ตอนที่ 126 พระเจ้าส่งฉันมากอบกู้โลก (2)
วิชาแรกของคลาสฝึกพิเศษ แม้จะไม่ได้สอนเรื่องศิลปะการต่อสู้หรือเคล็ดวิชาลับอย่างอื่น แต่ฟางผิงกลับรู้สึกว่าได้รับอะไรมาไม่น้อยเลย!
ในที่สุดเขาก็สามารถคลายข้อสงสัยก่อนหน้านี้ มองเรื่องราวอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
ถึงตอนนี้ไป๋รั่วซีจะไม่ได้พูดอะไรเยอะ แต่ฟางผิงได้รู้เรื่องคร่าวๆ แล้ว ส่วนที่เหลืออย่างเช่นที่มาของถ้ำใต้ดิน
ปัญหาพวกนี้ รอเขามีความสามารถแข็งแกร่งแล้ว คงจะรู้เอง หากยังไม่รู้ นั่นหมายความว่าคนอื่นไม่มีใครรู้แล้วเช่นกัน
—
สองชั่วโมงต่อมา
เลิกเรียนแล้ว
ไป๋รั่วซีจากไป ทว่าทุกคนกลับยังอยู่ในชั้นเรียน
ฟู่ชางติ่งถอนหายใจ “ถึงว่าตอนแรกฉันก็รู้สึกเหมือนที่บ้านมีเรื่องปิดบังฉันอยู่ ดูมีลับลมคมใน บางครั้งปีหนึ่งพวกเขาหายไปเกือบช่วงหนึ่งเลย ตอนนี้ดูท่าแล้ว คงจะเข้าไปในถ้ำใต้ดินอย่างแน่นอน”
หยางเสี่ยวม่านพยักหน้าว่า “คงจะเป็นอย่างนั้น อีกอย่างฉันสงสัยว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางและสูงอาจจะถูกบังคับหรือผูกมัดอยู่ ไม่งั้นหากมีภัยจากถ้ำใต้ดิน คงมีคนคิดหลบหนีสงคราม แต่ตอนนี้ได้ฟังที่อาจารย์ไป๋พูด ถ้าเกิดอันตราย ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางและสูงต่างจะเข้าร่วมสงคราม ฉันไม่คิดว่าผู้ฝึกยุทธ์จะเสียสละเพื่อคนอื่นเหมือนกันทุกคนหรอก”
ฟางผิงได้ฟังมาถึงนี้ เอ่ยขึ้นโดยพลัน “น่าจะอย่างนั้น แต่คงมีคนที่ไม่อยากจะเสี่ยงอันตรายเหมือนกัน”
เขานึกถึงพวกลัทธินอกรีตก่อนหน้านี้!
ฟางผิงสงสัยว่า หรือคนพวกนี้จะเป็นอย่างนั้น เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางและระดับสูงที่ไม่อยากเสี่ยงอันตรายเข้าร่วมการต่อสู้?
อีกอย่าง ภารกิจจากหน่วยทหารพวกนั้นแทบจะเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิ้น
ฟางผิงไม่คิดว่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ทำความผิดเยอะขนาดนั้นจริงๆ
หรือจะมีผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนที่ถูกจับกุมเพราะไม่อยากไปถ้ำใต้ดินด้วย?
“หลังจากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางแล้ว ต้องถูกบังคับให้ทำภารกิจอย่างนั้นเหรอ?” ฟางผิงสงสัยในใจอยู่บ้าง แต่รู้สึกว่ามีโอกาสสูง
กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางแล้ว ต้องใช้ทรัพยากรในการฝึกวิชาจำนวนมาก หากคนพวกนี้ไม่ยอมเข้าร่วมการต่อสู้ รัฐบาลคงไม่ยอมแน่
สิทธิพิเศษต่างๆ ที่มอบให้ผู้ฝึกยุทธ์ รัฐบาลไม่ได้ให้เปล่าๆ โดยไม่หวังอะไร
อย่างพวกฟางผิง อันที่จริงเข้าสู่มหาวิทยาลัยวันแรกก็ถือว่าใช้ประโยชน์จากทรัพยากรไปแล้ว
ทรัพยากรที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้ ถูกยิ่งกว่าโลกข้างนอก หรือจะให้ฟรีๆ อย่างนั้นเหรอ?
กล่าวว่ารับภารกิจโดยความสมัครใจ น่าจะยังมีเงื่อนไขจำกัดอยู่
ทุกคนพูดคุยกันพักใหญ่ กระตือรือร้นกันไม่น้อย บางคนยังคงเผยสีหน้ากังวล
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทุกคนค่อยแยกย้ายกันไป
—
ฟางผิงกลับมาหอพักก็โทรศัพท์หาหลี่เฉิงเจ๋อ
“ขยับขยายบริษัทส่งของให้เร็วที่สุด เรื่องเว็บไซต์อาหารจัดการให้เร็วกว่านี้ด้วย พรุ่งนี้ผมจะโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทแปดล้านหยวน ต้องทำให้เร็วที่สุด!”
ตอนแรกฟางผิงค่อนข้างใจเย็น ตอนนี้กลับรู้สึกร้อนใจแล้ว
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไมพวกรุ่นพี่ที่มักออกไปทำภารกิจถึงได้ดูร้อนใจกันหมดแบบนี้
มหาวิทยาลัยบอกพวกเขาก่อน เพื่อให้พวกเขามีความกดดัน
เพราะถ้าไม่กดดัน คงจะเอ้อละเหยลอยชายเหมือนเดิม หากมหาวิทยาลัยเอาแต่อาศัยคำพูดที่ว่าจะจัดสรรทรัพยากรให้น้อยลง อาจจะไม่มีคนกระตือรือร้นเสมอไป
อีกอย่างเมื่อคืนเซี่ยงไฮ้เกิดแผ่นดินไหว ไม่ใช่หมายความว่ากำลังไม่ปลอดภัยเหมือนกันหรอกเหรอ?
เซี่ยงไฮ้มีผู้ฝึกยุทธ์เยอะ หากกระทั่งเซี่ยงไฮ้ยังไม่ปลอดภัย นั่นคงเป็นปัญหาใหญ่แล้ว
ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ยังอยู่อย่างสงบสุข ทำธุรกิจเก็บเงินทอง แม้ว่าภายหลังจะไม่มีเงินใช้ แต่ยังมีค่าทรัพย์สินอยู่ ฟางผิงวางแผนไว้ในใจแล้ว
คืนนี้อาจเป็นเพราะได้รับแรงกดดัน การหลอมกระดูกของฟางผิงจึงมีความก้าวหน้าขึ้นอีกครั้ง
หลอมกระดูกน่องขวาเสร็จแล้ว ตอนนี้ฟางผิงเหลือแค่กระดูกต้นขาและกระดูกสะบ้าเท่านั้น
กลางดึก
ฟางผิงมองดูระบบเบื้องหน้า ก่อนจะจมดิ่งในความคิด “หรือพระเจ้าส่งฉันมากอบกู้โลก? ยังไงฉันก็เป็นคนที่มีระบบติดตัว!”
นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงพูดแขวะว่า “อาจจะไม่ใช่ฉัน ฉันคิดว่าเหล่าหวังน่าจะเหมาะสมกว่า!”
หมอนั่นมีการพัฒนาเร็วกว่าเขาซะอีก ใครจะกอบกู้โลกยังคงไม่อาจพูดได้จริงๆ
—
บริเวณรอบนอกของถ้ำใต้ดิน
พื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาลำธารอุดมสมบูรณ์ หวังจินหยางที่ถูกฟางผิงคิดว่าเป็นผู้กอบกู้โลก
ตอนนี้กำลังลากฉินเฟิ่งชิงวิ่งเตลิดอย่างทุลักทุเล ไม่มีออร่าของผู้กอบกู้โลกให้เห็นสักนิด
วิ่งอย่างบ้าระห่ำอยู่นาน หวังจินหยางหน้าตาสกปรกมอมแมม ด่ากราดว่า “ไอ้ปัญญาอ่อน! บอกว่าอย่ารนหาที่ตายก็ยังจะรนหาที่ตายให้ได้ บอกแล้วหมู่บ้านใหญ่ขนาดนั้นต้องมีผู้แข็งแกร่ง ยังจะไม่เชื่อท้าให้ฉันพนันอีก ทำไมครั้งนี้ฉันถึงโง่มากับนายนะ!”
หวังจินหยางที่มักสง่าเคร่งครึมในสายตาของฟางผิง เวลานี้กลับด่าออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉินเฟิ่งชิงที่ถูกเขาลากมา ดาบเล่มใหญ่นั้นไม่รู้ว่าหล่นหายไปไหนนานแล้ว ทั่วทั้งตัวมีแต่บาดแผล
เขาเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “หยุด…หยุดด่าเถอะ ฉัน…ฉันเห็นพลังงานแร่จริงๆ นะ…ใหญ่เท่ากำปั้นเลย! ให้ตายเถอะ ถ้าแย่งมาได้ พวกเราคงรวยเละแล้ว! ไม่ได้ ต้อง…ต้องหาผู้ช่วยสักหน่อย พวกเราสองคนไม่ไหว…”
“หาใคร?”
หวังจินหยางหอบหายใจ “มหาวิทยาลัยหนานเจียงไม่มีอีกแล้ว ที่นั่นขาดแคลนคนมีฝีมือ ครั้งก่อนที่เดินทางไปถ้ำใต้ดินเทียนหนาน บางคนบาดแผลยังไม่ทันหายดีด้วยซ้ำ ส่วนคนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ฉันไม่ไว้ใจ ฉันกลัวว่าเจ้าบ้าพวกนั้นจะไม่บั่นคอคนอื่น แต่จะบั่นคอฉันเป็นคนแรก ส่วนคนอื่นๆ อย่างแรกคือเชื่อใจไม่ได้ อีกอย่างแบ่งผลประโยชน์ยาก อ่อนแอเกินไปคงไม่ได้ แข็งแกร่งไปก็กลัวว่าจะถูกฮุบผลประโยชน์”
ฉินเฟิ่งชิงเห็นว่าเขาไม่วิ่งแล้ว จึงทรุดลงกับพื้น เอ่ยอย่างจนใจ “ฉันทะลวงขั้นสามเร็วเกินไป ไม่ได้สร้างกลุ่มขึ้นมา นายก็เหมือนกัน ตอนนี้หาคนกะทันหันถือเป็นเรื่องยากจริงๆ นาย…นายคิดว่า ฟางผิงเป็นไง?”
“เขาเพิ่งจะทะลวงขั้นหนึ่ง!”
“ฉันว่าเขาก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว…”
หวังจินหยางครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหัว “ไว้ค่อยว่ากัน ทางนี้คงต้องปล่อยไปก่อน อีกอย่างถ้ำใต้ดินทางเซี่ยงไฮ้เกิดความเคลื่อนไหว หมู่บ้านหลายแห่งโล่งเกลี้ยง คนน่าจะวิ่งไปทางประตูถ้ำใต้ดิน หากเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าพวกนายอาจต้องพบเจอเรื่องเหมือนเทียนหนาน”
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เซี่ยงไฮ้มีผู้ฝึกยุทธ์มากมาย พวกเรากังวลเรื่องพวกนี้จะมีประโยชน์อะไร”
หวังจินหยางก่นด่าอีกครั้ง “โง่เง่า ความหมายของฉันคือหากเป็นเหมือนเทียนหนานจริงๆ ไม่ช้าก็เร็วประตูต้องถูกปิดตาย ภายหลังปรมาจารย์คงต้องเลือกปิดตายประตูใหญ่ช่วงหนึ่ง แม้จะไม่นานมาก ครึ่งปีหรือหนึ่งปี แต่พวกเราต้องถูกขังตายอยู่ในนี้!”
คุยกับคนโง่นี้เหนื่อยจริงๆ!
ถ้าถูกขังอยู่ในนี้ ไม่ช้าก็เร็วคงจบเห่แน่
นึกมาถึงตรงนี้ หวังจินหยางจึงนึกถึงจางชิงหนาน อาจารย์ของตัวเอง
แม้จางชิงหนานจะไม่ได้ตายในถ้ำใต้ดิน แต่ตอนนี้ประตูของเทียนหนานถูกปิดตายแล้ว
คงไม่อาจเปิดในเวลาสั้นๆ ถึงอาจารย์จะไม่ตายคงอันตรายอยู่ดี
“หวังว่าจะอดทนได้อีกสักระยะ…”
หวังจินหยางลอบถอนหายใจ ตอนนี้เขาอ่อนแอเกินไป อย่าพูดว่าเขาเข้าไปไม่ได้เพราะปรมาจารย์ปิดกั้นประตูใหญ่เลย แต่ถึงเข้าไปได้ ก็คงไม่อาจเข้าไปลึก ค้นหาอย่างละเอียดได้อยู่ดี
หวังจินหยางครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยว่า “กลับไปฟื้นฟูรักษาตัวกันก่อน พวกเราค่อยเข้ามากันใหม่ หากชิงพลังงานแร่มาได้จริงๆ ทรัพยากรทะลวงขั้นสี่ของนายและขั้นห้าของฉันคงพอใช้แล้ว!”
“ได้…”
ฉินเฟิ่งชิงมองบาดแผลทั่วร่างของตัวเอง กลัดกลุ้มอยู่บ้าง ฉันคิดว่าฉันเป็นคนที่โชคดีอยู่นะ หลายครั้งก่อนก็ไม่ได้พบเจอเรื่องซวยอะไร
ครั้งนี้ลากหวังจินหยางที่แข็งแกร่งกว่ามาด้วย คาดไม่ถึงว่าจะซวยจนมีสภาพเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าหมอนี่แย่งโชคของฉันไปหรอกนะ?
นินทาอยู่ในใจหลายประโยค ฉินเฟิ่งชิงไม่พูดออกมา มักรู้สึกว่าลากหวังจินหยางเข้ามาด้วยอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
ลากร่างกายที่เมื่อยล้าเดินต่อ ฉินเฟิ่งชิงถอนหายใจว่า “บางครั้งยังคิดว่าหากโลกนี้ไม่มีพวกสัตว์ประหลาด อันที่จริงก็เป็นโลกที่สวยงาม อย่างน้อยก็สวยงามกว่าโลกของพวกเรา”
“นายแต่งงานกับสิ่งมีชีวิตที่นี่สิ ลองเข้ามาในนี้ ดูสิว่าพวกเขาจะยอมรับนายหรือเปล่า?”
“แค่กๆ ช่างเถอะ ฉันกลัวตาย”
“นายกลัวตาย? ฉันคิดว่านายชอบรนหาที่ตายซะอีก ครั้งหน้าไม่สืบข้อมูลให้ชัดเจน พูดมั่วซั่วอีก ฉันจะหั่นคอนายเป็นคนแรก!”
หวังจินหยางยังคงกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าบ้านี่ ถ้าเมื่อกี้หูตาเขาไม่ว่องไว ทั้งสองคนคงหัวหลุดจากบ่าไปแล้ว
———————