ตอนที่ 144 ความจนทำให้ฉันล้าหลัง (1)
ทุกคนยอมแพ้ ถังเฟิงก็ไม่มากความ เอ่ยทันทีว่า “ฟางผิงรับตำแหน่งหัวหน้าตามเดิม”
พูดจบ ถังเฟิงค่อยหันไปมองฟางผิง “หากเธออยากจะใช้วิธีไล่ต้อนแบบนี้ต่อไป ฉันแนะนำให้เรียนการเคลื่อนไหวฝีเท้า แล้วค่อยเรียนเคล็ดวิชาดาบที่ใช้ความเร็วและการระเบิดปราณ จะได้ไม่ต้องเรียนกลับไปกลับมา เรียนเคลื่อนไหวฝีเท้าเพื่อให้ศัตรูไร้ทางหนี สามารถประชิดตัวได้ตลอดเวลา ส่วนวิชาดาบ ใช้การปะทุปราณและความเร็วเป็นหลัก ระเบิดพลังได้สูง ฟันออกไปอย่างรวดเร็ว ศัตรูคงไม่อาจตั้งรับทัน หากเธอสามารถออกกระบวนดาบร้อยท่าในชั่วพริบตาเดียว รักษาสภาวะสูงสุดเอาไว้ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองก็อาจถูกเธอฟันขาดเช่นกัน!”
เห็นได้ชัดว่าถังเฟิงมองเห็นอะไรบางอย่าง ฟางผิงนั้นปะทุปราณได้นานทีเดียว
ขอแค่เขาไม่ปล่อยโอกาสให้ศัตรูพลิกแพลงกระบวนท่า เคลื่อนไหวฝีเท้าประกบอีกฝ่าย โจมตีอย่างต่อเนื่อง หลังจากฟันไปสักร้อยดาบ คงไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนไหนสามารถต้านทานเขาได้
แน่นอนว่า อันดับแรกฟางผิงต้องรักษาระดับนี้ไว้ให้ได้
หากปราณของฟางผิงเพิ่มขึ้นอีก เขาคงหลอมกระดูกช่วงบนได้เช่นกัน
งั้นจากความได้เปรียบของฟางผิง ภายใต้การปะทุปราณ ไม่กี่ดาบคงสามารถฟันระดับเดียวกันตายได้แล้ว
ฟางผิงพยักหน้า กล่าวขอบคุณ
ถังเฟิงไม่พูดพร่ำต่อ เอ่ยว่า “จ้าวเหล่ย…ความกล้าหาญของเธอนั้นน่ายกย่อง…แต่ว่า…”
ถังเฟิงเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ความกล้าหาญที่ไร้ซึ่งสติปัญญาไม่มีความหมายอะไร! นี่เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ในห้องเรียน ดังนั้นเธอจึงถอนตัวได้อย่างปลอดภัย รู้ทั้งรู้ว่าสู้ไม่ได้ ยังจะฝืนสู้อย่างโง่เขลา นอกจากเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว แทบไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่น”
เพิ่งจะเริ่มกลับถูกอัดจนเป็นสภาพนั้น แทบจะโดนฟางผิงกำราบอย่างสิ้นเชิง
เวลานี้หากยังยืนหยัดต่อไป นอกจากถูกฟางผิงอัดเพิ่มหลายหมัดแล้ว คงไม่มีผลดีอย่างอื่นอีก
ถ้าจ้าวเหล่ยมีอาวุธที่โจมตีถึงตายได้ มีโอกาสพลิกสถานการณ์ งั้นการยืนหยัดคงมีความหมาย
แต่เห็นได้ชัดว่าจ้าวเหล่ยไม่มีของเหล่านี้
สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องดึงดันไม่ยอมแพ้
จ้าวเหล่ยดวงตาบวมเป่ง ไม่ปริปากพูดอะไร ทุกคนต่างมองสีหน้าเขาไม่ออกเช่นกัน เพราะมองไม่ออกจริงๆ นั่นแหละ!
“หยางเสี่ยวม่าน ฟู่ชางติ่งและคนอื่นๆ นับว่าประเมินสถานการณ์ได้ดี แต่ทำไมถึงไม่ลองดูสักหน่อย ฟางผิงฆ่าพวกเธอไม่ได้หรอก แค่นี้ยังไม่มีความกล้าจะลองอีก?”
หยางเสี่ยวม่านเผยสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ใครจะกล้า?
ฉันถูกซ้อมหน้าบวมเป็นหัวหมูขึ้นมา จะออกไปเจอคนอื่นยังไงกัน?
ฟู่ชางติ่งเอาแต่หัวเราะแห้งๆ ไม่พูดอะไร เขามักรู้สึกว่าฟางผิงคิดจะหาโอกาสอัดเขา ในเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ เขาจึงคร้านที่จะประลอง
พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ถังเฟิงค่อยเอ่ยต่อว่า “ฟางผิง จ้าวเหล่ย หยางเสี่ยวม่าน ฟู่ชางติ่ง ทั้งสี่คนอยู่ทีมพร้อมรบ”
หลายคนไม่คิดแปลกใจ หยางเสี่ยวม่านกลับอดชำเลืองมองเฉินอวิ๋นซีที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ รีบเอ่ยว่า “อาจารย์ เฉินอวิ๋นซีล่ะคะ?”
เฉินอวิ๋นซีขบริมฝีปาก ก้มหน้าไม่พูดอะไร
ถังเฟิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “เฉินอวิ๋นซี ฉันแนะนำให้เธอย้ายไปอยู่สาขาสังคมศาสตร์ อนาคตไปทำงานเบื้องหลังแทน การแข่งขันแลกเปลี่ยน ฉันไม่แนะนำให้เธอเข้าร่วมต่อเช่นกัน แน่นอนว่า นี่เป็นคำแนะนำของฉันเพียงผู้เดียว”
“อาจารย์…”
เฉินอวิ๋นซีน้ำตาร่วง ขบริมฝีปากแน่น ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “ฉัน…ฉันอยากลองค่ะ!”
“งั้นแล้วแต่เธอ จากปราณและระดับการหลอมกระดูกของเธอถือว่าอยู่อันดับต้นๆ ของชั้นเรียน ฉันให้เธอเข้าทีมพร้อมรบได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันแลกเปลี่ยนเสมอไป หากสมาชิกทีมสำรองคิดว่าเอาชนะเธอได้ เธอต้องยอมรับการท้าประลอง ถ้าแพ้เธอต้องไปอยู่ทีมสำรองแทน!”
ขึ้นชื่อว่าอยู่กลุ่มคนส่วนน้อยที่หลอมกระดูกห้าสิบชิ้นขึ้นไปในชั้นเรียน เฉินอวิ๋นซีนั้นไม่ขาดแคลนเรื่องคุณสมบัติและทรัพยากรเลย
ด้านการฝึกวิชา รวมทั้งเคล็ดวิชาต่อสู้ อันที่จริงก็ไม่แย่เหมือนกัน
ขาดแค่เรื่องความเด็ดเดี่ยว
ในสายตาของพวกหวงจิ่ง ฟางผิงขาดแคลนความเด็ดเดี่ยวเช่นกัน แต่ฟางผิงไม่ได้ขาดอย่างแท้จริง
เจ้าเด็กนี้แค่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเท่านั้น หากไม่ถึงเวลาที่เสี่ยงอันตรายจริงๆ ก็จะไม่คิดสู้สุดชีวิต
หากถึงเวลานั้นอย่างแท้จริง ฟางผิงคงไม่ขาดความเด็ดเดี่ยวอีกแล้ว
แต่เฉินอวิ๋นซี กลับขาดคุณสมบัติข้อนี้
ผู้ฝึกยุทธ์เช่นนี้ บางทีเหมาะสมจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่บ่มเพาะแค่ปราณมากกว่า
เฉินอวิ๋นซีก้มหน้าปิดปากเงียบ หยางเสี่ยวม่านดึงเธอมา กล่าวปลอบใจเบาๆ ทว่ากลับไม่เป็นผลเท่าไหร่
“นอกจากนี้ ถังซงถิง จ้าวเสวี่ยเหมย สวีอี้ข่าย หลี่จ้าวซวี่ จินเหล่ย ทั้งห้าคนเข้าสู่ทีมพร้อมรบเช่นกัน ส่วนคนอื่นๆ อยู่ทีมสำรอง ฉันบอกไปแล้ว นี่ไม่ใช่ผลตายตัว ทีมพร้อมรบไม่ได้หมายความว่าจะอยู่จนเข้าร่วมการแข่งขันแลกเปลี่ยน ทั้งทีมสำรองก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ทีมสำรองตลอดไปเช่นกัน”
แบ่งทีมเสร็จแล้ว ถังเฟิงเอ่ยว่า “ฟางผิงรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมพร้อมรบ มีคนคัดค้านหรือเปล่า?”
ทุกคนต่างหันไปมองจ้าวเหล่ย
จ้าวเหล่ยหน้าบวมเป็นหัวหมู ยังคงมองไม่ออกว่ามีสีหน้าอย่างไร แต่ในใจก่นด่าไปนานแล้ว มองฉันทำไมกัน? ฉันเพิ่งถูกอัดมา ยังจะมามองอีก!
“ไม่มีใครคัดค้าน งั้นก็ให้ฟางผิงเป็นหัวหน้า อีกอย่างเดือนนี้จะไม่ทำภารกิจเป็นหลักแล้ว ตอนนี้ในมือทุกคนคงมีคะแนนไม่น้อย ช่วงเวลานี้จะยึดการเพิ่มความสามารถเป็นหลัก หลอมกระดูก เคล็ดวิชาล้วนจำเป็นต้องฝึกฝน ช่วงชิงก่อนที่จะแข่งขันแลกเปลี่ยน กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุด ฟางผิงอยู่ห่างจากขั้นหนึ่งสูงสุดไม่ไกลแล้ว หลังจากนี้คงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร พวกจ้าวเหล่ยก็มีหวังเช่นกัน พวกเธอหลอมกระดูกได้สูงกว่าห้าสิบชิ้นแล้ว ตอนนี้จ้าวเหล่ยหลอมกระดูกได้ห้าสิบห้าชิ้น หากหลอมทั้งสองข้างสำเร็จ ปราณและพลังจะเพิ่มขึ้นตาม นอกจากนี้ยังมีเคล็ดวิชาต่อสู้และจวงกง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง อันที่จริงระยะห่างไม่ต่างกันมาก ฟางผิงนั้นได้เปรียบเพราะเรื่องปราณ อีกอย่างคือจวงกงของเขาแตะถึงระดับสองสูงสุดแล้ว จึงสามารถหลีกหนีและประกบคู่ต่อสู้ได้ นี่คือข้อได้เปรียบ เดือนธันวาคม ทุกคนต้องฝึกฝนจิตใจเป็นหลัก มหาวิทยาลัยจะจัดสรรทรัพยากรบางส่วนให้ทุกคน สมาชิกทีมพร้อมรบจะได้รับคะแนนพิเศษสามสิบคะแนน”
“สามสิบคะแนน!”
ทีมสำรองบางคนอดอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ นี่ไม่ใช่การปฏิบัติภารกิจ กลับมีคะแนนให้ ดีอะไรอย่างนี้!
ฟางผิงครุ่นคิด ก่อนเอ่ยว่า “อาจารย์ครับ ผมสามารถเบิกคะแนนของตำแหน่งหัวหน้ากลางเดือนและต้นเดือนหน้าก่อนได้ไหมครับ?”
“แค่กๆๆ…”
ถังเฟิงอดสำลักไอไม่ได้ คนอื่นๆ ต่างมองไปทางฟางผิง
ยังมาไม้นี้อีก?
เบิกล่วงหน้า!
นี่หมายความว่าอะไร?
ฟางผิงไม่สนใจ กวาดสายตามองคนอื่นๆ ว่า “ไม่งั้นพวกเรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันต่อ วางใจได้ ฉันไม่เล็งหน้าหรอก!”
“นาย!”
ทีมพร้อมรบบางคนไม่พอใจอยู่บ้างเช่นกัน หยางเสี่ยวม่านโมโหอย่างมาก
ถังเฟิงเห็นแบบนั้นกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้!”
“อาจารย์คะ!”
หยางเสี่ยวม่านตะโกนเสียงดัง ถังเฟิงไม่สนใจ “รอพวกเธอชนะแล้ว ก็ให้ฟางผิงเอาคะแนนให้พวกเธอได้ตลอดเวลา แน่นอน ฉันคิดว่าพวกเธอมีโอกาสไม่มาก”
นี่เป็นวิธีกระตุ้นอย่างเห็นได้ชัด ถังเฟิงไม่คิดปิดบังสักนิด
แต่ถึงพวกเขาจะข่มกลั้นโทสะ กลับไม่สามารถทำอะไรได้
จะเอาชนะฟางผิงได้จริงๆ งั้นเหรอ?
ฟางผิงปรากฏแววตาดีใจวาบขึ้นมา ครั้งนี้หัวหน้าได้สามสิบคะแนน ล่วงหน้าหนึ่งเดือนได้ยี่สิบคะแนน ได้จากมหาวิทยาลัยอีกสามสิบคะแนน ชั่วพริบตาเดียวก็ได้แปดสิบคะแนนมาอยู่ในมือแล้ว
ตอนนี้ฟางผิงพบว่าเหมือนจะหาคะแนนได้ง่ายจริงๆ
หากเขาพูดคำนี้ออกมา พวกหยางเสี่ยวม่านคงตีเขาตาย!
หาง่าย?
ตั้งแต่เปิดเรียนจนถึงตอนนี้พวกหยางเสี่ยวม่านสะสมได้ไม่ถึงสองร้อยคะแนนด้วยซ้ำ
สมาชิกคลาสฝึกพิเศษคนอื่นๆ ยิ่งน้อยกว่านี้อีก
ส่วนเด็กใหม่ที่เหลือ จนถึงตอนนี้แทบจะได้แค่ห้าสิบคะแนนจากการเปิดเทอมเท่านั้น เอาอะไรมาหาคะแนนง่ายกัน!
—
คลาสเรียนตอนเย็นมีแค่แบ่งทีมเท่านั้น แบ่งทีมเสร็จ ทีมสำรองพวกนั้นก็ล่วงหน้าแยกย้ายกันไปก่อน
ส่วนสิบคนที่เหลือถูกรั้งตัวไว้
ถังเฟิงเอ่ยว่า “การแข่งขันแลกเปลี่ยนถูกกำหนดออกมาแล้ว สถานที่ก็คือเซี่ยงไฮ้! วันที่สิบมกราคม มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่ง พันธมิตรของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ พันธมิตรของแปดมหาวิทยาลัย ทั้งสี่ฝ่ายจะรวมตัวกันที่เซี่ยงไฮ้”
พันธมิตรของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เป็นการร่วมมือของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไป ส่วนพันธมิตรของแปดมหาวิทยาลัย เป็นการรวมกลุ่มของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้อันดับรอง
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้กลุ่มอันดับรอง เป็นการรวมตัวในเขตของเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งสองแห่ง รวมถึงมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หวากั๋ว มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จิงหนาน มหาวิทยาลัยครุศาสตร์หวาตง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหวาหนาน…
“วันที่สิบ เปิดพิธีการแข่งขันแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการ วันนั้นจะจับฉลากเลือกคู่ต่อสู้รอบแรก
วันที่สิบเอ็ด เปิดฉากการต่อสู้ ช่วงเช้าหนึ่งรอบ ช่วงบ่ายอีกหนึ่งรอบ ตัดสินทีมชนะออกมา
วันที่สิบสอง ทีมที่แพ้ประลองกัน ฝ่ายที่แพ้จะถูกจัดไว้อันดับที่สี่ ส่วนทีมชนะต้องรอประลองกับทีมที่แพ้ในวันที่สิบสาม ผู้แพ้จะถูกจัดไว้ในอันดับสาม วันที่สิบห้าทีมที่ชนะและทีมที่ชนะรวด ประลองกันตัดสินอันดับหนึ่งและอันดับสอง”
ฟางผิงเอ่ยทันที “พูดแบบนี้ แสดงว่าพวกเราต้องประลองกับทั้งสามฝ่าย?”
“ถูกต้อง!”
ถังเฟิงพยักหน้าว่า “ทั้งทีมที่แพ้รอบแรก หากอยากจะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งสุดท้าย ยังต้องเอาชนะให้ได้อีกหนึ่งครั้ง!”
ทีมที่แพ้รอบแรก ไม่ได้หมายความว่าแพ้เลย อีกฝ่ายสามารถเอาชนะทีมที่แพ้อีกฝ่ายได้
ทั้งเอาชนะทีมอีกฝ่ายที่แพ้ได้อีกครั้ง สุดท้ายต้องประลองกับทีมที่ชนะรวด หากชนะ ก็ได้รับรางวัลไป
แน่นอนว่า โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีเยอะ แพ้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ได้หมายความว่าครั้งที่สองจะเอาชนะได้
“มีแค่ต้องเอาชนะทั้งสามครั้งถึงจะชิงอันดับหนึ่งได้!”
————————