ตอนที่ 91 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (1)
วันที่ 1 กันยายน
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้
หน้าประตูตอนนี้มีกลุ่มผู้ปกครองยืนออกันเป็นจำนวนมาก
แม้มหาวิทยาลัยจะรับนักศึกษาใหม่ไม่เยอะ แต่ก็เป็นจำนวนกว่าพันคนแล้ว จำนวนผู้ปกครองแทบไม่ต่างกันมาก
ทั้งเวลานี้พวกผู้ปกครองยังแออัดอยู่หน้าประตู พากันตำหนิว่า
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำให้ไม่ให้ผู้ปกครองเข้าไปในมหาวิทยาลัย?”
“ใช่ ฉันอยากดูสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยสักหน่อย ไหนจะหอพักอีก นึกไม่ถึงว่าจะไม่ให้เข้า…”
“ลูกสาวฉันต้องถือกระเป๋าสามใบเข้าไปคนเดียว เมื่อกี้เห็นคนนำทางไม่คิดจะช่วยสักนิด…”
“…”
พวกผู้ปกครองไม่ยอมไปไหน คนที่บ่นก็บ่น คนที่รอก็รอ บางคนยังหยุดพูดคุยกับลูกข้ามรั้วกั้น
ฟางผิงเพิ่งมาถึงเหมือนกัน รอจนได้ยินพวกเขาบ่นค่อยรู้ว่าการรายงานตัววันนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ปกครองเข้าไปด้วย
ฟางผิงไม่คิดสนใจ ก้มหน้าก้มตาเดินไปทางประตูเล็กด้านข้าง
ประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัย ปกติจะไม่ค่อยเปิด จะเปิดจากประตูเล็กด้านข้างเท่านั้น
ฟางผิงเดินเข้าไป เป็นที่สะดุดตาไม่น้อย
ประตูด้านข้างตอนนี้วางโต๊ะขนาดยาวไว้ตัวหนึ่ง หลังโต๊ะนั้นมีแต่นักศึกษา เป็นคนที่มารับเด็กใหม่ในครั้งนี้
เห็นฟางผิงเดินมา พวกนักศึกษาหญิงชายที่อยู่หลังโต๊ะคาดเดาฐานะฟางผิงไม่ออกอยู่บ้าง
เพราะกระเป๋าสัมภาระของฟางผิงอยู่ที่โรงแรม เขาจึงมาตัวเปล่า
แน่นอนว่าถ้าไม่เห็นหนังสือตอบรับที่ถูกม้วนในมือเขาก็แล้วไป
แต่เมื่อเห็นแล้ว ทุกคนจึงไม่กล้ามั่นใจฐานะของฟางผิง
แต่ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาเก่าหรือใหม่ พอเขาเดินเข้ามา คนจึงถามขึ้นทันที “นักศึกษาใหม่?”
“อืม”
“ใช่ซะด้วย!”
นักศึกษาชายที่ถามคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ใบหน้าที่เงียบขรึมในตอนแรกปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาแทนที่
“มาคนเดียวงั้นเหรอ?”
“ครับ”
ฟางผิงขานรับ เขาหันไปมองพวกผู้ปกครองแวบหนึ่ง “ไม่อนุญาตให้ผู้ปกครองเข้าไปเหรอครับ?”
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “ปกติไม่ได้ห้าม แต่ตอนนี้ไม่อนุญาต! คิดจะมาเสวยสุขในมหาวิทยาลัยหรือยังไง? ในเมื่อเตรียมจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก็ต้องเตรียมใจเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่ตอนนี้”
ชายคนนั้นพูดจบ ด้านข้างพลันมีคนพูดแทรกขึ้นมา “รุ่นน้องใช้ได้นี่หว่า ของยังไม่เอามาสักชิ้น ลดภาระไปได้ไม่น้อย ในเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย อย่างแรกต้องเรียนรู้ที่จะยืนด้วยตัวเอง โตขนาดนี้แล้ว ยังจะให้ผู้ปกครองมาช่วยถือกระเป๋า เอาปราณไปให้หมากินยังดีกว่า”
คนที่เอ่ยแทรกนั้นพูดเชือดเฉือนนักศึกษาที่ให้ผู้ปกครองถือกระเป๋าด้วยใบหน้าดูแคลน
นักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ค่าปราณต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยสามสิบแคล คะแนนภาคปฏิบัติก็ไม่แย่ นั่นหมายความว่าสมรรถภาพทางร่างกายแทบไม่ด้อย
สถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย แม้จะถือกระเป๋าสองสามใบด้วยตัวเอง คงไม่ใช่ปัญหาอะไร
“เอาเถอะ โจวอวิ๋น อย่าวิจารณ์คนอื่นเลย ตอนที่พวกเราเพิ่งมาก็ทำประมาณนี้เหมือนกัน”
ชายหนุ่มพูดตัดบทโจวอวิ๋น ก่อนจะหันมามองฟางผิง “ขอดูหนังสือตอบรับของมหาวิทยาลัยหน่อย”
ฟางผิงไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วว่าโจวอวิ๋นจะพูดอะไร เพราะเขาไม่ได้พูดถึงฟางผิง
ส่งหนังสือตอบรับให้แล้ว ชายหนุ่มค่อยกวาดสายตาดู เอ่ยว่า “ใครจะเป็นคนพารุ่นน้องฟางผิงไปลงทะเบียน?”
คนสิบกว่าคนหลังโต๊ะยาว ตอนนี้ต่างพากันขี้เกียจ ไม่รับบทสนทนา
โจวอวิ๋นที่พูดเหน็บแนมเมื่อครู่ เห็นชายหนุ่มมองตัวเอง อดบ่นขึ้นมาไม่ได้ “ฉันไม่ไป น่าเบื่อเกินไป! ถ้าไม่ใช่รุ่นน้องผู้หญิง เปลี่ยนเป็นรุ่นน้องผู้ชายที่หอบของพะรุงพะรังยังพอว่า ฉันจะได้ดูเรื่องสนุกด้วย แต่เจ้าหมอนี่ดูราวกับประสบการณ์โชกโชน ไม่มีเรื่องน่าสนุกให้ดู ฉันไม่ไปหรอก!”
“ใช่ ถ้าไม่ใช่คนเจนโลกก็คงมีคนชี้แนะมาก่อน ฉันไม่ไปเหมือนกัน”
“เหล่าเว่ย นายไม่ไปเองล่ะ!”
“…”
พวกนักศึกษาตะโกนให้ชายหนุ่มเป็นคนไปส่งฟางผิงเอง
ฟางผิงฟังออกเช่นกัน เพราะเขาไม่ได้หอบสัมภาระมา ทั้งไม่ใช่ผู้หญิง เจ้าพวกนี้ไม่มีเรื่องสนุกให้ดู เลยไม่อยากไปส่งเขา
ทางนี้กำลังเกี่ยงกัน จู่ๆ โจวอวิ๋นที่บอกว่าจะไม่ไปส่งฟางผิงกลับตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงดังว่า “ผู้ปกครองห้ามเข้า!”
“รุ่นน้องมานี่ ฉันจะไปส่งนาย!”
โจวอวิ๋นไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทำเอานายอ้วนที่เพิ่งมาตกใจจนทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
ในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ค่อยมีคนอ้วนเท่าไหร่ สายสังคมอาจจะมีมากหน่อย
แต่ถ้าเป็นสายศิลปะการต่อสู้จะพบคนอ้วนน้อยมาก เพราะต้องฝึกฝนออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่อาจลงพุงอยู่แล้ว
แต่นักศึกษาที่เพิ่งมาคนนี้กลับอ้วนอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นประเภทที่กินน้ำเปล่าก็น้ำหนักขึ้นหรือเปล่า
นายอ้วนนั่นยังคงสับสน คนอื่นที่เกี่ยงกันไม่ไปส่งฟางผิง ต่างพากันเอ่ยปากว่า “รุ่นน้อง มาหาฉันนี่ ฉันจะไปส่งนายเอง!”
“อย่ามาแย่งฉันนะ! ฉันไปเอง!”
“รุ่นน้อง ให้พี่สาวไปส่งดีกว่า ผู้ชายพวกนี้ไม่มีความเอาใจใส่หรอก”
“…”
เห็นพวกนักศึกษาหญิงชายพากันแย่งเจ้าอ้วนนี้ ฟางผิงใบหน้าดำคล้ำขึ้นมา พ่อแกสิ ฉันมันไม่น่าสนใจขนาดนั้นเลยหรือไง
แต่เขาเห็นแล้วว่าเจ้าอ้วนนี้ลากสัมภาระมาตั้งสามสี่ใบ
นี่ยังไม่พอ คนที่อยู่ด้านข้างเขา มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพ่อ เพราะอีกฝ่ายอ้วนท้วมเหมือนกันในมือยังถือกระเป๋าอีกสองใบ
ตอนนี้เห็นพวกนักศึกษาต้อนรับลูกชายของตัวเองอย่างกระตือรือร้น ชายอ้วนที่ตอนแรกไม่พอใจคำพูดที่ว่า ‘ผู้ปกครองห้ามเข้า’ เวลานี้กลับหัวเราะขึ้นมา “กัวเซิ่ง ยังไม่รีบขอบคุณพวกรุ่นพี่อีก!”
เห็นได้ชัดว่านายอ้วนไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองเท่าไหร่ ได้ยินพ่อพูดจึงรีบเอ่ยทันที “ขอบคุณครับรุ่นพี่”
“ไม่ต้องเกรงใจ ‘กั้วเซิ่ง’ (เกินพิกัด) สินะ ไม่น่าล่ะ…”
โจวอวิ๋นยังคงพูดเหน็บแนมเหมือนเดิม คงรู้สึกว่าชื่อนี้เหมาะกับนายอ้วนมากกว่า เห็นก็รู้แล้วว่าเลี้ยงดูกันจนเกินพิกัด
ท่ามกลางกลุ่มคน ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเหล่าเว่ยมองค้อนเขาไปที ก่อนจะตรวจสอบหนังสือตอบรับของกัวเซิ่ง เอ่ยว่า “โจวอวิ๋น งั้นนายไปส่งเขา ถือโอกาสไปส่งรุ่นน้องฟางผิงด้วย”
คำว่า ‘ถือโอกาส’ ทำให้ฟางผิงแทบจะกระอักเลือด
นี่ฉันไม่เป็นที่ต้อนรับขนาดนี้เลยหรือไง แค่ไปส่ง ยังต้องใช้คำว่าถือโอกาสด้วย?
สรุปแล้วเขายังต้องพึ่งบารมีเจ้าอ้วน ไม่งั้นฟางผิงอาจต้องคอยที่นี่อีกพักใหญ่
เรื่องนี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง โจวอวิ๋นไม่ปฏิเสธอีก เผยรอยยิ้มขึ้นมา “ได้ รุ่นน้องทั้งสองตามฉันมาเลย!”
ฟางผิงกลับไม่มีปัญหาอะไร แต่กัวเซิ่งนั้นลำบากแล้ว
พ่อเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป เขาถือของไว้เต็มสองมือแล้ว ไม่อาจเอาของที่พ่อไปอีกได้
ตอนแรกชายอ้วนไม่คิดอะไรมาก เห็นลูกชายถือไปไม่ไหว ก็เอ่ยกับโจวอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม
“นักศึกษาคนนี้ รบกวนช่วยกัวเซิ่งถือหน่อยได้หรือเปล่า? วันหลังฉันจะเลี้ยงข้าวพวกนาย…”
โจวอวิ๋นเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “คุณลุงไม่ต้องหรอก กฎของมหาวิทยาลัย นักศึกษาใหม่ต้องพึ่งตัวเองทั้งหมด พวกเรารับผิดชอบนำทางเท่านั้น ไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วยเหลือ”
“อาจารย์ไม่อยู่ที่นี่สักหน่อย นักศึกษา ช่วยกัน…”
เห็นได้ชัดว่าชายอ้วนไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง ยังคงกล่าวขอผ่อนปรน
ยังไม่ทันพูดจบ โจวอวิ๋นกลับขมวดคิ้ว ระเบิดปราณขึ้นมาทั่วร่าง
———————