ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 579 ลาจากกัน!

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 579 ลาจากกัน!

พระจันทร์สีเลือดลงมาช้าเล็กน้อย

กระบิดกระบวนเล็กน้อย

ลำบากใจเล็กน้อย

กระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อย

ไม่ยินยอมพร้อมใจเล็กน้อย

แต่นี่ก็คล้ายกับมีครั้งแรกแล้ว ต่อไปก็ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และก็เริ่มรู้จังหวะเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว จนในท้ายที่สุดมันก็ลงมาอีกครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้อิ๋งโกวนำมันไปทำลายเมืองซ่งตี้จนทำให้มันเล็กลงมากกว่าเดิมก็ตาม แต่ต่อให้จะเล็ก สุดท้ายแล้วมันก็เป็นพระจันทร์อยู่ดี และฉากต่อไปจะตราตรึงในส่วนลึกจิตวิญญาณของกองกำลังทหารยมโลกที่มีชีวิตรอดเหล่านี้ คนผู้หนึ่งจูงพระจันทร์ ราวกับเทพเจ้าโบราณแท้จริงฟื้นคืนชีพพุ่งทะยานเข้ามา

ใช้พระจันทร์เป็นอาวุธ สังหารทั่วทุกทิศ!

เสียงระเบิดแหลกที่รุนแรง

เสียงร้องคำรามของวิญญาณนับไม่ถ้วน

เสียงกรีดร้องลั่นน่าเวทนา

เสียงร่ำไห้คร่ำครวญเจียนตาย

กองทัพยมโลกขนาดใหญ่มหึมาแทบจะย่อยยับแหลกลาญในบัดดล!

แม้แต่ร่างธรรมของพญายมอู่กวนหวังเองก็ไม่สามารถหนีพ้นรัศมีแรงกระแทกของพระจันทร์และสลายเป็นจุณทันที กองทัพยมโลกไม่สามารถต้านทานพลังแกร่งของอิ๋งโกวได้ ประกอบกับร่างธรรมของเหล่าพญายมแหลกสลายไปองค์แล้วองค์เล่า ราวกับธงรบแม่ทัพใหญ่ถูกตัดออกไปทีละด้าม ผู้ที่อยู่เบื้องล่าง ย่อมไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้

สุดท้าย อิ๋งโกวเขวี้ยงพระจันทร์สีเลือดที่ดวงเล็กลงอีกไปบนท้องฟ้า ท่ามกลางผู้คนหนาแน่นดุจเมฆดำที่เฝ้าดูการสู้รบอยู่บนท้องฟ้า ไม่รู้ว่าถูกพระจันทร์สีเลือดพาดเกี่ยวจนตายคาที่ไปแล้วเท่าไร แต่ขามุงที่เหลือกลับไม่กล้าลงมาขอคำอธิบาย ยังจะต้องการอะไรได้อีกเล่า พญายมเจ็ดตำหนักและกองทัพยมโลกล้วนถูกคนผู้นี้โจมตีย่อยยับ พวกเขายังจะต้องการอีกได้อย่างไร แม้พวกเขาจะมองเห็นเปลวไฟบนร่างอิ๋งโกวกำลังมอดดับลงอย่างช้าๆ ก็ตาม แม้ว่าในใจพวกเขาจะรู้ดีว่าพลังของอิ๋งโกวแทบไม่เหลือแล้วก็ตาม แต่พลังที่เพิ่งสร้างขึ้นมาก็ยังทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน!

คนผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ ในใจกลับไม่มีความรู้สึกว่าได้สู้รบอย่างถึงอกถึงใจหลังสงครามครั้งใหญ่ สิ่งที่มีก็เพียงแค่ความโดดเดี่ยวเดียวดาย

พญายมสิบตำหนักส่วนใหญ่มาแล้ว แต่สิ่งที่เรียกว่าขันทีทั้งสิบคนกลับไม่โผล่หัวมาเลยสักคน

แทนที่จะพูดว่านี่เป็นสงครามครั้งใหญ่อย่างแท้จริง สู้พูดว่าเป็นการเปลืองพลังภายในจะดีกว่า

บรรดาพญายมสิบตำหนัก มีพญายมไท่ซานหวังรอดตัวไปเพียงลำพัง พญายมผิงเติ่งหวังดับสูญ เหลืออยู่แปดองค์ซึ่งร่างธรรมแหลกสลายไปแล้วทั้งหมดและบาดเจ็บสาหัส แต่ขันทีทั้งสิบนั้น เพียงแค่บาดเจ็บหนึ่งตายหนึ่งก็เท่านั้น ยังมีอีกแปดคน ยิ่งไปกว่านั้นอย่ามองว่าก่อนหน้านี้ต้าฉางชิวถูกอิ๋งโกวไล่ล่าจนดูเหมือนคนไร้ประโยชน์ แต่กระนั้นเขากลับไม่หมูแน่นอน

พวกพญายมก่อตั้งกองทัพยมโลก คิดอยากจะใช้ร่างทิพย์ของไท่ซานฝู่จวินมาทำให้พลังของอิ๋งโกวสิ้นเปลืองไป แต่ดันคิดไม่ถึงว่า พวกเขามีแนวโน้มว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของวัสดุสิ้นเปลืองเสียเอง มองเหล่าพญายมเป็นวัสดุสิ้นเปลือง นอกจากคนผู้นั้นแล้ว ไม่มีใครมือเติบเช่นนี้อีกแล้ว!

หลังสงครามในครั้งนี้ รูปแบบของนรกจะถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ต้าฉางชิวบอกกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก่อนหน้านี้ว่าจะรออีกหกสิบปี บางทีอาจจะไม่ต้องรอถึงอีกหกสิบปีแล้ว การเปลี่ยนแปลงราชวงศ์เดิมทีก็เป็นกระแสอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้อิ๋งโกวเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก

ด้วยเหตุนี้ อิ๋งโกวที่ถูกคนใช้เป็นคมดาบ จะยกระดับอารมณ์ให้ดีขึ้นมันยากจริงๆ

ยังหวนคิดถึงอดีต ยังจดจำภาพในวันวาน ในตอนแรกมีการพลิกผันมากมายเสียที่ไหน ข้าไม่พอใจเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะอ้างตนว่าเป็นเจ้าทะเลแห่งความตาย อยากจะสู้กับเจ้า อยากจะฆ่าเจ้า หลังสงครามครั้งใหญ่ศีรษะของเจ้าจะถูกตัด ก่อนที่เจ้าจะตาย ศีรษะก็ยังคงหัวเราะอย่างมีความสุขไปกับเขา

แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ทำเอาสงครามใหญ่แบบนี้ การดวลรบแบบนี้เป็นหินลับมีดกำจัดผู้คัดค้านและเร่งกระบวนการ อิ๋งโกวถอนหายใจยาว แต่ถ้าบอกว่าเสียใจแค่ไหน ก็ไม่มีหรอก ถ้าบอกว่าเสียใจจริงๆ นั่นก็หลอกตัวเองและผู้อื่นเกินไปแล้ว ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หลังจมดิ่งไปนานพอสมควร การโผล่ออกมาหายใจในครั้งนี้และต่อสู้มากมายขนาดนี้มันช่างโล่งสบายจริงๆ

อิ๋งโกวหมุนตัว ร่างหายวับไปจากตรงจุดนั้น กลับไปบนยอดเขาลูกนั้นและเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่ยืนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ร่างของเขากำลังแตกร้าวและลอกออกอย่างรวดเร็ว เดิมทีกายหยาบนี้ก็ขาดวิ่นอยู่แล้วทั้งยังถูกใช้การอย่างนี้อีก นับว่าถูกรีดจนหมดสภาพไปแล้ว และในระยะไกลๆ นั้นมีแสงสีทองกำลังพุ่งทะยานเข้ามา มันเป็นดอกบัวของพระพุทธเจ้า

เหมือนมีเสียงกระซิบปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

หญิงสาวยืนอยู่ที่เดิมมองอิ๋งโกว มองดูร่างของเขาก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย

อิ๋งโกวกลับเดินก้าวมาข้างหน้าและเอื้อมมือไปผลักหญิงสาว “ขวาง…ทาง…ข้า…แล้ว…”

“…” หญิงสาว

สะพานไน่เหอ ชีวิตชาตินี้และชีวิตชาติหน้า

‘ไม่มีแรงแล้วเหรอ’ โจวเจ๋อถาม

อิ๋งโกวไม่ตอบ

ในเวลานี้เอง ดอกบัวแห่งพระพุทธเจ้ารุดเข้ามาแต่ไกลแล้ว พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ทรงสวมหน้ากากนั่งประทับบนดอกบัว ไม่สุขไม่เศร้า พระองค์มาเพียงลำพัง ไม่มีตี้ทิงและไม่มีสิบขันที แต่ทว่า ดูเหมือนจะไร้ซึ่งความประหลาดใจที่เผชิญกับกายหยาบของอิ๋งโกวก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้ดูสงบนิ่งมาก

ทันใดนั้น ม่านงดงามปกคลุมยอดเขาทั้งลูก ขณะเดียวกันแสงสีทองอร่ามปรากฏขึ้นและมายังด้านหน้าอิ๋งโกว เป็นพระโพธิสัตว์เอง แต่ร่างที่แท้จริงของพระองค์นั้นอยู่ห่างไปไกลแสนไกล ไม่กล้าเข้ามา

“เรามาขอบคุณท่าน” พระสุรเสียงของพระโพธิสัตว์กลับมาราบเรียบไร้คลื่น

อิ๋งโกวแย้มยิ้มไม่เอ่ยวาจาใดๆ

“พวกเขา…ใกล้ตื่นแล้ว” พระโพธิสัตว์ตรัสต่อไป ราวกับกำลังเร่งเร้าให้เดินทาง

อิ๋งโกวกระแทกหมัดเข้าไป แสงสีทองนี้แตกกระจาย ม่านงดงามนี้ก็แหลกสลายไปทันที พระโพธิสัตว์ยังประทับนั่งเหนือดอกบัวแห่งพระพุทธเจ้า

ลูกหลานตระกูลมั่งมีไม่นั่งชายคาบ้านฉันใด พระโพธิสัตว์องค์จริงไม่กล้าเข้าใกล้ฉันนั้น สิ่งที่กลัวก็คืออิ๋งโกวจะต่อยพระองค์อย่างงุนงงอีกครั้ง!

การดำรงอยู่ของตัวตนระดับนี้ มันพูดยาก

‘พระองค์หมายความว่ายังไง’ โจวเจ๋อถาม

พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์รู้สึกว่าพระองค์ใช้เขาเป็นคมมีด ดังนั้นก่อนที่เขาจะเป็นตะเกียงหมดน้ำมันจึงออกมาแสดงตนเสียหน่อย บางทีในเวลานี้อิ๋งโกวอาจจะมองดูพระโพธิสัตว์องค์นี้อย่างสูงส่งได้จริงๆ แต่เพราะว่าพระองค์หาคนคุกเข่าให้เสมอมา ดังนั้นโดยรวมแล้วก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดี มักจะรู้สึกว่าคนประเภทนี้ต่อให้จะเก่งกาจเพียงใด จะมีความคิดละเอียดอ่อนเพียงใด กลับไม่สมควรอยู่บนเวทีเช่นเดิม

‘ตู้ม! ปัง! ตู้ม! ตู้ม!!!!!!’ เสียงฉีกขาดดังจากท้องฟ้า ในความเลือนรางนั้นดูเหมือนว่าจะมีตัวอะไรบางอย่างออกมาแล้ว พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เงยหน้าขึ้นมองฟ้าและยังเดาอารมณ์ไม่ออกเช่นเคย แต่อิ๋งโกวกลับยิ้มอย่างดูแคลนพลางชี้ไปบนท้องฟ้า!

โซ่ตรวนสีดำเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้นจากท้องฟ้า

‘นี่มันตัวอะไรเนี่ย’ จู่ๆ โจวเจ๋อก็รู้สึกว่าภาพนี้มันคุ้นตาเล็กน้อย เขาจำได้ว่าภาพในความทรงจำของอิ๋งโกว ดูเหมือนว่าท้องฟ้าเคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน จากนั้นมีมือคู่หนึ่งยื่นออกมา

‘ไม่…ใช่…ตัว…อะไร…’ อิ๋งโกวตอบแค่ประโยคนี้ และชั่ววินาทีนั้น โจวเจ๋อรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวเองดูเหมือนจะถูกกระชากออกมา จากนั้นโลกหมุนไปชั่วขณะ วินาทีต่อมาลำแสงสีดำพุ่งออกจากระหว่างคิ้วของอิ๋งโกวและทะยานตรงไปยังสะพานไน่เหอ!

ส่วนร่างของอิ๋งโกวกลับหมุนตัวอย่างช้าๆ ชูกำปั้นขึ้นพุ่งเข้าใส่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์!

ฉากสุดท้ายที่โจวเจ๋อเห็นเป็นฉากที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ถูกอิ๋งโกวซัดกำปั้นใส่ดอกบัวแห่งพระพุทธเจ้า!

หยินหยางแบ่งเป็นสองทาง มนุษย์และผีมีเส้นทางที่แตกต่างกัน

ที่นี่เป็นจุดแบ่งระหว่างหยินหยาง เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด!

โจวเจ๋อเพียงรู้สึกว่าเขาถูกพายุเฮอริเคนโหมพัดไปข้างหน้าตลอดทาง หลังจากข้ามผ่านสะพานไน่เหอ ดูเหมือนร่างกายของเขาจะว่างเปล่าเบาหวิว

ทั้งๆ ที่รอบๆ ไร้ซุ่มเสียง แต่เขากลับดูเหมือนจะได้ยินเสียงต่างๆ มากมาย ทั้งๆ ที่รอบๆ มืดสงัด แต่เขากลับเห็นภาพวุ่นวายทับซ้อนมากมาย

“โอ๊ะ ได้ลูกชายแน่ะ ยินดีด้วยนะ ยินดีด้วย”

“คุณหมอคะ คีมห้ามเลือด”

“คลอดแล้ว คลอดแล้ว!”

“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว!”

“เจ็บเจียนตาย ไอ้พวกชั่วอยากจะฆ่าฉันด้วยการคลอดธรรมชาติ จากนั้นแกก็หาคนที่อายุน้อยกว่า”

เสียงมากมายเริ่มจู่โจมเข้ามา ราวกับสามารถลอกตัวเองออกจากกันได้

ขณะที่โจวเจ๋อต่อต้านความเจ็บปวดทรมานนี้ก็กัดฟันกรอดในใจไปด้วย ‘เจ้าโง่…’

คิดไม่ถึงว่าในตอนท้ายที่สุด อิ๋งโกวเหวี่ยงเขาออกไปเพียงลำพัง มอบหนทางสุดท้ายให้กับเขาเอง จะให้ซาบซึ้งใจก็ไม่ถึงขั้นนั้นจริงๆ ในเวลานี้ไม่มีเวลาไปซาบซึ้งใจทั้งนั้น เพียงแต่รู้สึกสะอื้นเล็กน้อย ราวกับว่าในใจของตัวเองถูกควักออกมาอย่างฝืนทน

ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนอสุรา ไม่มีภาพน่ากลัวใดๆ แต่ทำให้ผู้คนจมดิ่งได้ง่าย ราวกับว่าในเวลานี้ คุณได้รับการชำระล้างอย่างสมบูรณ์ที่สุด จิตวิญญาณของคุณก็ถูกปลดเปลื้อง เหลือเพียงดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดเข้าสู่การเกิดใหม่

ฮิปสเตอร์มากมายโพสต์วีแชตโมเมนต์ว่าไปทิเบตมารอบหนึ่งรู้สึกได้ชำระล้างกายใจของตนเองจนสะอาดบริสุทธิ์

อันที่จริงสามารถแนะนำให้พวกเขาลองมาที่นี่ดูจริงๆ แถมไม่เก็บค่าเข้าให้เข้าฟรีอีกต่างหาก ตายหนึ่งครั้งไม่มีอะไรที่ไม่สามารถชำระล้างได้แล้ว ความรู้สึกนี้ราวกับดึงกระชากวิญญาณของคุณออกมาแล้วผสมเข้ากับน้ำยาฆ่าเชื้อ 84

แดนเชื่อมต่อระหว่างหยินหยาง จุดวิกฤติที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของกฎเกณฑ์ โจวเจ๋อคิดอยู่เสมอว่าเจตจำนงของเขาแข็งแกร่ง แต่กลับไม่สามารถอดทนได้นานเกินไป จึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหลงทางอยู่ที่นี่ ความหวาดกลัวมหาศาลซัดสาดเข้ามา เพราะโจวเจ๋อรู้ดีว่า หากหลงทางไปแล้วก็หมายถึงการเกิดใหม่ เขาจะลืมทุกสิ่งไปหมดสิ้นและจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่นี่มันแตกต่างจากการตายแล้วตรงไหน เถ้าแก่โจวเป็นคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง เขาไม่อยากตาย เขาไม่อยากไปเกิดใหม่ แต่การฝืนรั้งอย่างนี้มันก็ลำบากเกินไปจริงๆ

โชคดีที่หลังจากไม่รู้ว่าล่องลอยไปนานเท่าไร โจวเจ๋อได้เห็นแสงวงกลมสีน้ำเงินปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ราวกับคนจมน้ำและเห็นเชือกที่จะช่วยชีวิตตัวเอง โจวเจ๋อเดินไปบนแสงวงกลม และเดินไปตามถนนนี้ทีละก้าว

ตลอดทางนั้น เขาได้ยินและได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย ดูเหมือนเป็นเพราะว่าทางที่ปกคลุมไปด้วยแสงวงกลมเส้นนี้ทำให้ความกดดันที่ตัวเองได้รับไม่มากนัก โจวเจ๋อสามารถทุ่มไปกับความคิดมากขึ้น เห็นมากขึ้น และได้รับประสบการณ์มากขึ้นจริงๆ

ชีวิตและความตาย การพลัดพรากและพบกันใหม่ ฉากแล้วฉากเล่า สายแล้วสายเล่า เฝ้ามองเฝ้าดู โจวเจ๋อไม่รู้ว่าอารมณ์และจิตวิญญาณของเขายกระดับขึ้นหรือเปล่า เขาเอาแต่รู้สึกว่าเขาหิวแล้ว อีกทั้งยังหิวมาก หิวสุดๆ ทั้งๆ ที่เป็นวิญญาณแต่ความกระหายหิวที่รุนแรงนี้ กลับรุนแรงมากถึงเพียงนี้!

เป็นไปอย่างช้าๆ โจวเจ๋อเดินไม่ไหวแล้ว เป็นคนมาสองชาติ นับว่าเป็นครั้งแรกที่หิวขนาดนี้ หิวจนอึดอัดทรมานถึงขีดสุด และเดินไปต่อไม่ไหวแล้ว

ทั้งๆ ที่มีหนทาง ทั้งๆ ที่มีหนทางรอดอย่างที่อิ๋งโกวบอกไว้ก่อนหน้านี้ แต่กลับเป็นเพราะหิวจนเกินไปจนเดินต่อไม่ไหวแล้ว โจวเจ๋อรู้สึกว่ามันน่าขำสิ้นดี “ขอโทษนะเจ้าโง่ การตายแบบนี้ฉันก็จนคำพูดแล้วเหมือนกัน” มักจะรู้สึกว่ามีคนสร้างโอกาสให้คุณและปล่อยให้คุณมีชีวิต แต่กลับเสียไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างนี้ ต้องขอโทษคนเหล่านั้นจริงๆ

“ข้า…ก็…หิว…”

………………………………………………………..

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท