ตอนที่ 111 ซุ่มฝึกวิชา (2)
“ผู้ฝึกยุทธ์หญิงก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เวลาที่ควรแต่งตัวควรจะแต่งตัวสักหน่อย เธอเอาแต่ทำตัวเหมือนผู้ชายทั้งวันแบบนี้ ถึงหยางเสี่ยวม่านจะมีบุคลิกองอาจผึ่งผาย แต่ฉันยังเห็นเธอแต่งหน้า รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวด้วย”
“งั้นหรอกเหรอ?”
จ้าวเสวี่ยเหมยก้มมองชุดของตัวเอง ชุดฝึกที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร
ส่วนเรื่องแต่งหน้า ทุกวันฝึกวิชาเหนื่อยจนเกือบตาย ใครจะมีเวลามาทำเรื่องพวกนี้ อีกอย่างเหงื่อออกเครื่องสำอางค์คงหายหมดแล้ว
แต่คำพูดของฟางผิงถือว่าปลอบใจเธอได้บ้าง
จ้าวเสวี่ยเหมยครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยว่า “ยังไม่ได้พูดเรื่องที่ไปเชียร์นายเลย พรุ่งนี้แลกเปลี่ยนความรู้กันที่ไหน? จะเรียกพวกเสี่ยวม่านไปดะ…”
“อย่าไปจะดีที่สุด!”
“ทำไมล่ะ?”
ฟางผิงถอนหายใจ เงียบไปพักใหญ่ “พรุ่งนี้ยังไม่รู้สถานการณ์จะเป็นแบบไหน”
ตอนแรกการประลองที่ปีสูงมาท้าเขา สร้างความเคลื่อนไหวเป็นวงกว้าง แต่พอมาถึงช่วงหลังแทบจะเงียบกริบจนเหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น
ยิ่งเงียบเท่าไหร่ ฟางผิงยิ่งรู้สึกผิดปกติ
ถ้าโหมกระจายข่าวให้รู้ทั่วมหาวิทยาลัย นั่นมีโอกาสที่พวกปีสูงจะระบายอารมณ์ได้มากกว่า
อย่างน้อยก็ทำให้ฟางผิงอัปยศอดสู ถือโอกาสโจมตีหวังจินหยางไปด้วย
แต่ตอนนี้แทบไม่มีความเคลื่อนไหว คนที่รู้เรื่องมีน้อย นี่แหละคือปัญหา
ไม่ประโคมข่าวให้ฟางผิงอับอาย ฟางผิงพ่ายแพ้คงไม่มีความหมายมาก ยังไงช่วงนี้ทุกคนก็หมดความสนใจต่อเขาไปแล้ว
กระทั่งฉายา ‘ดาวเด่นหน้าใหม่’ ยังไม่มีคนเรียกแล้ว!
พวกปีสูงอยากจะสร้างบารมีข่มเด็กใหม่ ควรจะไปหาพวกจ้าวเหล่ยมากกว่า
แต่สถานการณ์เป็นแบบนี้ยังจะประลองต่อไปเพื่ออะไร?
แค่เอาชนะฟางผิงอย่างเดียวงั้นเหรอ?
ฟางผิงไม่ได้คิดอย่างนั้น บางทีเจ้าพวกนี้อาจจะคิดฆ่าเขาจริงๆ ไม่ก็ทำให้เขาพิการ
สถานการณ์ที่ล่อแหลมเกินไป แม้กฎจะอนุญาต แต่ถ้าคนรู้เยอะไปคงไม่ดีเหมือนกัน ดังนั้นถึงได้ปิดเรื่องเงียบแบบนี้
เมื่อคนน้อย จบเรื่องแล้วบอกว่าไม่อาจออมมือเลยเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อ้างแค่นี้คงสามารถปล่อยผ่านได้แล้ว
ยังไงทุกคนก็ไม่เห็นสักหน่อย เหมือนฟางผิงที่ไม่เห็นว่าหวังจินหยางตัดแขนคนอื่นยังไง
ทำไมถึงทำให้คนอื่นเจ็บหนักขนาดนั้น แม้จะรู้สึกว่าโหดเหี้ยมเกินไปบ้าง กลับไม่ได้คิดจริงจังอะไรมากมาย
แต่ตอนนี้ถ้าเขาเห็นเหตุการณ์กับตา ความรู้สึกคงไม่เหมือนกันแล้ว
เขาคิดแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้หลู่เฟิ่งโหรวเคยเตือนเขาครั้งหนึ่งด้วย ตอนนี้ฟางผิงจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ได้ใจเย็นเหมือนที่แสดงออกมาแม้แต่น้อย
จ้าวเสวี่ยเหมยคิดว่า พวกเขาหยอกเล่นกันเท่านั้น ยังจะไปตามเชียร์อีก!
เธอคิดว่านี่คือการแบ่งสาขาหรือไง?
ตอนแบ่งสาขายังพอถือว่าหยอกเล่นกันได้ ทุกคนไม่ได้จริงจังมาก ถึงฟู่ชางติ่งจะถูกรุม ก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
หากพวกนั้นคิดจะลงมือจริงๆ ฟู่ชางติ่งคงตายไปนานแล้ว
ฟางผิงเพิ่งปฏิเสธออกไป จู่ๆ หลู่เฟิ่งโหรวกลับเดินเข้ามาจากด้านนอก
เธอมองฟางผิง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เลว การแทงเท้าถือว่าก้าวหน้าขั้นหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้มีการประลอง?”
“ครับ”
“พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปดู อย่าทำฉันขายหน้าล่ะ”
ระหว่างที่พูดยังหันมาเอ่ยกับจ้าวเสวี่ยเหมย “พรุ่งนี้เธอไปกับฉันด้วย ไม่ต้องเรียกคนอื่นไป ตอนเช้ามาแค่คนเดียว”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์!”
จ้าวเสวี่ยเหมยรีบขอบคุณ ก่อนจะมองฟางผิงอย่างบอกเป็นนัยว่า นายไม่ให้ฉันไป แต่อาจารย์ให้ฉันไปย่ะ!
ฟางผิงขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อยกับเธอ หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจเธออีกแล้ว เอ่ยว่า “เสวี่ยเหมยกลับไปก่อน ฉันจะพูดกับฟางผิงสักหน่อย”
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่รอช้า เก็บของแล้วออกไปทันที
เธอไปแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวค่อยเอ่ยว่า “เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว พรุ่งนี้ระวังตัวให้ดี เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ ขึ้นเวทีแล้วชีวิตสำคัญที่สุด ใครล้วนไม่อาจสอดมือ ถ้านายสู้ไม่ไหวยอมแพ้ได้ ยอมแพ้แล้วฉันสามารถสอดมือได้ ครั้งนี้คนที่จัดประลองคือนักศึกษา ฉันช่วยสืบให้นายแล้ว แกนนำคือหลิวหย่งเหวินปีสามอยู่ขั้นสาม เขามีน้องชายคนหนึ่ง ปีก่อนเข้ามาเรียนที่นี่ ถือเป็นอัจฉริยะเช่นกัน เพิ่งจบเทอมแรกของปีหนึ่งก็อยู่ขั้นหนึ่งตอนปลายแล้ว ปรากฏว่าในการประลอง กระดูกอกถูกทำลาย จนถึงตอนนี้ยังอยู่ในโรงพยาบาล กว่าจะออกมาคงใช้เวลาอีกปีสองปี ช่วงเวลาเหล่านั้นถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการฝึกวิชา! ต้องเสียเวลาไปกี่ปีแทบไม่ต้องคิด คนยังพิการไปกว่าครึ่ง สถานการณ์แบบนี้ นายคิดดูเอาเองแล้วกัน ใช่สิ…”
หลู่เฟิ่งโหรวโยนขวดยาให้ฟางผิง เอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสอง ทำให้ปราณพลุ่งพล่านได้ช่วงหนึ่ง ส่วนร่างจะระเบิดหรือเปล่า คงต้องดูโชคของนายแล้ว แต่ฉันคิดว่าน่าจะทำได้”
ฟางผิงรีบเอ่ย “ขอบคุณครับอาจารย์!”
ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสอง ราคาไม่ใช่ถูกๆ เลย แม้จะในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ยังต้องใช้ถึงยี่สิบคะแนนเพื่อแลกเปลี่ยน
ด้านนอกขายแพงกว่านี้ ฟางผิงได้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองมาหนึ่งเม็ด ค่าทรัพย์สินก็เพิ่มขึ้นเกือบห้าแสนหยวน
ระบบนั้นคำนวณราคาต่ำไปสามสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้านำไปขายข้างนอก คงจะได้ประมาณเจ็ดแสนต่อเม็ด
ของสิ่งนี้กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองและขั้นสาม ยังแทบไม่ใช้ ส่วนมากจะใช้ในการทะลวงขั้น
ส่วนคำพูดก่อนหน้านั้นของหลู่เฟิ่งโหรว ฟางผิงรับฟังเช่นกัน เข้าใจความหมายของเธอ
ประลองจนกระดูกอกได้รับความเสียหาย คงจะเป็นฝีมือของเหล่าหวัง
หลู่เฟิ่งโหรวไม่พูดมาก หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป
แต่คล้ายนึกอะไรบางอย่างออก ยังถามต่อว่า “หลอมกระดูกเท้าแล้ว?”
“ครับ”
“เป็นอัจฉริยะหรือไง?”
หลู่เฟิ่งโหรวหัวเราะพลางส่ายหัว ไม่พูดอะไรอีก เดินปลีกตัวออกไป
เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน หลอมกระดูกไปยี่สิบหกชิ้นแล้ว!
นี่ถ้าไม่เรียกว่าอัจฉริยะจะเป็นอะไรได้อีก?
หากรักษาระดับนี้ต่อไป สิ้นสุดเทอมนี้ ฟางผิงคงจะทะลวงขั้นสองได้
ขั้นสามเกรงว่าจะอยู่ไม่ไกลเช่นกัน
ปีหนึ่งทะลวงสามขั้น?
พอถึงขั้นสามต้องสัมผัสกับโลกที่กว้างขึ้น กลัวว่าฟางผิงจะนั่งไม่ติดที่แล้ว
ลูกศิษย์ของเธอมีไม่น้อย แต่ตอนนี้ตายมากกว่า ความจริงบางครั้งหลู่เฟิ่งโหรวยังคาดหวังให้พวกเขาพัฒนาได้ช้ากว่านี้หน่อย
ดังนั้นตอนที่เธอสอนลูกศิษย์ จึงไม่เร่งรัดอะไรพวกเขา
เหมือนจ้าวเสวี่ยเหมย ถึงจะหลอมกระดูกช้าไปบ้าง แต่หลู่เฟิ่งโหรวก็ไม่เคืองโกรธ น้อยครั้งที่จะตำหนิอะไร
บางทีค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า ฟางผิงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
—
ฟางผิงไม่ได้สนใจท่าทีของหลู่เฟิ่งโหรว พุ่งสมาธิไปสนใจสภาพร่างกายของตัวเอง
ทรัพย์สิน : 5,410,000
ปราณ : 261 แคล (269 แคล)
จิตใจ : 231 เฮิรตซ์ (239 เฮิรตซ์)
หลายวันนี้เพราะการหลอมกระดูกมีความก้าวหน้า ปราณจึงเพิ่มขึ้นเร็วตาม
ห่างจากช่วงทะลวงด่านไม่ถึงเดือน ตอนนั้นขีดจำกัดปราณอยู่ที่สองร้อยสามสิบเก้าแคล ปราณเพิ่มมาถึงสามสิบแคล!
แน่นอนว่าสิ้นเปลืองค่าทรัพย์สินอย่างมากเช่นกัน ตอนนี้ยังได้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองมาอยู่ในมือ ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นห้าแสนหยวน
ความจริงปราณสามสิบแคลนี้ ฟางผิงเสียทรัพย์สินไปถึงสองล้านหกแสนหยวน!
ประเด็นอยู่ที่การหลอมกระดูกทำให้ปราณลดฮวบจำนวนมาก
ฟางผิงสามารถพัฒนารวดเร็วเช่นนี้ เพราะเพิ่มค่าปราณอยู่ตลอด
“ค่าทรัพย์สินที่เหลืออยู่พวกนี้ คงเพียงพอให้ฉันหลอมกระดูกสำเร็จในขั้นหนึ่งได้”
กระดูกส่วนล่างหกสิบสองชิ้น เมื่อวานเขาเพิ่งจะหลอมกระดูกเท้าไปยี่สิบหกชิ้นแล้ว
ยังเหลืออีกสามสิบชิ้นที่ไม่ได้หลอม รวมถึงกระดูกขาชิ้นใหญ่พวกนี้ด้วย
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ หลอมกระดูกสำเร็จ ทรัพย์สินห้าล้านกว่านี้คงจะแทบเกลี้ยงเช่นกัน
แม้จะเหลือก็น่าจะเหลือไม่เยอะ
“ใช้ค่าทรัพย์สินหนึ่งแสน ถึงจะหลอมกระดูกสำเร็จหนึ่งชิ้น ขั้นสองกลัวว่าคงต้องใช้เยอะกว่านี้ พวกจ้าวเหล่ยพัฒนาอย่างรวดเร็ว คาดว่าช่วงหลังน่าจะไม่มีทรัพยากรเหมือนกัน ไม่นานคงช้าลง”
ช่วงแรกทุกคนมีคะแนนจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ต่อจากนี้คงไม่เหลือแล้ว
นอกจากจะมีที่บ้านให้ความช่วยเหลือ ไม่งั้นก็ต้องรับภารกิจ เพื่อไม่ให้การฝึกวิชาช้าลง
ถ้าไม่ขาดแคลนทรัพยากร คนพวกนี้คงจะสามารถทะลวงขั้นสองในเทอมหน้า แต่ถ้าไม่มีอาจจะต้องรอขึ้นปีสองแล้ว
“ไม่สนพวกเขาแล้ว เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ ไม่คิดจะฝึกต่อ เก็บข้าวของแล้วก็สาวเท้าออกจากห้องฝึกซ้อม
—————-