ตอนที่ 75 เป็นผู้ใหญ่แล้ว (2)
เฉินฝานที่นั่งข้างฟางผิง หนึ่งในสมาชิก ‘คู่หูธรรมดา’ ในวันวาน คนที่ยากจะคาดเดาในสายคนอื่น คืนนี้เขาวางความกดดันทุกอย่างลงเหมือนกัน เปิดใจดื่มสุรา!
ดื่มไปสามครั้ง พวกสมองกลวงพากันเมาหน้าทิ่มไปบ้างแล้ว
แว่นตาของเฉินฝานเบี้ยวหมดแล้ว ยกแก้วให้ฟางผิง “ฟางผิง อิจฉานายจริงๆ!”
“บอกว่าจะสอบศิลปะการต่อสู้ก็สอบได้จริงๆ!”
“นายว่า ถ้านายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ฉันจะเสียใจไปตลอดชีวิตหรือเปล่า?”
“บางครั้งฉันยังคิดกับตัวเองว่า ทำไมถึงไม่สอบ ฉันไม่ได้ด้อยกว่านายเลย นายสอบได้ ฉันคงสอบได้เหมือนกัน?”
“ฟางผิง นายว่าไหม?”
“…”
ฟางผิงพยุงเขาเล็กน้อย พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน นายฉลาดกว่าฉัน ต้องสอบติดเหมือนกันอยู่แล้ว”
“นายคิดเหมือนกันใช่ไหม?”
“อืม ไม่เป็นไร พอเข้ามหาวิทยาลัย ใช่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้ซะหน่อย หากไม่ไหวจริงๆ ก็แต่งสาวเข้าบ้าน มีลูกสักคน ให้ลูกสอบเข้าแทน! คนอย่างพวกเรา อันที่จริงต่างดิ้นรนเพื่อเงินทั้งนั้น หากมีเงิน คงไม่ต้องกลัวว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้หรือเปล่า นายหาเงินได้เยอะแล้ว ค่อยให้ลูกชายกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์!”
“นาย…นายพูดมีเหตุผล!” เฉินฝานเขย่าแก้วเหล้า ยิ้มเหมือนคนโง่
“บ้านฉันฐานะไม่ดี ไม่มีเงินซื้อยาบำรุง…ไม่งั้น ฉันคงสอบได้ไปแล้ว! ถึงฉันจะเป็นอย่างนี้ แต่ลูกชายฉันต้องไม่เหมือนกัน!”
“ฮ่าๆๆ เฉินฝาน ตอนนี้นายคิดเรื่องมีลูกแล้วหรือไง? วางแผนไกลเกินไปแล้ว!”
คนด้านข้างหัวเราะเสียงดัง ส่ายหัวเล็กน้อย “อันที่จริงฉันสอบเข้าไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตราย! ฉันได้ยินว่า ทุกปีในมหาวิทยาลัยศิลปะการการต่อสู้มักจะมีนักศึกษาตายระหว่างการฝึกวิชา ตายแบบตายจริงๆ! ญาติทางตาฉัน เป็นนักศึกษาปีสามมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ได้ยินว่าทำคะแนนได้ดีทีเดียว คว้าเงินรางวัลมาทุกปี เงินแทบใช้ไม่หมดด้วยซ้ำ…ไม่ทันจบมหาวิทยาลัย กลับซื้อบ้านได้เป็นหลัง พ่อแม่ออกรถยี่ห้อหรู พวกคนใหญ่คนโตในเมืองไปสวัสดีปีใหม่พวกเขาทุกปี…จากนั้น จู่ๆ ก็ตาย! ได้ยินว่า การฝึกตอนปลายภาคอันตรายมาก เขาตายในตอนนั้น มหาวิทยาลัยและรัฐบาลชดเชยให้หลายล้าน แต่คนตายไปแล้ว จะเอาเงินมาทำไม!”
คนผู้นี้เป็นนักเรียนในห้องสี่เหมือนกัน หนึ่งในแปดคนที่ลงสมัครสอบศิลปะการต่อสู้ในตอนแรก
แต่ไม่ใช่คนที่โดดเด่นนัก เลยถูกคนอื่นมองข้ามตลอด
ฟางผิงฟังออกว่า สิ่งที่เขาต้องการสื่อไม่ใช่จะขู่คนอื่น ทั้งไม่ได้อิจฉาฟางผิงและอู๋จื้อหาวที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ แต่เพราะกลัว!
เขานั้นขลาดกลัวอยู่บ้างจริงๆ ตอนที่พูดเรื่องนี้ ริมฝีปากยังสั่นระริก
คนที่อยู่ดีๆ กลับมาตาย ทั้งยังเป็นคนที่คุ้นเคยกันดี ตอนเด็กๆ ยังไปเที่ยวเล่นด้วยกัน
รอจนรู้ว่าตายในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ เขาจึงหวาดกลัวอย่างยิ่ง
อันที่จริงแรกเริ่มคะแนนของเขาไม่ได้แย่เท่าไหร่ ปราณอยู่ระดับใช้ได้ แต่เพราะหวาดผวาอยู่ในใจเลยไม่ได้มุ่งมั่นให้สอบติด แค่เรียนผ่านพ้นไปวันๆ เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ที่ปราณไม่ถึงมาตรฐาน คนอื่นต่างรู้สึกเสียใจ เขากลับโล่งอกอย่างมาก
เวลานี้ดื่มเหล้าเข้าไปมาก จึงได้พูดความในใจออกมา
เป็นคนธรรมดาไม่ดีตรงไหน?
มีอะไรไม่ดีกัน!
คนธรรมดาไม่ใช่ทาสซะหน่อย เปิดบริษัทเล็กๆ เป็นพนักงานบริษัท หรือไปทำงานในหน่วยราชการก็ได้ทั้งนั้น
พูดถึงข้าราชการ จะมีคนธรรมดากี่คนที่สามารถไต่ระดับเป็นผู้ว่าหรือข้าราชการชั้นสูงได้กัน?
หากมีโอกาสนั้นจริงๆ อย่างมากแค่ไปเรียนคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้คงเพียงพอแล้ว
ส่วนธุรกิจ อันที่จริงก็น่าสนใจ หากทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ นั่นเท่ากับเป็นคนฉลาดเหมือนกัน
คนฉลาดจะหาช่องโหว่ไม่เจอได้ยังไง?
เป็นผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้ หาเงินแทนสิ!
ไม่งั้นหาผู้ฝึกยุทธ์ที่ไว้ใจได้สักคนมาลงทุนด้วยกันก็จบแล้ว
ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ดีกว่าไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เป็นไหนๆ?
เรื่องพวกนี้เคยมีคนทำมาก่อนทั้งนั้น พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ได้ เขาเลยไม่ได้เสียใจมากมาย
เขาพูดแบบนี้ คนอื่นๆ คล้ายจะรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
เฉินฝานตบไหล่ฟางผิงด้วยรอยยิ้มโง่เขลา “ฟางผิง นายอย่าทำอะไรโง่ๆ ล่ะ ถ้าต้องฝึกอะไรที่เสี่ยงชีวิต ให้รีบลาออกมาซะ”
“แน่นอน ฉันไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอยู่แล้ว”
ฟางผิงหัวเราะ ยกแก้วชนกับทุกคน
—
กินเนื้อย่าง ดื่มเหล้าจนเดินแทบไม่ตรงทาง คนพวกนี้ยังดึงดันจะไปร้องเพลงต่อ
ในหมู่พวกเขา เหมือนจะมีแค่ฟางผิงที่มีสติอยู่บ้าง
คงปล่อยเจ้าพวกนี้ไปไม่ได้ ฟางผิงโบกรถสามคัน ก่อนจะลากคนกลุ่มนี้ไปร้านคาราโอเกะ
คืนนี้ร้านคาราโอเกะมีคนเยอะเป็นพิเศษ ส่วนมากจะเป็นนักเรียนมอปลายปีสาม
พอเข้าไปในห้องส่วนตัว พวกคออ่อนที่เมาได้ที่ก็คว้าไมโครโฟนตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
เต้นบ้าง ร้องเพลงบ้าง บางคนร้องไห้ บางคนหัวเราะ
พอสร่างเมา ทุกคนยังคงเป็นเด็กน้อยในสายตาพ่อแม่ เป็นความหวังของครอบครัว
แต่ในสภาพที่เมามาย เด็กวัยรุ่นพวกนี้ต่างพากันระบายความกดดันและความทุกข์ในใจออกมา
ฟางผิงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง เขาไม่รู้ว่าควรจะปลอบพวกเขา หรือควรจะคุยเรื่องอื่นดี
ท้ายที่สุดฟางผิงเลยไม่พูดอะไร ทำหน้าที่เป็นฝ่ายสนับสนุนแทน
มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่บนโลกต่างมีความกดดันและความทุกข์อยู่แล้ว ไม่มีใครจะอยู่ได้อย่างสบายทั้งนั้น
ฟางผิงอยู่อย่างสบายหรือเปล่า?
อันที่จริงเขาไม่ได้สบายเท่าไหร่
อู๋จื้อหาวที่เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จะสบายด้วยอย่างนั้นเหรอ?
หากสบายจริงๆ เจ้าหมอนี้คงไม่เมาจนเกลือกกลิ้งไปมาแบบนี้หรอก
การรวมตัวในวันนี้ ทุกคนล้วนเปิดดอกพูดความในใจ เป็นเพราะว่าพวกเขารู้ดีว่า นี่อาจจะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่ทุกคนสามารถพูดคุยในฐานะตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน
ในอนาคตจะเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า?
ไม่มีใครรู้เหมือนกัน
—
พวกเขาปลดปล่อยกันจนถึงเที่ยงคืน
ด้านนอกร้านคาราโอเกะ มีผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยรอคอยลูกๆ อยู่ใต้แสงไฟริมถนน
บางคนประคองลูกสาว บางคนแบกลูกสาวที่มีแต่กลิ่นเหล้า พูดพร่ำไม่หยุดกลับบ้าน พวกเขาต่างมีความทุกข์เป็นของตัวเองเช่นกัน
ฟางหมิงหรงยืนอยู่ริมถนนด้วยใบหน้ากังวล พอเห็นลูกชายยังมีสติ ค่อยเผยยิ้มออกมา
สองพ่อลูกเดินตามกันกลับบ้านอย่างเงียบๆ
ระหว่างที่เดิน จู่ๆ ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อ พูดกันว่าวัยรุ่นไม่รู้รสชาติของความทุกข์ แต่ตอนนี้ผมพบว่า วัยรุ่นก็มีความทุกข์เช่นกัน หรือจะหมายความว่าพวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว?”
ฟางหมิงหรงหัวเราะ “ใช่ โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พอเข้ามหาวิทยาลัย คงอยู่ใกล้พ่อแม่ไม่ได้แล้ว แต่พ่อวางใจในตัวลูก”
คำว่า ‘วางใจในตัวลูก’ ทำให้อารมณ์ที่พลุกพล่านของฟางผิงสงบลงในชั่วพริบตา
ชีวิตนักเรียนมอปลายสิ้นสุดแล้ว จากนี้ต้องห่างไกลจากพ่อแม่ เขาและเพื่อนพวกนี้ของเขา สามารถพูดได้ว่า ‘โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว’
โลกใบใหม่กำลังเปิดอ้าต้อนรับเขาอยู่
แม้ชาติก่อนจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้แล้ว แต่โลกผู้ฝึกยุทธ์ในชาตินี้ จะมีความลับอะไรที่รออยู่บ้างนะ?
ช่วงเวลานี้ ฟางผิงตั้งตารอคอยอยู่บ้าง
————————