ตอนที่ 561 (แท้จริงแล้ว) พรหมลิขิตคือรัก
ศัลยแพทย์คนหนึ่งในชาติก่อน ต่อให้เขายอดเยี่ยมแค่ไหน จะมีชื่อเสียงในแวดวงเล็กๆ ในทงเฉิงเพียงใด ก็ยังบีบคั้นตัวเองเพื่อให้ได้บ้านหลังเล็กๆ อยู่ดี ส่วนชาตินี้ ค่อยเป็นค่อยไป จากยมทูตชั่วคราวจนได้เลื่อนขั้นเป็นยมทูตเต็มตัว แล้วค่อยรับเอาผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามา เปิดร้านหนังสือรับพนักงาน สำหรับโจวเจ๋อแล้วมันเป็นเหมือนความเพ้อฝันไม่ใช่ความจริง
แต่ตอนนี้ เขาในเวลานี้กำลังยืนอยู่ที่นี่ มองดูผู้ยิ่งใหญ่ทรงพลังที่โผล่ออกมาแค่ในตำนานปรัมปราเท่านั้นต่อสู้ปะทะกัน คลื่นปราณอันน่าเกรงขาม พลังอันน่าสะพรึงกลัวส่งเสียงอึกทึกครึกโครม ฉากการปะทะอันน่าตกตะลึงของร่างธรรม แทบจะเรียกได้ว่าทำลายจินตนาการในอดีตของโจวเจ๋อจนหมดสิ้น เขาเคยเห็นฉากใหญ่อลังการมาก็ไม่น้อย เจ้าโง่นั่นในร่างเขาก็ชอบใช้ฉากอลังการงานสร้างทุกครั้ง แต่นี่เป็นการต่อสู้กันอย่างแท้จริง ไม่ใช่ภาพแห่งความทรงจำหรือภาพแห่งความว่างเปล่า นี่คล้ายกับการดูหนังแอกชันยิงกระหน่ำในโรงหนังกับการที่ตัวเองได้มาอยู่ในเหตุการณ์ยิงกราดนั้น ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ชีวิตคนเราก็เหมือนกับการเดินทาง บางคนเดินด้วยเท้า ถึงจะลำบากแต่ก็ก้าวอย่างมั่นคง
บางคนนั่งรถม้า โคลงเคลงแต่ยังมีแรงฮึด
บางคนขี่พายุท่องคลื่น[1] สั่นไหวแต่กลับสามารถดื่มด่ำกับทัศนียภาพที่สวยงามของทะเลและท้องฟ้า
ตอนนี้เถ้าแก่โจวมีความรู้สึกว่าเขากำลังขี่จรวดพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จนทำให้เขาควบคุมตัวเองได้ยากอยู่หน่อยๆ นอกจากนี้ยังมีอารมณ์ที่เรียกว่าความตื่นตระหนกร่วมด้วย
เร็วเกินไปแล้ว ทำความคุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ยากเหลือเกิน
โดยเฉพาะเมื่ออิ๋งโกวเสนอว่าเขามีวิธีอาศัยค่ายกลของที่นี่ฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนนี้ โจวเจ๋อหยิกจางเยี่ยนเฟิงที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว หลังได้ยินเสียงร้องโอดโอยของจางเยี่ยนเฟิง โจวเจ๋อถึงได้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเขาในชาติก่อนได้พบกับชายชราถือเรื่อง ‘ฝ่ามือยูไล’ มาบอกเขาว่าชาติหน้าคุณจะมีโอกาสไปฆ่าพญายมถึงนรก เดาว่าเขาคงจะรีบแจ้นโทรแจ้งโรงพยาบาลจิตเวชให้มาจับเอาคนไปเสียมากกว่า
แต่ตอนนี้มันดันกลายเป็นเรื่องจริงแล้วนี่สิ
บางที ตัวทนายอันที่ยังทำหน้าที่คุมงานในร้านหนังสือที่ทงเฉิงบนโลกมนุษย์ยังนึกไม่ถึงเสียด้วยซ้ำว่า ความเป็นไปของเรื่องราวจะเกินกว่าที่เขาคาดหมายไว้ก่อนหน้านี้ไปตั้งนานนมแล้ว เดิมทีเกมที่บางคนคิดว่าจะจัดการได้ง่ายๆ กลับพังทลายเสียจนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงตั้งนานแล้ว艾琳小說
‘ขอโทษ’ โจวเจ๋อพูดสองคำนี้
เขาเชื่อว่าในเมื่ออิ๋งโกวพูดถึงขนาดนี้แล้ว อย่างนั้นที่นี่จะต้องมีไม้ตายรออยู่แน่ๆ อีกทั้งดวงตาของยมโลกไม่อาจหยั่งรู้ที่แห่งนี้ได้ ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าไม้ตายนี้มีอยู่จริงมาโดยตลอด แต่โจวเจ๋อไม่มีทางตกลงยอมทำสิ่งนี้หรอก เพราะก่อนหน้านี้ที่อยู่บนโลกมนุษย์ อิ๋งโกวกลืนกินปลาซิวปลาสร้อยกุ้งน้อยลงไปบ้าง ก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นความระแวงระวังของโจวเจ๋อ
ตอนนี้ ถ้าหากอิ๋งโกวกลืนทั้งสองคนตรงหน้านี้จริงๆ หรือแม้กระทั่งเขมือบไปสักคนหนึ่ง อย่างนั้นเวลาแห่งความตายของเขาก็มาถึงแล้วน่ะสิ จะต้องอาศัยกรงเหล็ก อาศัยแม่กุญแจเหล็กเท่านั้น เขาถึงจะปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกเสือข้างในขย้ำกินได้ แต่ถ้าหากให้เสือมีพละกำลังหลุดพ้นพันธนาการกรงขัง แล้วเขาจะจัดการกับตัวเองอย่างไรดีล่ะ
เขาโจวเจ๋อ ไร้ความทะเยอทะยาน สามารถนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ดื่มกาแฟ และอาบแดดบนโซฟาริมหน้าต่างตอนเช้าทุกวัน แล้วจะไปนรกทำไมกัน ที่นรกมีเพียงพระจันทร์สีเลือดเพียงดวงเดียว แสงสว่างไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ
‘ตู้ม!’ ผิงเติ่งหวังถูกชายดุจสตรีกระทุ้งลงมาจากกลางอากาศ แต่เส้นเลือดบนร่างกายของชายดุจสตรีก็ปริแตกหลายเส้นไปตามๆ กัน
ฉากปะทะกันระหว่างยักษ์ใหญ่ บอกได้ยากว่าใครได้เปรียบกว่าใคร บางทีมีเพียงพวกเขาเองเท่านั้นที่รู้แจ้ง
เมื่อชายหนุ่มชุดดำคลานขึ้นมา ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย กระทั่งสามารถมองเห็นไอหมอกสีดำจางๆ กำลังเคลื่อนผ่านด้านหลังเขาไปช้าๆ อย่างชัดเจน นี่แสดงให้เห็นว่ารากฐานได้รับความเสียหาย แหล่งที่มาของวิญญาณล้นทะลักอย่างควบคุมไม่ได้ ส่วนชายดุจสตรีด้านบน ร่างกายแทบจะเริ่มซ้อนทับกัน จิตวิญญาณของเขาใกล้จะควบคุมไม่อยู่เต็มทนแล้ว
ชายดุจสตรีหลบซ่อนเลียบาดแผลอยู่ที่นี่ ในขณะที่สหายของเขากำลังค้นหาร่องรอยของผิงเติ่งหวัง แต่ผิงเติ่งหวังกลับมาถึงก่อนก้าวหนึ่ง หลังพบตำแหน่งของอีกฝ่ายก็รุดตรงมาที่นี่ทันที ภายใต้กระดานหมากรุก เกมระหว่างบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ บางทีผู้พิพากษาลู่อาจเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
สำหรับผิงเติ่งหวัง ขันทีตรงหน้ามีความแค้นเคืองบาดหมางฐานทำลายตำหนักของเขา
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งยังอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมพิเศษ คล้ายกับจิ้งหรีดสองตัวถูกใส่ไว้ในไห ถ้าไม่มีตัวใดตัวหนึ่งถูกกัดตายและแยกส่วน ก็คงไม่มีทางจบสิ้นกันไปแต่โดยดีอย่างแน่นอน!
การต่อสู้ปะทะยังดำเนินต่อไป ด้านบนพระราชวังนี้งดงามเหลือคณา มีพลังเอ่อล้นรั่วไหลกระจายออกไปเป็นระยะๆ จนกระทบเข้ากับมุมหนึ่งของพระราชวัง และยังมียมทูตดวงกุดบางส่วนที่ไม่ได้เผาเงินกระดาษก่อนลงนรกถูกระเบิดกระจุย
ผู้ยิ่งใหญ่รบราฆ่าฟัน ไยจะมาสนใจความเป็นความตายของมดแมลงใต้ฝ่าเท้าด้วยเล่า
โจวเจ๋อกำลังสังเกตสิ่งรอบๆ เขาหวังว่าตอนที่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองด้านบนกำลังสู้รบปรบมือกันจะสามารถทำลายค่ายกลของที่นี่ได้ และเขาก็จะสามารถอาศัยโอกาสนี้หนีออกไป ขณะเดียวกัน เขายังหวังว่าหลังจากเขาหลบหนีออกไป ขันทีผู้นั้นจะได้รับชัยชนะในท้ายที่สุดและฆ่าผิงเติ่งหวังทิ้ง จะได้เลี่ยงการถูกผิงเติ่งหวังซักไซ้ไล่ถามเรื่องลู่ผิงจื๋อกับเขาในวันข้างหน้า
หากวันนี้ผิงเติ่งหวังล้างแค้นได้สำเร็จ และหวนคืนสู่บัลลังก์ตำหนักเก้าในวันข้างหน้าอีกครั้ง อย่างนั้นโจวเจ๋อก็จะเหลือเพียงทางเดียว นั่นก็คือ ‘ละทิ้งตำแหน่ง’ แล้วหลบหนีไปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะรอให้ใครสักคนมาเรียกถึงหน้าประตูแล้วส่งเหล้าผสมพิษให้แก้วหนึ่งหรืออย่างไร
กลับกันชายดุจสตรีผู้นี้กินยมทูตเพื่อรักษาบาดแผล กินใครก็ได้ใช่ไหมล่ะ
แต่ทว่า บ้านของเจ้าโง่ช่างแข็งแรงมั่นคงดีแท้ การเคลื่อนไหวการต่อสู้ระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วปฐพีจริงๆ แต่กลับไม่สามารถทำลายพันธนาการเหนียวแน่นของที่นี่ได้
ผู้พิพากษาลู่ที่อยู่ด้านนอกตกลงระยะเวลากับยมทูตสามร้อยคนไว้ถึงเจ็ดวันด้วยกัน เขาไม่สามารถรับรู้สถานการณ์ข้างในได้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ถึงกับไม่เปิดแม้แต่ประตู
เถ้าแก่โจวเสียขวัญมาก ถ้าหากออกจากที่นี่ไม่ได้ ไม่ว่าผลแพ้ชนะของทั้งสองคนด้านบนจะออกมาเป็นอย่างไร เขาก็จะต้องตายแน่แท้
‘เป็น…อย่างไร…’ อิ๋งโกวเงียบไปนาน เงียบไปคล้ายจะให้โจวเจ๋อมีเวลาในการคิดอย่างช้าๆ มากขึ้น
อย่างหนึ่งคือตายสถานเดียว
อย่างหนึ่งคือทุบหม้อข้าวจมเรือ
ตราบใดที่ไม่โง่ ก็พร้อมที่จะฮึดสักตั้งละมั้ง
โจวเจ๋อนั่งลงบนขั้นบันได ห่างออกไปประมาณห้าสิบเมตร คลื่นพลังน่าสะพรึงกลัวกระแทกซัดอยู่ตรงนั้น โจวเจ๋อนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก ถึงอย่างไรของพรรค์นี้ก็ขึ้นอยู่กับดวงชะตา ถ้าบังเอิญโดนลูกหลงคุณก็ทำอะไรไม่ได้ โดนปุ๊บก็คือตายปั๊บ
‘ผมก็ยังปฏิเสธอยู่ดี’
เสียงสูดหายใจเข้าลึกของเจ้านั่นที่อยู่ในใจดังแว่วออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธเหลือทนที่โจวเจ๋อมาดื้อรั้นเอาในเวลานี้!
“ความตาย มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ” โจวเจ๋อเอ่ย
“หือ อะไรนะ เถ้าแก่” เหล่าจางนึกว่าโจวเจ๋อกำลังถามตัวเอง
‘ถูกทั้งสองคนด้านบนฆ่าตายกับถูกคุณกลืนกิน ผลลัพธ์มันต่างกันตรงไหน ยิ่งไปกว่านั้น ถูกทั้งสองคนด้านบนนั้นฆ่าตาย ผมยังตายในนาม ‘โจวเจ๋อ’ ของผมได้ ถ้าถูกคุณกลืนกินละก็ แล้วผมจะเป็นตัวอะไรล่ะ’
น่าเศร้ามาก จนปัญญาเหลือเกิน
ผิงเติ่งหวังเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ขันทีผู้นั้นที่ดูเหมือนจะเรียกว่าผู้ดูแลอะไรสักอย่าง ก็ยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับหนึ่ง แม้กระทั่งเจ้าโง่ในร่างของเขาเองก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน แต่เขาโจวเจ๋อเป็นตัวอะไรล่ะ
เงยหน้ามองก็เหมือนมดเช่นเดียวกับกลุ่มยมทูต ดูเทพเจ้าต่อสู้กันบนท้องฟ้า แถมยังต้องกังวลว่าถ้าเกิดดวงซวยจู่ๆ โดนลำแสงฟาดลงมากระแทกใส่ตัวเองก็จบเห่ทันที ทั้งยังประหยัดเวลาข้ามช่วงลงนรกไปเลย ถูกลบออกไปในชั่วพริบตา
กระทั่งพวกยมทูตเหล่านั้นโจวเจ๋อยังสู้ไม่ได้ ถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นของจริง
ฮู่ว…
‘ข้า…ดู…แคลน…ที่…เจ้า…เป็น…เช่น…นี้…เสีย…จริง…’
‘ตามใจคุณเลย’
‘ขี้…ขลาด…เกียจ…คร้าน…’
‘เชิญคุณพูดต่อเลย’
‘…’ อิ๋งโกว
‘ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ’ โจวเจ๋อยิ้มขัน ‘ว่ามาสิ พูดให้เยอะๆ หน่อย คุณไม่มีโอกาสจะพูดพล่ามมากมายอีกแล้วนะ’
‘ข้า…ไม่…อยาก…ตาย…เช่น…นี้…’ สามารถทำให้อิ๋งโกวที่ให้ความสำคัญต่อศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิตมาตลอด พูดคำแบบนี้ออกมาได้ จะเห็นได้ว่าอิ๋งโกวรู้สึกอัดอั้นตันใจเพียงใดในเวลานี้
ที่สวีโจว เขาสามารถรอให้ประตูแห่งพุทธะเปิดออก รอให้พระพุทธะออกมาต่อสู้!
ด้านนอกสถานีตำรวจ เขาสามารถตะโกนเรียกชื่อเล่น ‘เจ้ารุ่งเรือง’ และกลืนร่างแยกของเซี่ยจื้อลงท้องได้
ในโพรงถ้ำ เขาสามารถใช้ฐานะบรรพบุรุษบีบบังคบให้เด็กชายฆ่าตัวเองได้
นับตั้งแต่ล้มลงจนถึงปัจจุบันนี้ การเอาตัวรอดไปวันๆ ของเขาไม่ใช่แค่การเอาตัวรอดให้เอาตัวรอด อันที่จริงเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ตอนนั้นกล้าที่จะต่อต้านจักรพรรดิเหลือง กล้าฆ่าไม่เลือกหน้าในทะเลแห่งความตายเพียงเพื่อเสาะหากระดูกมารองใต้บัลลังก์ของเขา เขาก็ยังเป็นเขา รอด แน่นอนว่าต้องมีชีวิตรอด แต่เงื่อนไขแรกคือ ต้องเป็นชีวิตที่พึงพอใจ
เวลานี้ อิ๋งโกวต้องยอมรับว่า หากไม่อาศัยค่ายกลของที่นี่ แม้ตอนนี้โจวเจ๋อจะคลายผนึกให้เขาออกมาแล้ว เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของรุ่นน้องทั้งสองคนนี้อยู่ดี อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเหลือเกิน หนทางสู่การฟื้นฟูนั้นยาวเกินไปจริงๆ
เขาไม่กลัวตาย แต่ไม่เต็มใจตายไปทั้งอย่างนี้ เพราะที่นี่คือบ้านของเขา ที่นี่มีค่ายกลที่เขาทิ้งเอาไว้ในตอนนั้น เขาสามารถควบคุมค่ายกลได้อย่างมีความสุข ฆ่ารุ่นน้องสองคนนี้ด้วยจิตใจฮึกเหิม คล้ายกับทั้งนรกประกาศก้องว่าราชาตัวจริงในปีนั้นกลับมาแล้ว!
เขาไม่อยากจบลงด้วยความอัดอั้นตันใจ โดยเฉพาะตอนที่มีมีดแหลมคมไว้คอยต่อต้านอยู่ในมือ!
‘ข้า…สัญญา…กับ…เจ้า…เมื่อ…เสร็จ…เรื่อง…แล้ว…ข้า…กลืน…พวกเขา…ฟื้นฟู…พลัง…ส่วนหนึ่ง…แล้ว…จะ…ประกาศ…ต่อ…นรก…ถึง…การ…กลับมา…ของ…ข้า…จากนั้น…ข้า…ก็…จะ…ปลิดชีพ…ตนเอง’
ความหมายคร่าวๆ คือ ช่วยข้าฆ่าพวกเขา หลังจากข้ากลืนกินพวกเขาแล้ว ข้าจะฟื้นฟูพลังได้หนึ่งถึงสองส่วน จากนั้นให้ข้าแหกปากตะโกนใส่ทั้งนรกไปสักสองสามรอบ เล่นละครฉากนี้จบแล้วข้าก็จะฆ่าตัวตาย เจ้าก็จะไม่รู้สึกเสียเปรียบแล้ว!
เราทั้งคู่ ไม่มีใครรอด ข้ายังช่วยเจ้าล้างแค้นได้ ดีเพียงใด ไม่มีใครเอาเปรียบทั้งนั้น
‘พรืด…’ โจวเจ๋อขำออกมา นี่มันตลกเกินไปแล้วจริงๆ ให้ตายเถอะ เจ้าโง่นี่น่ารักเกินไปแล้ว
‘เจ้า…ไม่เชื่อ…หรือ’
‘ผมเชื่อ’ โจวเจ๋อส่ายหน้า ‘ผมเชื่อสิ อิ๋งโกวสัญญาเชียวนะ ผมเชื่ออยู่แล้ว’
โจวเจ๋อเชื่อว่าอิ๋งโกวจะทำถึงขนาดนั้นจริงๆ หลังจากฆ่าคนและเขมือบคนแล้ว แหกปากขู่สักสองรอบ ให้พวกยักษ์ใหญ่ทรงพลังมากมายในนรกตกใจจนฉี่ราด แล้วก็จะฆ่าตัวตายอย่างสง่างาม!
‘แต่ว่านะ เฮ้อ…’ โจวเจ๋อถอนหายใจพลางยื่นมือไปลูบคางตัวเองและพูดต่อ ‘ให้ผมคิดดูหน่อยแล้วกัน คิดดูก่อน’
‘ยัง…ต้อง…ลังเล…อีก…นาน…เพียง…ใด…’
‘ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้แล้ว ที่ผมคิดน่ะ สมมตินะ ผมบอกว่าสมมตินะ แค่สมมติจริงๆ ถ้าผมเห็นด้วยขึ้นมาจริงๆ แล้วละก็ คุณ คุณน่ะ ตอนสุดท้ายคุณก็อย่าฆ่าตัวตายเลยนะ ใช้ชีวิตดีๆ เสียเถอะ’
‘…’ อิ๋งโกว
………………………………………………………….
[1] ขี่พายุท่องคลื่น หมายถึง ความมุ่งมั่นห้าวหาญมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวในอันที่จะฝ่าฟันอุปสรรคพาชีวิตให้อยู่รอดไปสู่เป้าหมายปลายทางได้โดยไม่บอบช้ำ