ตอนที่ 68 ข่าวดีประดังเข้ามา
หยางเฉิง
รถบัสขับมาตลอดทางจนถึงหน้าประตูโรงเรียน
ตอนที่รถหยุดลง ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวแล้ว
ฟางผิงลงรถ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกชื่อเขาทันที
แค่ฟังจากเสียง ฟางผิงรับรู้ได้ทันทีว่าใครมา
พอหันไปมอง ภาพที่ปรากฏคือฟางหยวนวิ่งกระโจนใส่เขาด้วยสีหน้าดีใจ “ฟางผิง นายกลับมาสักที!”
เพราะเรื่องถูกโจมตี ฟางผิงจึงเครียดในใจอยู่บ้าง
ตอนนี้เห็นหน้าฟางหยวน เขาพลันรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย ยื่นมือไปหยิกแก้มน้องสาว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เธอมาได้ไง?”
ฟางหยวนฟองแก้ม สะบัดหน้าหนีจากมือของฟางผิง ก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันมารับนายน่ะสิ ฟางผิงนายน่าจะยังไม่รู้ ตอนนี้นายดังใหญ่แล้ว…”
เด็กสาวพูดเจื้อยแจ้วด้วยสีหน้าภูมิใจอยู่พักใหญ่
ฟางผิงตรวจปราณได้หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าแคล เป็นอันดับหนึ่งของรุ่ยหยาง!
พวกผู้ปกครองอาจไม่สนใจข่าวพวกนี้เท่าไหร่ แต่ในหมู่นักเรียนกลับรู้แทบทั่วกัน
โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่งทำป้ายประกาศแล้วเช่นกัน เขาตรวจปราณได้ตั้งหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าแคล ทั้งยังเป็นนักเรียนที่มีปราณสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของหยางเฉิง
ฟางผิงค้างแค่สอบวิชาวัฒนธรรม ขอแค่ไม่ทำคะแนนแย่มาก ถึงจะสอบสองมหาวิทยาลัยดังไม่ได้ แต่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไปคงไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
โรงเรียนมัธยมต้นของฟางหยวนไม่ได้อยู่ไกลจากโรงเรียนฟางผิง
รวมทั้งฟางหยวนเป็นน้องสาวของเขา ตอนนี้ในโรงเรียนเธอจึงมีคนรู้เรื่องนี้เป็นจำนวนมาก
‘ยัยหน้ากลม’ มอสองมีพี่ชายที่ปราณสูงเป็นอันดับหนึ่งของรุ่ยหยาง แทบจะมีโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
เรื่องนี้ถือเป็นตราประทับที่ฝังในกระดูกเด็กหนุ่มสาวที่เคารพนับถือนักศึกษาศิลปะการต่อสู้พวกนี้
กระทั่งยังพาให้หลายวันนี้ฟางหยวนได้รับความสนใจไปด้วย อาจารย์ที่โรงเรียนต่างเข้ามาพูดคุยกับเธอ เป็นมิตรขึ้นกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
พูดถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนยิ้มแทบหุบปากไม่ลง เอ่ยว่า “ตอนนี้ใครเรียกฉันว่ายัยหน้ากลม ฉันขู่ว่าจะให้พี่ชายมาจัดการเลยไม่มีใครกล้าเรียกอีกแล้ว!”
ฟางผิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอเอาฉันมาขู่แบบนี้จะเกินไปหน่อยหรือเปล่า!
คนที่ใกล้จะทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างฉัน จะให้ไปจัดการกับเพื่อนเธอเนี่ยนะ?
เห็นว่าเด็กสาวตื่นเต้น ฟางผิงจึงไม่พูดมาก ขนของขวัญที่ซื้อมาลงจากรถ
พอเห็นฟางผิงถือถุงใบเล็กใบใหญ่ลงมา ฟางหยวนเผยยิ้มหน้าบาน ก่อนจะบ่นตามทีหลัง “ว่าแล้วต้องใช้เงินฟุ่มเฟือย!”
ฟางผิงไม่สนใจเธอ บอกลาคนอื่นๆ แล้ว ค่อยถือของเดินกลับบ้าน เอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “ครั้งนี้ไม่ถือว่าสิ้นเปลือง พี่ของเธอรวยแล้ว”
“นายขายลายเซ็นเหรอ?”
ฟางผิงหมดคำพูด เอ่ยอย่างหงุดหงิด “พักเรื่องลายเซ็นบ้างเถอะ ลายเซ็นมันจะขายได้สักเท่าไหร่กัน? ลองคิดให้กว้างกว่านั้นสิ พี่เธอเป็นคนที่ใกล้ทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ปราณแทบไม่ได้ด้อยกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ยังต้องขายลายเซ็นเลี้ยงชีพอีกงั้นเหรอ?”
พอพูดตำหนิเด็กสาวไปแล้ว ฟางผิงค่อยเผยยิ้มออกมา “แถวโรงเรียนของเธอมีย่านเล็กๆ ชื่อกวนหูหยวน รู้จักหรือเปล่า?”
“รู้จักสิ เพื่อนฉันอยู่ที่นั่นเหมือนกัน เป็นย่านที่สวยจริงๆ…”
ฟางหยวนพูดด้วยความอิจฉาอยู่บ้าง ย่านเก่าอย่างจิ่งหูหยวน บ้านนั้นทรุดโทรมเหลือทน พื้นที่ก็คับแคบสุดๆ
กวนหูหยวนเป็นย่านใหม่เล็กๆ แค่มองจากข้างนอก บรรยากาศยังดีกว่าจิ่งหูหยวนไปสิบเท่าแล้ว
“รู้จักก็ดี ครั้งนี้พี่เธอตรวจปราณได้เป็นอันดับหนึ่งของเมือง! ทางรุ่ยหยางและหยางเฉิงตบรางวัลให้ฉันไม่น้อย”
“รางวัล?”
ฟางหยวนสงสัย “รางวัลอะไร?”
“หยางเฉิงให้บ้านในย่านกวนหูหยวนเป็นรางวัล…”
“อะไรนะ?”
ฟางหยวนตกตะลึง ยังให้บ้านเป็นรางวัลงั้นเหรอ?
ฟางหยวนนั้นเคยได้ยินเรื่องที่เมืองมีรางวัลให้คนที่สอบได้คะแนนอันดับหนึ่งของทุกปี
แต่ปกติแล้ว แม้จะเป็นอันดับหนึ่งของเกาเข่า แต่รางวัลเป็นแค่เงินสดเท่านั้น ทั้งยังไม่ได้มากมายอะไร
ตอนนี้เกาเข่ายังไม่สิ้นสุดลง กลับให้บ้านเป็นรางวัลพี่ชายของเธอแล้ว?
ฟางผิงเห็นเธออ้าปากค้าง จึงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “เป็นอะไร ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก? วันหยุดพรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปดูบ้านใหม่ กวนหูหยวนอยู่ใกล้กับโรงเรียนเธอ พอย้ายไปอยู่บ้านใหม่ เธอจะได้นอนตื่นสาย…”
“ฟางผิง…”
ฟางหยวนตะลึงงัน “นายพูดจริงเหรอ?”
“จริงสิ!”
ฟางผิงเอ่ยหยอก “ครั้งก่อนฉันบอกว่าตรวจปราณได้หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าแคล เธอไม่เชื่อ ตอนนี้บอกว่าได้บ้านเป็นรางวัล เธอยังไม่เชื่ออีก? งั้นพวกเรามาพนันกันดีไหม ใครแพ้ต้องโดนบีบแก้มหนึ่งร้อยครั้ง?”
ฟางหยวนจะกล้าพนันกับเขาได้ยังไง แม้จะไม่น่าเชื่ออยู่บ้าง แต่มาคิดดู อาจจะจริงก็ได้…
พอนึกมาถึงตรงนี้ ค่อยเอ่ยอย่างตื่นเต้นขึ้นมา “ฟางผิง ให้บ้านเป็นรางวัลจริงเหรอ? งั้นพวกเราไปดูตอนนี้เลยเถอะ? บ้านใหญ่รึเปล่า? ห้องมีเยอะไหม? ห้องนั่งเล่นกว้างแค่…”
เด็กสาวเกาะแกะฟางผิงขึ้นมาทันที ถามสารพัดเรื่องร้อยแปดพันเก้า
ฟางผิงปวดหัวอยู่บ้าง คร้านที่จะรับบทสนทนา
กลับมาครั้งนี้ เหมาะที่จะใช้โอกาสโกหกเรื่องบ้านพอดี ทั้งจะได้ถือโอกาสให้เงินก้อนกับพ่อแม่ไว้ใช้ด้วย
เงินของหวงปินได้มาอย่างไม่ขาวสะอาดเท่าไหร่ คงไม่อาจพูดออกมาตรงๆ
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เงินสองล้านที่จินเค่อหมิงมอบให้ ถือเป็นเงินรางวัลที่พอเปิดเผยได้
เรื่องนี้ถานเจิ้นผิงรู้เหมือนกัน หากพ่อแม่สงสัยจริงๆ ฟางผิงสามารถขอให้ถานเจิ้นผิงเป็นพยานได้
แม้ถานเจิ้นผิงจะไม่ถึงขั้นที่สนิทสนมกับฟางผิง แต่ถ้าฟางผิงขอร้อง เขาคงไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
โดยเฉพาะตอนนี้!
คนอื่นอาจไม่รู้อะไร แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวแทนของเมืองหยางเฉิง ถานเจิ้นผิงต้องรู้เรื่องที่ฟางผิงถูกโจมตีแน่นอน
รวมถึงเรื่องที่ฟางผิงตะลุมบอนกับผู้ฝึกยุทธ์อย่างเป็นทางการคนหนึ่งอยู่ค่อนวันด้วย
ก่อนหน้านี้ปราณของฟางผิงอยู่ที่หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าแคล เป็นคนที่ใกล้ทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว
ตอนนี้สามารถรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ได้ เห็นได้ชัดว่าคงหลอมกระดูกแล้ว ขีดจำกัดถูกทะลวง ตอนนี้ฟางผิงแทบจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไปครึ่งก้าวแล้ว
ขอแค่สบโอกาส มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คอยชี้แนะ ฟางผิงก็สามารถเลือกทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้
จากความสามารถของฟางผิง ถานเจิ้นผิงคิดว่าคงสำเร็จภายในครั้งเดียว กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกับเขา
เวลานี้เขาต้องยินดีช่วยฟางผิงกลบเกลื่อนเรื่องราวอย่างแน่นอน
—
ตอนที่มาถึงบ้าน ฟางหมิงหรงยังไม่กลับมา หลี่อวี้อิงกำลังเตรียมอาหารเย็นในครัว
ฟางหยวนถึงบ้านแล้ว รีบเล่าเรื่องรางวัลของฟางผิงให้แม่ฟังทันที
หลี่อวี้อิงตกใจเช่นกัน
แค่เข้าร่วมการสอบ หยางเฉิงกลับให้บ้านเป็นรางวัลแก่ลูกชาย?
จากที่มีฟางหยวนไล่ซักไซ้อยู่คนเดียว ตอนนี้มีแม่เขาเพิ่มมาอีกคน
รอจนพ่อกลับมา จึงเปลี่ยนเป็นโดนซักถามทั้งบ้านทันที…
ฟางผิงจำไม่ได้ว่าตัวเองอธิบายไปกี่ครั้งแล้ว ท้ายที่สุดพูดว่า “เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของรองผู้อำนวยการถานของกองการศึกษา ผมมีเบอร์เขา พ่อกับแม่จะคุยกับเขาหรือเปล่า?”
หลี่อวี้อิงมองค้อนเขา ด้านฟางหมิงหรงขำแห้งออกมา
พวกเขาเป็นคนชนชั้นธรรมดามาชั่วชีวิต จะกล้าโทรศัพท์ถามรองผู้อำนวยกองการศึกษาได้ยังไงกัน
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์
ลูกชายพูดอย่างตรงไปตรงมา แม้จะเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่สองสามีภรรยายังคงเลือกที่จะเชื่อ
ฟางผิงเห็นพวกเขาไม่ซักไซ้ต่อ ค่อยโล่งอก เอ่ยเสียงเบาว่า “พ่อครับแม่ครับ เรื่องนี้เอาไปพูดข้างนอกไม่ได้ รางวัลครั้งนี้ ทางเมืองมอบให้เป็นพิเศษ ไม่เปิดเผยภายนอก หากคนรู้เข้า อิจฉาตาร้อนขึ้นมา ถึงเวลานั้นเมืองริบบ้านคืนคงได้ไม่คุ้มเสียแล้ว”
ฟางหมิงหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเป็นเรื่องนี้วางใจเถอะ พ่อกับแม่ไม่พูดอยู่แล้ว หยวนหยวน ลูกปิดปากให้สนิทล่ะ!”
ฟางหยวนอัดอั้นตันใจอยู่บ้าง “ฉันยังอยากเอาไปเล่าให้เพื่อนฟังสักหน่อย ฟางผิง งั้นพวกเราก็ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ไม่ได้น่ะสิ?”
ฟางผิงเอ่ยหยอก “ได้สิ แต่ฉันคิดไว้แล้ว ถ้าเธอปิดปากไม่ได้ ฉันจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่กับพ่อแม่ ส่วนเธออยู่ที่นี่ไปคนเดียว จะได้มีคนเฝ้าทางนี้ด้วย”
“ไม่เอา!”
ฟางหยวนฟองแก้ม ออดอ้อนว่า “พี่ ให้ฉันไปนะ ฉันไม่เล่าให้เพื่อนฟังแล้ว?”
สองสามีภรรยาพากันแย้มยิ้ม ไม่สนใจฟางหยวนอีกแล้ว ถามเกี่ยวกับบ้านใหม่ขึ้นมาแทน
ฟางผิงเล่าให้ฟังง่ายๆ รอจนรู้ว่าตกแต่งเรียบร้อย เหลือแค่ย้ายเข้าไปอยู่ สองสามีภรรยาจึงเห็นพ้องตรงกันว่า พรุ่งนี้จะลางานไปดูบ้านด้วยกัน
หากไม่ใช่ว่าฟางผิงเพิ่งมาถึง พวกเขาคงอยากไปดูตอนนี้เลย อดใจรอไม่ไหวกันอยู่บ้าง
เห็นพ่อแม่และน้องสาวดีใจกันยกใหญ่ ทุกคนพากันพูดคุยเรื่องบ้าน
ฟางผิงกระแอมไอเบาๆ “พ่อครับแม่ครับ ผมยังพูดไม่จบ บ้านเป็นรางวัลจากหยางเฉิง ทางรุ่ยหยางให้รางวัลมาเหมือนกัน แต่เป็นเงินสด”
“รุ่ยหยางให้รางวัลด้วย?” หลี่อวี้อิงตกใจอย่างมาก
ฟางหมิงหรงถอนหายใจ “ตอนแรกก็รู้มาบ้างว่า ผู้ฝึกยุทธ์นั้นแตกต่างจากพวกเรา แต่ตอนนี้ลูกยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ กลับได้ถึงขนาดนี้แล้ว ถ้ากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์คงจะ…”
แค่บ้านในกวนหูหยวน เท่าที่ฟังจากลูกชายพูด ฟางหมิงหรงตีราคาไปประมาณเจ็ดถึงแปดแสนหยวน!
นี่เป็นจำนวนเงินมากเกินกว่าที่สองสามีภรรยาจะหาได้ทั้งชีวิตเสียอีก!
ตอนนี้รุ่ยหยางยังมีรางวัลให้ด้วย นี่ทำให้ฟางหมิงหรงทั้งดีใจและรู้สึกเสียใจในเวลาเดียวกัน
ลูกชายยังไม่ทันเรียนจบ เป็นแค่นักเรียนมอปลายคนหนึ่ง กลับมีความสามารถล้ำหน้าเขาเสียแล้ว คนที่เป็นพ่อแม่แทบไม่รู้ว่าควรจะน้อยเนื้อต่ำใจหรือไม่
สองสามีภรรยาลืมถามจำนวนเงินเสียสนิท แต่คนขี้งกอย่างฟางหยวนรีบถามว่า “พี่ รุ่ยหยางให้เงินมาเท่าไหร่?”
ฟางผิงกวาดตามองเธอ เอ่ยว่า “ตอนนี้คำก็พี่ สองคำก็พี่ คนอย่างเธอนี่มันเห็นแก่เงินจริงๆ!”
“พี่…”
ฟางหยวนดึงแขนเขาอย่างออดอ้อน “ฉันดีใจแทนนายต่างหาก อีกอย่าง เงินฉันเหมือนเงินนาย เงินนายก็เหมือนเงินฉัน อย่างมาก…อย่างมากฉันเอาเงินเก็บทั้งหมดมาเลี้ยงข้าวเอง พรุ่งนี้พวกเราไปกินเคเอฟซีด้วยกัน!”
“เธอนี่มันวางแผนเก่งจริงๆ…”
ฟางผิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉันกินเคเอฟซีของเธอแล้ว กลับไปเงินของฉันต้องกลายเป็นของเธอ หัวคิดดีไม่ใช่เล่น
เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กสาว ฟางผิงกระแอมไอ “รุ่งหยางให้เงินรางวัล…สี่แสน ผมจะเก็บแสนหนึ่งไว้ใช้ตอนเข้ามหาวิทยาลัย เงินที่เหลือให้แม่ทั้งหมด ถ้าในบ้านจำเป็นต้องใช้อะไร จะได้ไม่ต้องประหยัดอีกแล้ว ยังมีทางพ่อ โรงงานเครื่องเคลือบ ไม่ใช่งานที่ดีเท่าไหร่ นานวันจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อนหน้านี้ผมเคยพูดกับรองผู้อำนวยการถานแล้ว เขาบอกว่าทางกองการศึกษามีตำแหน่งยามเฝ้าประตูว่าง งานไม่หนักอะไร แค่บันทึกข้อมูลคนที่เข้าออกเท่านั้น เข้างานแปดโมงเช้า เลิกหกโมงเย็น หยุดอาทิตย์ละวัน เงินเดือนห้าพันหยวน ถ้าพ่อเห็นด้วย พร้อมแล้วก็เริ่มทำงานได้เลย”
ฟางผิงไม่กล้าพูดมาก ถ้าพูดว่าได้เป็นล้าน กลัวว่าพ่อแม่จะหัวใจวายซะก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์ต้องใช้เงินมหาศาล ถึงเขาจะมีระบบ ก็ยังต้องใช้ค่าทรัพย์สินอยู่ดี
รอเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้ว ฟางผิงจะลองทำธุรกิจดู คงไม่อาจหวังให้เจอเหตุไม่คาดฝันได้ทุกวันหรอก
เมื่อคำพูดนี้ออกมา คนทั้งห้องนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
เงินรางวัลสี่แสน!
ได้เงินมาง่ายๆ อย่างนี้เลย?
อีกอย่าง…ยังได้ทำงานที่กองการศึกษา!
กองการศึกษาไม่ใช่หน่วยงานราชการทั่วไป แต่เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีอำนาจของหยางเฉิง แม้จะเป็นแค่ยามเฝ้าประตู กลับยังคงมีคนจำนวนมากที่แย่งชิงตำแหน่งนี้
หากบ้านไม่มีเส้นสาย ใครจะได้ทำงานที่กองการศึกษากัน?
คาดไม่ถึงว่าลูกชายจะสนิทกับรองผู้อำนวยกองการศึกษา!
ตอนนี้ฟางหมิงหรงตกใจ ทั้งไม่กล้าเชื่อยิ่งกว่าเรื่องบ้านซะอีก
คนงานธรรมดาอย่างเขา ทำงานเอาเป็นเอาตายในโรงงานเครื่องเคลือบ เดือนหนึ่งหยุดสองวัน ได้เงินแค่สามพันกว่าหยวน
ตอนนี้ไปเป็นยามเฝ้าประตู นั่งอยู่ในห้องบันทึกข้อมูลก็มีเงินเดือนกินแล้ว
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงินเดือนสูง แต่ไปเป็นยามเฝ้าประตูที่กองการศึกษา แค่นี้แทบจะเป็นคนของทางการไปครึ่งหนึ่งแล้ว ฟางหมิงหรงคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีโอกาสกินเงินเดือนหลวงกับเขาด้วย?
ฟางหมิงหรงไม่กล้าจะเชื่อ หลี่อวี้อิงตกใจไม่แพ้กัน
ฟางหยวนไม่คิดมากเหมือนพ่อแม่ขนาดนั้น เด็กสาวคิดในหัวแค่ว่า ‘เงินรางวัลสี่แสน’
“ซื้อขนมได้เป็นกอง…”
“ซื้อของอร่อยๆ ได้แทบไม่ซ้ำ…”
“ไปดูหนังได้…”
“…”
ความคิดต่างๆ พรั่งพรูขึ้นมาในหัวของฟางหยวน เธอหันไปมองฟางผิงอีกครั้ง เป็นฟางผิงที่ไหนกัน นี่มันหีบสมบัติเคลื่อนที่ชัดๆ!
ฟางผิงออกไปข้างนอกแค่สิบวัน ใครจะคาดถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้
ข่าวดีเยอะเกินไปแล้ว สองสามีภรรยาแทบไม่อาจรับได้ในเวลาสั้นๆ
ฟางหยวนยิ่งแล้วใหญ่ รีบต้อนรับฟางผิงเข้ามากินข้าวกลางวันอย่างดีอกดีใจ พอใช้เงินตัวเองหมดเกลี้ยงแล้ว เธอจะได้อาศัยเงินในคลังเล็กๆ นั้นของฟางผิงด้วย
ส่วนท่าทีต่อพี่ชายที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือนี้ เด็กสาวแทบมองข้ามไปเสียสิ้น
—
คืนวันนั้น สองสามีภรรยาไม่อาจข่มตาหลับได้ พวกเขาคุยกันจนถึงกลางดึก
ส่วนฟางหยวนนั้นหลับสบายอย่างยิ่ง ตอนที่อยู่ในห้วงนิทรายังยิ้มหวาน ไม่รู้ว่ากำลังฝันดีถึงเรื่องอะไร
ฟางผิงยังคงฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) ก่อนจะเปิดหนังสือ (การต่อสู้ด้วยขาพื้นฐาน) มาอ่านรอบหนึ่ง
เขาวางแผนจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งที่หลอมกระดูกด้านล่าง การต่อสู้ด้วยขาค่อนข้างเหมาะสมกับเขา
แต่เคล็ดวิชาต่อสู้และเคล็ดวิชาทั่วไปต่างกันอยู่บ้าง (เคล็ดหลอมกระดูก) นั้นเรียนรู้เรื่องเส้นปราณหลักก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์
แต่เคล็ดวิชาต่อสู้จะซับซ้อนมากกว่า รวมทั้งยังมีทักษะเฉพาะ ไม่ใช่ว่าแค่การอ่านหนังสืออย่างเดียวจะสามารถเข้าใจได้
ไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ ฝึกไปคงไม่เกิดประสิทธิภาพ
ฟางผิงลองโทรหาเหล่าหวังอีกครั้ง ปรากฏว่ายังคงติดต่อไม่ได้ ฟางผิงอารมณ์เสียอยู่บ้าง
ตกลงเจ้าหมอนี่ไปไหนกันแน่?
หรือว่าเปลี่ยนเบอร์มือถือแล้ว?
คนที่เขารู้จัก นอกจากหวังจินหยาง คงไม่มีใครแนะนำเขาได้อีก ฟางผิงไม่ได้สนิทกับจางหย่ง ถานเจิ้นผิงดันไม่ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้อีก
“หรือเพราะเหล่าหวังรู้เรื่องปราณของฉัน รับไม่ได้เลยไม่ยอมรับโทรศัพท์?”
ฟางผิงบ่นอยู่ในใจ ทำได้แค่เก็บความคิดเรื่องฝึกการต่อสู้ไว้ก่อน
—————————