคนหนึ่งไม่ได้ทำให้วุ่นวายจนเกินไป ไม่นานนัก ยมทูตส่วนใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงก็เดินจากไปไกลแล้ว เหลือเพียงโจวเจ๋อและเหล่าจางอยู่บนขั้นบันได และมีชายหนุ่มในชุดกีฬายืนอยู่ไม่ไกล
“เถ้าแก่ พวกเรา…”
“ผมรู้สึกว่านั่งอยู่ตรงนี้ก็ดีออก คุณคิดว่าไง”
“เอ่อ”
“ดูเหมือนว่าคุณจะเห็นด้วยนะ”
‘เหอะ…เหอะ…เหอะ…’ เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากก้นบึ้งหัวใจ
‘คุณตื่นแล้วสินะ’
‘อืม…’
‘คุณอยู่ที่นี่ไม่กลัวจะถูกสัมผัสได้หรือไง ยังกล้าโผล่หัวมาอีกนะ’
‘ที่นี่…ตัดขาด…’ ทันใดนั้นโจวเจ๋อก็นึกขึ้นได้ว่าผู้พิพากษาลู่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ที่นี่เป็นสถานที่ไม่กี่แห่งที่ดวงตาหยั่งรู้ของยมโลกตรวจจับไม่ได้ ดังนั้นอิ๋งโกวถึงได้กล้าโผล่หัวออกมาพล่ามได้ในตอนนี้
‘ก็ได้ งั้นคุณก็พักผ่อนต่อแล้วกัน ผมเองก็วางแผนจะพักผ่อนเหมือนกัน นอนหลับในนรกน่าจะสบายกว่าหน่อย’ โจวเจ๋อหันหน้าไปบอกเหล่าจางอีกครั้ง “เหล่าจาง คุณก็ไม่ได้นอนหลับมานานแล้วสินะ เอาแต่นั่งสมาธิก็ไม่ดี เราฉวยโอกาสนี้นอนหลับกันสักตื่น ตั้งเจ็ดวันเลยนะ เป็นสัปดาห์ทองได้เลยนะเนี่ย”
“เอ่อ ครับ…” เถ้าแก่สั่งให้เขาอู้ งั้นเขาก็อู้หน่อยแล้วกัน
เมื่อชายหนุ่มชุดดำที่ยังไม่เดินออกไปคนนั้นหันกลับมามอง ก็พบว่าทั้งสองคนบนบันไดข้างหลังที่ห่างจากประตูทางเข้าไม่ถึงสองเมตรนอนหงายเตรียมพร้อมนอนหลับอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
“…” ชายหนุ่มชุดดำ
ชายหนุ่มงุนงงเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะ ทันใดนั้นเขาก็ล้มตัวนอนลง ดูเหมือนว่าจะเตรียมนอนหลับด้วยเช่นกัน
ตอนนี้เองเถ้าแก่โจวลืมตา มองชายหนุ่มด้านล่างที่หลับอยู่ไม่ไกล ทันใดนั้นความระแวดระวังก็ผุดขึ้นในใจ
เขากำลังทำงานแบบเช้าชามเย็นชามแล้วเจ้านั่นล่ะ เหมือนเขาเหรอ รู้ทันแล้วงั้นเหรอ
ไม่ใช่ ไม่น่าจะใช่
‘เขา…กำลัง…รอ…คน…กลับ…มา…’
รอคนกลับมาเหรอ
โจวเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก นี่กำลังเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายงั้นเหรอ[3]
คนอื่นไปตามหา ไปลองเสี่ยงโชค อาศัยวาสนาของตัวเอง เขาแค่รออยู่ที่นี่ เพราะเจ็ดวันให้หลัง ทุกคนก็จะออกจากที่นี่ เขารอให้คนเอาของมาประเคนตรงหน้าให้เขา
มั่นอกมั่นใจขนาดนี้เลยเหรอ
นักเรียนกากๆ สองคนกับนักเรียนหัวกะทิหนึ่งคน มอบหมายให้ไปอยู่หอพักเดียวกัน มักจะรู้สึกว่าการใช้ชีวิตไม่ค่อยเข้ากัน
“เถ้าแก่ ไม่เดินเข้าไปดูข้างในจริงๆ เหรอ” เหล่าจางคิดว่าในเมื่อมาแล้ว ทำไมเราไม่เข้าไปถ่ายรูปเช็กอินกันหน่อยล่ะ
“ข้างในมันอันตรายมาก” โจวเจ๋อพูดพลางมองชายหนุ่มชุดดำที่นอนอยู่ คนผู้นี้ดูอันตรายยิ่งกว่าเสียอีก สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ เกิดเขานึกว่าโจวเจ๋อมีแผนเดียวกันกับเขาขึ้นมา จู่ๆ วันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วอยากจะท้าดวลแข่งขันเพื่อชิงสิทธิ์ในการเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายจะทำอย่างไร
โจวเจ๋อนั่งลงอีกครั้งและคลำกระเป๋าเสื้อ ไม่มีบุหรี่ จึงรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย สายตาก็มองเข้าไปในส่วนลึกของพระราชวัง บอกตามตรงว่ายังมีแรงกระตุ้นอยากไปลองเสี่ยงโชค ครอบครัวยากจน อิงอิงยังรอให้เขาเก็บของกลับไปซื้อข้าวให้ทำอาหารอยู่นะ
‘จริงสิ เหล่าอิ๋ง คุณรู้หรือเปล่าว่าที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่ ก่อนหน้านี้คุณเคยมาที่นี่หรือเปล่า หรือว่าคุณสัมผัสว่ามีสมบัติที่ยังไม่ถูกค้นพบอยู่ที่นี่บ้างไหม’
‘บ้าน…ข้า…’
……………………………………………………
[1] สวรรค์สูงฮ่องเต้ห่างไกล หมายถึงสถานที่ห่างไกลจนอำนาจจากศูนย์กลางไปไม่ถึง สามารถทำเรื่องชั่วโดยที่ไม่มีผู้ใดเห็น
[2] แพลงก์ตอน หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมากตั้งแต่มองไม่ได้ด้วยตาเปล่าจนถึงขนาดใหญ่เห็นได้ชัด เคลื่อนที่ด้วยตนเองไม่ได้ ล่องลอยไปมาอยู่ในน้ำทะเล และน้ำจืดตามการเคลื่อนไหวของน้ำ
[3] เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย เป็นสำนวนจีนเปรียบเปรยคนที่ไม่คิดที่จะลงแรงหรือพยายามทำงานเอาแค่นั่งรอคอยโชคชะตา