ตอนที่ 574 สรรพชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน!
ทะเลแห่งความตายเหือดแห้ง หนองน้ำในนั้นถูกแบ่งไปตามกองกำลังต่างๆ หลังจากอิ๋งโกวล่มสลาย ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ในกาลก่อน บัดนี้เหลือเพียงแม่น้ำปรภพสายเดียวที่ไหลอยู่ แต่ในหนองน้ำผืนใหญ่สุดสายตานั้น กลับซ่อนภูตผีปีศาจร้ายเก่าแก่อยู่นับไม่ถ้วน และเป็นเวลานานนับไม่ถ้วน กองกำลังแต่ละฝ่ายเอาแต่สนใจการแบ่งปันของดี แต่กลับไม่เต็มใจจะเข้าไปจัดการปัญหานี้ และปัญหานี้ก็ค่อนข้างใหญ่จริงๆ
มีความรู้สึกเฉกเช่นนักพัฒนาในโลกมนุษย์และครัวเรือนที่ตั้งถิ่นฐานใหม่
ด้วยเหตุนี้ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จึงพูดถูก หากอิ๋งโกวปรากฏตัวที่นั่นและออกคำสั่ง ก็ยังสามารถปลุกระดมเหล่าภูตผีปีศาจร้ายเก่าแก่ในหนองน้ำให้แห่กันขึ้นมา นี่ไม่ได้เป็นเพราะความชอบธรรม แต่เป็นเพราะติดตามอิ๋งโกว ทุกคนก็จะสามารถแทะเนื้อกินได้ล้วนๆ
สำหรับทหารปีศาจและนายพลปีศาจที่ถูกกักขังของจิ่วหลี นั่นคือการดำรงอยู่ที่แม้แต่ต้าฉางชิวก็ไม่ลังเลที่จะทึกทักว่าตัวเองเป็น ‘หลานชาย’ และอยากจะประจบสอพลอ ยิ่งไปกว่านั้นอิ๋งโกวมีบุญคุณปกป้องพวกเขาไว้ในกาลก่อน จิ่วหลีที่เหลือยังมีความรักในการต่อสู้ของชือโหยวไหลเวียนอยู่ในกระดูก พวกเขายังแสดงเจตจำนงที่จะถวายชีวิตรับใช้ด้วยเช่นกัน แต่อิ๋งโกวยังเลือกที่จะกักขังพวกเขาต่อไป
ส่วนบัลลังก์กระดูกที่โจวเจ๋อคุ้นเคยมากที่สุด เบื้องล่างคือฐานเหยียบก้าวไปข้างหน้าที่อิ๋งโกวรวบรวมเอาไว้ในกาลก่อน มีกองเศษซากวิญญาณเทพปีศาจ คิดดูแล้วก็เป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
นี่ยังเป็นเพียงแค่บางสิ่งที่อยู่บนเปลือกนอกเท่านั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เองก็ไม่อาจหยั่งรู้และไม่อาจอนุมานได้ทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าความสามารถในการอนุมานข้อมูลเชิงลึกของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ไม่พอ แต่เป็นเพราะยุคสมัยมันยาวนานอยู่มากโขจริงๆ ไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว
แต่ทั้งๆ ที่ในมือมีเบี้ยมากมายแท้ๆ อิ๋งโกวกลับไม่ใช้แม้แต่เบี้ยเดียว ลุยเดี่ยวคล้ายกับแรมโบ้เสียอย่างนั้น ตั้งแต่พระราชวังโบราณไปจนถึงเมืองซ่งตี้ ดั้นด้นผลักดันเพียงลำพังมาตลอดทาง ดูเหมือนจะรุดไปข้างหน้าไม่ย่อท้อไม่กลัวอุปสรรคจนไม่อาจขวางกั้นไว้ได้ แต่ใครก็สามารถมองออกว่าเพียงแค่อาศัยเลือดความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว ท้ายที่สุดในตอนจบก็ต้องหมดสิ้นไร้เรี่ยวแรงอยู่ดี
คุณสามารถพูดได้ว่าเจ้าทะเลแห่งความตายในอดีตเป็นพวกไม่ใช้สมองดีแต่บ้าพลัง แต่คุณไม่สามารถพูดว่าเขาเป็นคนปัญญาอ่อน ไม่อย่างนั้น คุณกำลังสบประมาทใครอยู่กันแน่
อิ๋งโกวไม่ตอบคำถามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เขาเพียงลงจากแท่นบูชาและเดินไปที่ประตูศาลบรรพชนเล็กๆ นอกธรณีประตูศาลบรรพชน ไม่ใช่ลานที่มีประชากรแน่นหนาอะไร แต่เป็นหน้าผาสูงตระหง่าน
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เห็นว่าอิ๋งโกวไม่สนใจพระองค์ก็ไม่โกรธเคือง เพียงยืนอยู่ข้างๆ ไม่ทำตัวเย่อหยิ่งและไม่ทำตัวต่ำต้อย พระองค์กำลังรอ รอพลังปราณในร่างอิ๋งโกวรั่วไหลออกมามากกว่านี้อีกสักหน่อย จนถึงตอนนั้นก็เป็นโอกาสลงมือของพระองค์แล้ว
หากสามารถเอาคนในตำนานที่อยู่ในแวดวงบุคคลในตำนานมาเป็นธงสังเวยให้กับตัวเองได้ คิดดูแล้วจิตใจของคนที่ล่องลอยอยู่ในยมโลกและกองกำลังแต่ละฝ่ายของนรกก็จะสงบเสงี่ยมขึ้นมากด้วยเหตุนี้ แม้ว่าสิบขันทีจะตัดนิ้วของตนไปหนึ่งนิ้วภายใต้แรงกดดันของอิ๋งโกว แต่เก้านิ้วก็ยังเป็นจำนวนของมือทั้งสองข้างอยู่ดี หรือบางทีอาจจะเป็นเจตจำนงของสวรรค์ เก้าคือเจ้า จำนวนกำลังพอดีเลย
แน่นอนว่าพระโพธิสัตว์ก็เข้าใจเช่นกันว่า บางสิ่งอย่างเช่นเจตจำนงของสวรรค์ก็ขึ้นอยู่กับว่าตนเองจะอธิบายอย่างไร ภายใต้ความคิดเฉลียวฉลาดไม่ว่าเรื่องอะไรก็นับเป็นเจตจำนงของสวรรค์ หมอดูปลอมทั่วโลกล้วนเข้าใจเหตุผลนี้ ในฐานะปรมาจารย์ที่สามารถหลอกไท่ซานฝู่จวินอ่อนแอปวกเปียกในกาลก่อนได้ ไม่อาจไม่เข้าใจดฮณ๊ฯดฯฌซ,
บรรยากาศในศาลบรรพชนตกอยู่ในความเงียบสงบในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นระหว่างทั้งสองมานานแล้วแท้ๆ แต่ระหว่างทั้งสองนั้นยัง ‘สงบสุขไร้ความขัดแย้ง’ เพียงแต่ว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์มีเรื่องที่ไม่เข้าใจ นั่นก็คือเขาสามารถรอได้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งหนึ่งมลายหายสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแทนที่ก็เท่านั้น แต่ชายตรงหน้ากำลังยืนมองทิวทัศน์ที่นี่จริงๆ น่ะหรือ จากนั้นแย้มรอยยิ้มอย่างอิสระและสลายไปกับสายลมงั้นหรือ
“เราขอให้พญายมแต่ละตำหนักนำกองกำลังไปคุ้มกันเส้นทางน้ำพุเหลืองไว้แล้ว” ความหมายง่ายมาก เราได้นำคนไปเฝ้าประตูทางออกไว้ บัดนี้ท่านจึงหนีออกไปไหนไม่ได้แล้วนั่นเอง
เรื่องราวต่างๆ ในโลกไม่มีอะไรมากไปกว่าจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
จุดเริ่มต้นอยู่ที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ พระองค์เตรียมจัดการลงมือด้วยองค์เอง ส่วนจุดสิ้นสุดนั้นอยู่ที่ทางเข้าออกโลกหยินและโลกหยาง ซึ่งก็คือเส้นทางน้ำพุเหลืองถูกเฝ้าคุ้มกันไว้แล้วเช่นกัน เวลานี้ชั่ววินาทีนี้ พญายมรักษาการณ์ ผู้พิพากษาอยู่เบื้องหน้า ผู้ตรวจสอบนับไม่ถ้วนอยู่เบื้องหลัง แมลงวันหนึ่งตัวก็บินลอดออกไปไม่ได้
อิ๋งโกวกลับยังดูสงบนิ่ง กระทั่งไม่สนใจชำเลืองมองพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์แม้แต่แวบเดียว
‘คุณรออะไรอยู่’ โจวเจ๋ออดถามไม่ได้ เขาสามารถสัมผัสได้ว่า อิ๋งโกวกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ น้ำรั่วออกจากกระชอนอย่างต่อเนื่อง เวลานี้พลังสะสมในร่างเหลือไม่มากแล้ว ถ้าหากเข้ามาก็เริ่มเปิดศึกทันที บางทีอาจจะยังต่อสู้อย่างแข็งขันได้ แต่ถ้าตอนนี้ยังชักช้าต่อไป เกรงว่าจะรักษาหน้าตาครั้งสุดท้ายไว้ได้ยาก
โจวเจ๋อไม่คิดว่านี่เป็นลักษณะนิสัยของอิ๋งโกว เจ้าโง่เป็นคนประเภทที่
ตายก็ตายสิ!
ตายก็ตายเถอะ!
ตายก็ตายไปสิวะ!
ขอแค่ให้ข้าได้อวดเก่งก่อนจะตาย จะตายก็ตายสิ!
‘รอ…’
‘รออะไร คุณมีแผนเตรียมไว้เหรอ’ โจวเจ๋อแปลกใจมาก แม้ว่าโดยทั่วไปผู้ยิ่งใหญ่จะมีความสามารถในการนับนิ้วทำนาย ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแต่กลับคว้าชัยชนะที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งพันลี้ได้ ฟ้าดินคือกระดานหมากรุก และทุกสิ่งคือเบี้ยหมากรุก แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่ใช่สไตล์ของอิ๋งโกว เจ้าโง่ใช้สมองเป็นด้วยเหรอ โจวเจ๋อเชื่อว่าเขามีสมอง แต่ดูเหมือนเขาไม่ชอบใช้สมองเท่าไร
‘ไม่…’
‘ไม่มีแผนแล้ว คุณกำลังรออะไร’
‘รอ…ดู…’
‘เอ่อ…’ โจวเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พูดทันที ‘คงไม่ใช่ว่าคุณก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่ไหม ถึงได้จงใจรอดูอยู่ที่นี่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่หรือเปล่า ถือโอกาสหลอกพระโพธิสัตว์ข้างๆ นี่ด้วยใช่ไหม’
ความเงียบกัดกินนานพอสมควร แล้วอิ๋งโกวก็ตอบกลับอย่างเงียบๆ ‘แล้ว…’
‘…’ โจวเจ๋อ
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณสิบห้านาที อิ๋งโกวขยับตัวแล้ว จากมุมมองของโจวเจ๋อ อิ๋งโกวรอไม่ไหวแล้ว หากพลังรั่วไหลอีกก็จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว!
ส่วนในมุมมองของพระโพธิสัตว์ กลับเป็นอิ๋งโกวคิดว่าถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว ต้องบอกว่าการอวดเก่งโดยไม่รู้ตัวมันอันตรายถึงชีวิต!艾琳小說
แม้จะเป็นผู้สูงศักดิ์อย่างพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ก็ไม่อาจคาดคิดว่าเจ้าทะเลแห่งความตายรุ่นแรกจะยืนเหม่อมองอยู่ที่นี่จริงๆ โดยไม่มีการเตรียมแผนการใดๆ!
ใครมันจะไปเดาออกได้เล่า
อิ๋งโกวหันตัวกลับมาปล่อยหมัดกระแทกลงไป! เป็นหมัดที่มีท่วงทำนองเรียบง่ายอย่างยิ่ง ไม่มีความพลิกแพลงใดๆ เมื่อเผชิญกับการปิดล้อมของห้าขันทีก่อนหน้านี้ อิ๋งโกวก็ตอบโต้ไปในลักษณะเดียวกัน พระวรกายของพระโพธิสัตว์ไม่ขยับเขยื้อน แสงสีทองสว่างวาบบนพระวรกาย ราวกับตราประทับทองอร่ามเสริมพลัง ไม่สั่นไหวดุจภูเขา!
หมัดของอิ๋งโกวต่อยลงไป พระโพธิสัตว์เพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย แต่กลับไม่มีอะไรอื่น นึกดูแล้วก็พอจะรู้ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เปลี่ยนความตั้งใจอยากจะสู้กับอิ๋งโกวตัวต่อตัว! โอกาสแบบนี้หายากอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายฟื้นพลังกลับมาเพียงแค่หนึ่งส่วนเท่านั้น อีกทั้งพลังรั่วไหลไปนานขนาดนี้ เมื่อเผชิญกับโอกาสอันดีเช่นนี้ แม้แต่พระพุทธเจ้าองค์จริงยังแอบเคืองเล็กน้อย!
อิ๋งโกวกระแทกหมัดลงไปครั้งนี้ แม้ไม่เป็นผลใดๆ แต่ไม่ถอดใจและยิ่งไม่ลนลานหวาดกลัว หมุนตัวกลับมากระแทกหมัดลงไปอีกครั้ง! ยังคงเป็นหมัดที่เรียบง่าย พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ที่แทบจะเป็นร่างแปลงพระพุทธรูปทองคำยังยืนนิ่งอยู่และรับหมัดไปกินอีกครั้ง!
วิชาอจละ[1] ช่างน่ากลัวจริงๆ
แต่ทว่า อิ๋งโกวปล่อยหมัดที่สาม ต่อด้วยหมัดที่สี่ และตามด้วยหมัดที่ห้าทันที จากนั้นก็ซัดไม่ยั้ง สีหน้าของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ดูปั้นยากอยู่บ้างเล็กน้อย ใช่แล้ว แม้ว่าพระองค์ในเวลานี้จะเปล่งประกายสีทองอร่าม สง่าน่าเกรงขามอย่างยิ่ง และทุกหมัดของอิ๋งโกวไม่สามารถทำให้พระองค์สั่นคลอนได้เลยสักนิด แต่พระองค์ก็โจมตีโต้กลับไม่ได้!
ต่อให้คุณจะน่าเกรงขามเพียงไหน ต่อให้จะสง่างามเพียงใด และต่อให้จะศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจล่วงเกินได้แค่ไหน พอได้เหมือนเป็นเต่าที่ถูกคนทุบอัดกระดองอย่างแรง คุณก็จะรู้สึกแย่มาก!
เพียงแต่ว่าแรงที่สะสมลงมาในแต่ละหมัดของอิ๋งโกวก่อนหน้านี้ ราวกับสายน้ำไหลไม่ขาดสาย กองสะสมทีละชั้น กองสะสมชั้นแล้วชั้นเล่า ราวกับรวบรวมสะสมพลัง หากต่อต้านการโจมตีตั้งแต่แรกก็ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อเลือกอวดเก่ง ‘ไม่สั่นไหวดุจภูเขา’ ตั้งแต่ตอนแรก ตอนนี้คิดอยากจะต่อต้านก็ยากแล้ว หากพระองค์คลายร่างทองอร่ามไม่สั่นหวั่นออก เช่นนั้นพลังที่สะสมจากหมัดแล้วหมัดเล่าก่อนหน้านี้จะระเบิดแผดเสียงก้องคำรามออกมาพร้อมกันในชั่วพริบตา!
ถึงตอนนั้น พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์รู้สึกว่าต่อให้พระองค์จะไม่ตายแต่ก็ต้องถูกหมัดต่อยจนกระเด็นลอยออกไป!
ในตำแหน่งของพวกเขานี้ บางสิ่งอย่างเช่นหน้าตาสำคัญมากกว่าความเป็นจริง
ส่วนอิ๋งโกวต่อยลงไปแต่ละหมัด จนสุดท้ายในที่สุดก็ยั้งมือ จากนั้นถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เหาะลอยออกไปด้านนอกศาลบรรพชนและลอยอยู่เหนือหน้าผา ส่วนในศาลบรรพชนนั้น พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ยืนนิ่งไม่ไหวติงด้วยสีหน้ามืดมนอยู่ตรงนั้น พระองค์ต้องการเวลาเพื่อคลายพลังหมัดที่อิ๋งโกวทิ้งเอาไว้บนพระวรกายของพระองค์!
นี่เทียบเท่ากับพระองค์ถูกอิ๋งโกวกักขังไว้ชั่วคราว แต่พระองค์ไม่เก็บเอามาใส่ใจ เพราะพระองค์รู้ดีว่า หากอิ๋งโกวไม่อ่อนแอถึงในระดับหนึ่งจะไม่ใช่วิธีเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ถึงอย่างไร เมื่อเผชิญกับพลังที่เด็ดขาดตรงหน้า แผนสกปรกกลอุบายใดๆ ล้วนเป็นเรื่องตลกขบขัน เป็นเพราะพลังเทียบไม่ติดถึงได้เลือกวิธีแบบนี้
อิ๋งโกวแหงนหน้าขึ้นมองศาลบรรพชนแห่งนี้ และเอ่ยอย่างช้าๆ “รู…จัก…ที่…นี่…หรือไม่…”
เถ้าแก่โจวรู้สึกเหมือนถูกผู้ช่ำชองพาเข้าหอชุนเซียงครั้งแรก ผู้ช่ำชองถามเขาด้วยสีหน้าภูมิใจว่ารู้จักนักแสดงนำของที่นี่หรือเปล่า
“ควร…จะ…รู้…จัก…” ขณะที่พูด อิ๋งโกวก็กระแทกหมัดไปยังกำแพงหิน ‘ปัง!’ กำแพงหินแตกร้าว ตัวอักษรสีม่วงทองด้านในเผยออกมา เป็นตัวอักษร ‘ไท่ซาน’ ที่ทั้งแกร่งและทรงพลัง ที่แห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเคยเป็นตำหนักของไท่ซานฝู่จวิน และเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจแห่งเขาไท่ซาน!
หลังจากการหายสาบสูญของไท่ซานฝู่จวินรุ่นสุดท้าย พญายมทั้งสิบตำหนักเลื่อนสถานะกลายเป็นเจ้าปกครองนรกที่แท้จริง และพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ซ่อมแซมตำหนักเดิมของไท่ซานฝู่จวินโดยตรงจนกลายเป็นสภาพอย่างที่เห็นตรงหน้า คนนอกมองเพียงวิหารเล็กตรงหน้าผาสูงชันสง่างามอย่างภาคภูมิ แต่กลับไม่ค่อยมีใครรู้ถึงความแตกต่างระหว่างความสง่างามกับความยากจน ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ยามเย็นเห็นอีกาเกาะอยู่บนต้นไม้เก่าแก่และเถาวัลย์แห้งเหี่ยวอะไร แต่เป็นความหรูหราสูงสุดบนดินแดนรกร้างของตำหนักสีทองอร่าม!
‘หมายความว่าอะไร’ โจวเจ๋อถาม
“มี…เคล็ด…วิชา…ที่…เจ้า…อยาก…เรียนรู้…จง…จด…จำ…ไว้…ให้…ดี…”
‘อะไรนะ’
“หมิงไห่ซานเชียน!” ชั่ววินาทีต่อมา ร่างของอิ๋งโกวแยกเป็นพันร่างในชั่วพริบตา!
กลุ่มหนึ่งรุดไปที่เส้นทางน้ำพุเหลือง
กลุ่มหนึ่งรุดไปแต่ละตำหนักใหญ่ของยมโลก!
กลุ่มหนึ่งแตกกระจายหนีลนลาน!
มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ตรงทางเข้าศาลบรรพชน
ไม่นาน พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์คลายพลังทับซ้อนของกำปั้นพวกนั้นแล้วเดินไปที่ประตู เมื่อเห็นร่างแยกพร่างพราวทั่วฟ้าหายวับไป จึงเอ่ยด้วยความสงสัยเล็กน้อย “มาถึงเพลานี้แล้ว ท่านคิดว่าวิชาแยกร่างจะสามารถขวางเราไว้ได้หรือ” พระโพธิสัตว์ทรงพิโรธมาก ผลที่ตามมาก็ร้ายแรง
อิ๋งโกวแย้มรอยยิ้มและพูดว่า “มี…คน…รุ่น…หลัง…ที่…ข้า…ชื่น…ชม…มาก…ผู้…หนึ่ง…”
“อ้อ คือผู้ใดกัน”
“เขา…ฝาก…ให้…ข้า…มา…บอก…ประ…โยค…หนึ่ง…แก่…เจ้า…”
พระโพธิสัตว์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะอิ๋งโกวที่อยู่ตรงหน้าถือตราลัญจกรด้วยมือข้างเดียว จากนั้นตราลัญจกรเริ่มขยายตัวกลายเป็นเมฆดำครึ้ม คลื่นพลังลึกลับเริ่มก่อตัวขึ้น
“เขา…บอก…ว่า…เสียง…ของ…เขา…เบา…เกิน…ไป…ดัง…นั้น…ข้า…จะ…ตะโกน…แทน…เขา…เอง…”
พระโพธิสัตว์พนมมือ นัยน์ตาฉายแววเคร่งขรึม อิ๋งโกวถือตราลัญจกรไว้ในมือ ลมพายุและสายฟ้ารวมตัวกัน ครู่หนึ่งมีงูเลื้อยสะบัดไปมาเหนือท้องฟ้าและแผดเสียงดัง
“สรรพ…ชีวิต…ล้วน…เท่า…เทียม…กัน…”
………………………………………………………….
[1] อจละ แปลว่าไม่หวั่นไหว ซึ่งก็คือเทพวิทยาราชเป็นเทพประเภทที่สามในศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน รองจากจากพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ตามลำดับ และเป็นเทพผู้พิทักษ์ศาสนาพุทธ ถือเป็นการสำแดงภาคดุร้ายของพระพุทธเจ้า