ตอนที่ 563 ศักดิ์ศรีของผู้ชาย
ฝนตกหลังฤดูแล้งอันยาวนานหยดหนึ่ง ห้องหอคืนแต่งงานอยู่ถัดไป คล้ายเพื่อนเก่ามาเยือน ถูกต้อง แต่กลับเป็นศัตรูในอดีต
เถ้าแก่โจวรู้สึกเย็นวาบในใจ มันยากที่จะจินตนาการว่าคนที่ทำให้อิ๋งโกวล้มได้ โอ้ ไม่สิ เป็นแมวที่ทำให้อิ๋งโกวล้ม ต้องน่ากลัวมากขนาดไหนกันแน่
‘ตอนนั้น…มัน…ยัง…เล็ก…’
ฮู่ว…
เถ้าแก่โจวถอนหายใจเฮือก แต่ไม่รู้สึกโล่งใจสักเท่าไร ใช่นะสิ ตอนแรกมันอาจจะยังเล็ก เพียงแค่ติดตามเจ้าของมาฆ่าแก แต่ตอนนี้มันตัวใหญ่ตั้งขนาดนี้แล้ว แถมยังตัวใหญ่เสียจนไร้เหตุผลสิ้นดี
สายตาของผิงเติ่งหวังลู่ดุร้าย เขาในเวลานี้มีความรู้สึกเหมือนเข้าตาจน นรกใหญ่มากแต่กลับรองรับเขาไม่ได้ แต่เขากลับไม่เสียใจที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาแก้แค้นถึงที่นี่
แมวดำยังก้มลงมองหา มันหาใครบางคน
ในขณะนี้เอง ร่างหนึ่งทะลุผ่านรอยแยกเข้ามา คนผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมพญางูเหลือมสีม่วง สวมหมวกหวากวาน มาดสูงส่ง เพียงแต่หนวดเคราเกลี้ยงเกลา อีกทั้งกลิ่นอายอ่อนโยนดุจสตรีราวกับกลายเป็นน้ำค้างแข็ง ค่อยๆ กลืนปกคลุมไปทั้งพระราชวัง อุณหภูมิบริเวณรอบๆ ทั้งสี่ทิศดิ่งฮวบ
เมื่อมองเห็นคนผู้นี้ ผิงเติ่งหวังหลับตาลง สิ้นหวังเล็กน้อย
ก้าวหนึ่งไร้ขอบเขต คนผู้นั้นที่ยังอยู่ด้านบนสุดเมื่อครู่นี้ เพียงไม่กี่ก้าวกลับปรากฏตัวขึ้นข้างกายชายดุจสตรีที่บาดเจ็บสาหัสล้มลงกับพื้น เขาเอื้อมมือไปลูบแมวขาวที่อยู่ข้างๆ ซึ่งบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน แมวขาวเลียฝ่ามือของเขา พยายามประจบทำให้พึงพอใจ
“ต้า…ฉาง…ชิว…” ชายดุจสตรีร้องเรียก
‘เพียะ!’ คนที่ถูกเรียกว่าต้าฉางชิวตบหน้าชายดุจสตรีโดยตรงหนึ่งฉาด ตบจนชายดุจสตรีกระดอนลอยออกไปทั้งร่าง และกระแทกเข้ากับบันไดตำหนักที่อยู่ไม่ไกลนัก ร่างของชายดุจสตรีชาไร้ความรู้สึก ลมหายใจแผ่วลง ถ้าหากโดนตบแรงกว่านี้อีกหน่อย อาจจะโดนตบจนตายไปเลยจริงๆ
“เมี้ยว” แมวขาวส่งเสียงร้องอย่างรวดร้าวเล็กน้อย แต่ไม่กล้าเข้าไป
“ข้าว่าเจ้าเป็นวีรบุรุษอะไรกัน เจ้าเก่งมากหรือ ให้ตายสิ ตัวต่อตัว ลุยเดี่ยว เจ้าลูบคลำด้านล่างของเจ้าดูสิ เจ้ายังมีของพรรค์นั้นอยู่อีกหรือ ไม่มีอัณฑะแล้ว ยังจะเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นบุรุษอยู่ได้!” ต้าฉางชิวโมโหจนด่ากราดยกใหญ่
ตั้งแต่ต้นจนจบ คล้ายกับว่าเขาทำเหมือนผิงเติ่งหวังลู่ผู้นั้นเป็นอากาศก็ไม่ปาน ไม่สนใจไยดีสักนิด ส่วนผิงเติ่งหวังลู่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอาแต่หลับตาเท่านั้น สีหน้านิ่งไม่แยแส กระทั่งจนใจเล็กน้อย
สถานการณ์ที่นี่ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน เดิมทีชายดุจสตรีนั่นต้องตาย อีกแค่นิดเดียวผิงเติ่งหวังก็จะฆ่าเขาได้แล้วในแบบที่วิญญาณแตกดับถูกสลายไปจนหมดสิ้น แต่ก่อนอื่นแมวดำยักษ์ตัวนั้นฉีกทึ้งค่ายกลที่นี่ ตามด้วยหัวหน้าขันทีต้าฉางชิวปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน สถานการณ์พลันอยู่เหนือการควบคุมดฮณ๊ฯดฯฌซ,
อันที่จริง โจวเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับไม่เคยได้ยินเรื่องที่มีขันทีน่ากลัวขนาดนี้ในนรกด้วยซ้ำ ทนายอันก็ไม่เคยพูดมาก่อนด้วย มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น การดำรงอยู่ขององค์กรขันทีนี้เป็นความลับมากมาโดยตลอด กระทั่งอาจเป็นไปได้ว่านอกเหนือจากพญายมทั้งสิบตำหนักแล้ว ทั้งยมโลกไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา เป็นธรรมดาที่ทนายอันจะไม่รู้เรื่องเช่นกัน
ขันทีเหล่านี้เป็นคนของใครกัน พวกเขาสร้างกลุ่มขึ้นมาเอง หรือจริงๆ แล้วยังมีผู้นำเหนือต้าฉางชิวคนนี้อีกคนหนึ่ง โจวเจ๋อนึกถึงพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ หากกล่าวว่าพญายมทั้งสิบตำหนักคือองครักษ์เสื้อแพรของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ถ้าอย่างนั้นขันทีเหล่านี้อาจเป็นหน่วยงานบูรพา[1]ที่แฝงตัวอยู่ความมืดมิดใช่หรือไม่
โธ่เอ๊ย ปวดเศียรเวียนเกล้า ความตายมาเยือนตรงหน้าแล้วดันปวดหัวเสียได้
โจวเจ๋อลูบหน้าผากตัวเอง กลับเห็นต้าฉางชิวคนนี้หันกลับไปจ้องมองท้องฟ้าด้านหนึ่ง นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ตกอยู่ในภวังค์ความคิด ยืนอยู่อย่างนี้นานพอสมควร จากนั้นต้าฉางชิวก็เอ่ยพูด “อะไรคือยังเหลือเวลาอีกหกสิบปีหรือสามสิบปี เรารอมานานถึงเพียงนี้แล้ว ท่านยังมาหลอกเราอย่างนี้อีกหรือ”
“บัดซบ พวกเราท่อนล่างไร้ลูกอัณฑะ แต่ท่อนบนใช่ว่าจะไร้สมองเสียหน่อย!”
“ต่ำช้า อย่าฝันว่าจะหลอกลวงข้าได้อีก ฟังการเมืองหลังม่านนับพันปีทำเอาท่านหลงระเริงใช่หรือไม่”
“ฮ่าๆๆ พวกเราไม่ได้หลอกง่ายเช่นไท่ซานฝู่จวิน!”
“ไม่!”
“ไม่ได้!”
“ข้าปฏิเสธ!”
…
“ดี ข้ารับใช้น้อมรับคำสั่ง ซาบซึ้งพระคุณพระโพธิสัตว์!” ต้าฉางชิวคุกเข่าทั้งสองข้างลงทันที น้อมคารวะอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ใช่การคุกเข่าข้างเดียวเหมือนตอนที่ยมทูตเผชิญหน้ากับเบื้องบน แต่หมอบกราบเลยทีเดียว
อันที่จริง นอกจากคนสมัยนี้จะไหว้หลุมศพบรรพบุรุษชุ่ยๆ แล้วไปคุกเข่ากราบไหว้พระโพธิสัตว์ที่วิหารอย่างขอไปทีแล้ว ช่วงเวลาอื่นๆ ก็ไม่ค่อยจะกราบไหว้กันจริงๆ ด้วยเหตุนี้ คนส่วนใหญ่จึงไม่ทราบว่าท่วงท่ามาตรฐานของการทำความเคารพกราบไหว้แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
แต่ตอนนี้ ต้าฉางชิวคนนี้กลับทำการสาธิตท่ามาตรฐาน ซึ่งทำได้มาตรฐานยิ่งกว่าผู้นำที่ยืนแถวหน้าสุดตอนประกาศเสียงตามสายให้ออกกำลังกายในโรงเรียนประถมศึกษาเสียอีก!
หลังจากนั้นต้าฉางชิวก็ยืนขึ้นทันที ฝ่ามือแบออก น้ำค้างแข็งน่าสะพรึงกลัวแผ่ปกคลุมออกไป ชั่วพริบตาทั่วทั้งพระราชวังถูกห่อหุ้มโดยสมบูรณ์ แม้แต่ยมทูตอีกสองร้อยกว่าคนที่เหลืออยู่ที่นี่ก็ถูกน้ำค้างแข็งปกคลุมจนไม่อาจขยับตัวได้ รวมไปถึงโจวเจ๋อด้วย เพียงแต่ว่าสิ่งที่โจวเจ๋อแตกต่างจากคนอื่นๆ ก็คือ ในดวงตาของเขายังมีลำแสงกะพริบ
“เด็กดีทั้งหลาย ในเมื่อจ๋าเจียได้ตกปากรับคำกับพระโพธิสัตว์ไว้แล้ว ก็จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ แต่มีบางสิ่งไม่ได้รับอนุญาตให้รู้ หลังจากรอเรื่องนี้จบ จ๋าเจียจะลบความทรงจำก่อนหน้าของพวกเจ้าไปเสียก่อน แล้วปล่อยให้พวกเจ้าทำการฝึกฝนต่อไปที่นี่ในภายหลัง ในเมื่อจะต้องรออีกหกสิบปีข้างหน้าถึงจะถึงคราวของจ๋าเจียขึ้นมา กลุ่มรากหญ้าของตำหนักเก้านี้ก็สร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งเถิด ถือเสียว่าเป็นความฝันในฤดูใบไม้ผลิไม่ทิ้งร่องรอยไว้ฉากหนึ่งแล้วกัน”
มวลแสงพร่างพราววาววับลอยออกมาจากศีรษะของยมทูตคนแล้วคนเล่า รวบรวมไว้ในฝ่ามือของต้าฉางชิว เขาไม่ได้ใส่ใจนับอย่างละเอียดว่ามีความผิดพลาดหรือไม่ ดูเหมือนเขาคิดเอาเองว่าการจัดการกับยมทูตตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้เป็นเรื่องที่จัดการได้อยู่หมัด
ต้าฉางชิวก้าวไปข้างหน้า มองผิงเติ่งหวังลู่ด้วยสีหน้าเย้ยหยันและพูดห้วนๆ “ฝ่าบาทผิงเติ่งหวัง ท่านจะเลือกกลับไปกับจ๋าเจียด้วยพระองค์เอง หรือจะลองต่อสู้สุดชีวิตอยู่ที่นี่กับจ๋าเจียเล่า”
ผิงเติ่งหวังกลับเงียบนิ่ง ไม่ต่อต้าน
“หึ รู้ว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น เหตุใดยังทรงลงมือ พวกเราร้อนใจไปสักหน่อย แต่พระโพธิสัตว์ปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างดี หกสิบปีน่ะ พวกเรารออีกหน่อยก็ยังไม่สายเกินไป ผิงเติ่งหวังจะรีบร้อนไปไย ดูราชาองค์อื่นๆ สิ ทรงรู้สถานการณ์เพียงใด”
ผิงเติ่งหวังยังคงเงียบต่อไป
“รถกุกกัก ม้ากุบกับ เก้าอี้เป็นของตาย แต่คนยังมีชีวิตอยู่ ท่านมีชีวิตมามากกว่าหลายพันปี เหตุใดแม้แต่สิ่งนี้ถึงไม่เข้าใจไปเสียได้” อากัปกิริยาของต้าฉางชิวคล้ายตำหนิสั่งสอนรุ่นน้องที่ไม่เชื่อฟังคำพูดของตัวเอง ขณะเดียวกันโซ่เส้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ พลางก้าวไปข้างหน้าและล็อกผิงเติ่งหวังเอาไว้
ผิงเติ่งหวังไม่ขัดขืน แต่เอ่ยพูดอย่างช้าๆ “หยินไม่ใช่หยิน หยางไม่ใช่หยาง เดิมพวกเจ้าก็เป็นคนพรรค์นั้น แน่นอนว่ามันไม่สลักสำคัญ ยังคิดอยากจะทำให้โลกมนุษย์และยมโลกกลายเป็นเหมือนพวกเจ้าอีกหรือ”
“ได้ๆๆ มีแค่ท่านที่มีฝีมือ มีแค่ท่านที่มีความสามารถ ท่านมีความสามารถเหตุใดพวกท่านถึงก่อกบฏต่อไท่ซานฝู่จวินตั้งแต่ทีแรกเล่า คนอื่นเห็นแต่ท่านไม่เห็นหรือ มันเป็นเพียงแค่การผลัดกันนั่งเก้าอี้เท่านั้น ทุกคนปรึกษาหารืออย่างรอบคอบ สุดท้ายล้วนรักษาเกียรติแล้วมันไม่ดีอย่างไร ถึงอย่างไรเสีย ทุกคนก็มิใช่ว่าจะไร้ประสบการณ์ใช่หรือไม่” ต้าฉางชิวรวบโซ่ตรวนด้วยรอยยิ้ม ผิงเติ่งหวังลู่ถูกล็อกเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันก็ยิ้มขรึม
“ในเมื่อตกปากรับคำพระโพธิสัตว์ว่าจะรออีกหกสิบปี พวกเราจะรอหกสิบปีก็มิเป็นไร แต่ท่านจงฟังให้ดี พวกท่านที่เรียกว่าพญายมแห่งนรกทั้งสิบขุมก็จงฟังให้ดี อยู่อย่างเงียบสงบให้จ๋าเจียสักหน่อย อย่าบีบให้จ๋าเจียร้อนใจเข้าจริงๆ จนไม่ไว้หน้าพระโพธิสัตว์!”
“เจ้านึกว่านรกแห่งนี้มีเวลารอเจ้าถึงหกสิบปีจริงๆ หรือ”
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ…” ต้าฉางชิวระเบิดหัวเราะ “เช่นนั้น ข้าขอบอกท่าน ต่อให้นรกแห่งนี้จะมีผิงเติ่งหวังลู่สักสิบคน ก็พลิกโลกนี้ไม่ได้! จ๋าเจียอยากจะดูนักว่าใครกล้ามายุ่งวุ่นวาย ใครยังกล้าโผล่หน้านำเรื่องมาก่อกวนนรกแห่งนี้อีก ว่ากันว่าลมพายุก่อตัวที่นรกแห่งนี้ เช่นนั้นจ๋าเจียเฝ้ารอดูจริงๆ มาดูกันว่าร่างกายจ๋าเจียจะแข็งแกร่งหรือว่าพายุจะแรงมากกว่ากัน พายุนี้จะสามารถพัดเอาเอวจ๋าเจียล้มพับลงได้หรือไม่!” ทันใดนั้น ต้าฉางชิวหันกลับมาและเงยหน้าขึ้นมอง เห็นแมวดำที่กำลังสอดส่องไปรอบๆ ด้วยความสงสัยอยู่ด้านบน “เจ้ามองหาอะไร”
แมวดำยักษ์ไม่ตอบ เพียงแต่มองไปรอบๆ อย่างต่อเนื่อง
‘กลิ่นอายที่คุ้นเคย คุ้นมากเหลือเกิน เมี้ยว’
‘แต่ทำไมถึงหาไม่เจอนะ เมี้ยว’
“เอาเถิด ช่างมัน” ต้าฉางชิวก็มองไปรอบๆ และยิ้มพูด “สถานที่แห่งนี้บดบังดวงตาหยั่งรู้ของยมโลกได้ เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการรับลม แต่มีปลาซิวปลาสร้อยมากเกินไป ก็ดี รอให้การฝึกอบรมที่สัญญากับพระโพธิสัตว์ไว้สิ้นสุดลง ที่นี่น่ะ ภายหลังจะเอาสถานที่แห่งนี้เป็นพระราชวังของจ๋าเจีย บังเอิญว่าจ๋าเจียก็ชอบความสงบ ไม่ชอบถูกใครจับตามองพอดี ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง ภายหลังก็อย่าคิดจะเข้ามาอีกเลย จ๋าเจียทิ้งรอยตราประทับเอาไว้ก่อน!”
ในขณะนั้น ต้าฉางชิวชูนิ้วขึ้นและวาดวงกลมไว้ใต้เท้าของตัวเอง จากนั้นยกฝ่ามือขึ้น หินก้อนใหญ่ถูกขุดออกมาอย่างแรง ซึ่งขนาดใหญ่เทียบเท่ากับสนามบาสเก็ตบอลเลยทีเดียว!
จงรู้ไว้ว่าสิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่นี่แข็งแกร่งมาก สามารถพังทลายได้ แต่จะทำลายให้สิ้นซากนั้นเป็นเรื่องยากมาก ไม่อย่างนั้นการต่อสู้ระหว่างผิงเติ่งหวังและชายดุจสตรีก่อนหน้านี้ หากเป็นพระราชวังธรรมดา มันคงจะกลายเป็นเศษหินไปนานแล้ว
เมื่อใช้นิ้วเป็นมีด ภายใต้การ ‘ฉวัดเฉวียน’ ตัวอักษรจีน ‘ขันที’ ขนาดมหึมาถูกแกะสลักออกมา ต้าฉางชิวหัวเราะชอบใจพลางโบกมืออย่างแรง ตัวอักษร ‘ขันที’ ขนาดยักษ์ร่วงดิ่งลงมาโดยตรง มันตั้งตะหง่านอยู่บนลานกว้างด้านหลังประตู เพียงแค่เข้ามาก็จะมองเห็นมันทันที
“ไม่สนว่าจะเป็นคฤหาสน์ถ้ำสวรรค์ของบรรพบุรุษคนใด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่นี่คือพระราชวังขันทีของข้า! “ฮะฮ่าๆๆ หากเจ้าของเดิมของคฤหาสน์ที่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดมารู้เข้า อย่าได้โกรธเคือง จ๋าเจียจะถือว่าท่านเป็นขันทีเช่นกัน และจะแบ่งปันความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตโดยไม่คำนึงถึงหยินและหยางดีหรือไม่”
ต้าฉางชิวสร้างความสนุกบันเทิงให้ตนเอง มีความสุขจนห้ามไม่อยู่ แต่ไม่สังเกตว่าในหมู่ยมทูตที่เดิมทีถูกแช่แข็งไว้ชั่วคราวและเพิ่งจะถูกดึงความทรงจำก่อนหน้านี้ออกไป กลับมีใครคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นทันใด ดวงตาคู่นั้นแดงฉานจนน่ากลัว
‘เจ้า…คิด…ว่า…อย่าง…ไร…’ เสียงของอิ๋งโกวออกจะจนปัญญาเล็กน้อย
สายตาของโจวเจ๋อจับจ้องไปที่ตัวอักษรคำว่า ‘ขันที’ ขนาดมหึมาตรงหน้า ผิดไปจากที่อิ๋งโกวคาดคิดไว้ โจวเจ๋อ ‘กัดฟันกรอด’ ในก้นบึ้งหัวใจและเอ่ยว่า ‘ทนไม่ได้!’
…………………………………………………………………
[1] หน่วยงานบูรพา จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ขันทีมีอำนาจในการตรวจสอบทั้งขุนนางและราษฎรว่ามีผู้ใดที่มีข้ออันพึงสงสัยได้ว่าจะเป็นผู้ที่เตรียมก่อการกบฏ เมื่อได้รับข่าวสารใดมา ก็สามารถทูลต่อกษัตริย์ได้โดยตรงทันที จึงเสมือนมีฐานะอยู่เหนือองครักษ์เสื้อแพร