ตอนที่ 144 ความจนทำให้ฉันล้าหลัง (2)
ถังเฟิงถอนหายใจเบาๆ เอ่ยต่อว่า “จากการหารือในที่ประชุม มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง หากตกจากอันดับหนึ่งหรือสอง ตั้งแต่เดือนกันยายนปีหน้าเป็นต้นไป จะถูกลดทรัพยากรสามสิบเปอร์เซ็นต์ พวกเธอน่าจะรู้ดี นี่หมายถึงความสูญเสียมหาศาล! ทุกปีเซี่ยงไฮ้ลงทุนทรัพยากรให้นักศึกษาสูงถึงสามหมื่นล้านหยวน!”
ใช่แล้ว สามหมื่นล้าน
แค่มหาวิทยาลัยแห่งเดียว นักศึกษาจำนวนหกพันคน เซี่ยงไฮ้ได้เงินอุดหนุนสูงถึงสามหมื่นล้าน
เฉลี่ยแล้ว นักศึกษาแต่ละคนจะได้รับการจัดสรรทรัพยากรปีละห้าล้านหยวน
นักศึกษาใหม่คงไม่ต้องพูดถึง แค่พิธีเข้าเรียนก็ได้ไปแล้วห้าสิบคะแนน นี่เป็นมูลค่ากว่าหนึ่งล้านแล้ว
รวมกับเงินอุดหนุนตามปกติ เฉลี่ยแล้วนักศึกษาใหม่แต่ละคนจะได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่าสองล้านหยวนในหนึ่งปี
ทางนักศึกษาปีอื่น อันที่จริงถือว่าได้เยอะกว่า
ยาบำรุงและทรัพยากรอื่นๆ ที่พวกเขาต้องการมีเยอะ ทั้งเซี่ยงไฮ้ยังขายให้ราคาต้นทุน ถึงกระทั่งอาจต่ำกว่าราคาทุนด้วยซ้ำ
ราคาต่างภายในนี้สูงจนน่ากลัวทีเดียว
หากถูกลดไปสามสิบเปอร์เซ็นต์ ก็จะได้รับเงินอุดหนุนประมาณหนึ่งหมื่นล้าน!
“ดังนั้นการแข่งขันแลกเปลี่ยนครั้งนี้ เป้าหมายของพวกเราคือรักษาตำแหน่งให้อยู่อันดับสองและช่วงชิงอันดับหนึ่ง! อันดับสองทรัพยากรของพวกเราจะไม่เปลี่ยนแปลง หากได้อันดับหนึ่งปักกิ่งจะถูกลดเงินอุดหนุนสิบเปอร์เซ็นต์ และเงินพวกนี้ก็จะถูกถ่ายโอนไปให้มหาวิทยาลัยที่ได้อันดับหนึ่งแทน!”
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ถังเฟิงยังคงกล่าวต่อ “เดือนธันวาคม พวกเธอต้องตั้งใจฝึกฝน รวมทั้งฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ต่างๆ พอเข้าเดือนมกราคมแล้ว มหาวิทยาลัยจะพาพวกเธอเข้าร่วมการแข่งขันกระชับมิตรสองครั้ง”
“การแข่งขันกระชับมิตร?”
“ใช่ ไปหยั่งเชิงสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยแห่งอื่น หลักๆ คือมหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้”
“มีประโยชน์เหรอครับ?”
“ประโยชน์ยังพอมีบ้างอยู่แล้ว จะได้มองภาพรวมออก ทั้งทำให้ทุกคนมีการเตรียมพร้อม”
พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ถังเฟิงค่อยเอ่ยว่า “การเข้าร่วมแข่งขันแลกเปลี่ยนครั้งนี้ มหาวิทยาลัยฝากความหวังไว้ที่ทุกคน รอถึงเดือนมกราคมจะมีรายชื่อที่แน่นอนออกมา ทุกคนยังจะสามารถได้รับอย่างน้อยห้าสิบคะแนน! รักษาอันดับสองไว้ได้ รางวัลของมหาวิทยาลัยคงมีให้ไม่น้อย แต่ถ้าหากคว้าอันดับหนึ่งได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเธอทุกคนจะได้รับรางวัลสามร้อยคะแนนเป็นอย่างต่ำ!”
ทุกคนตาเป็นประกายไปหมด สามร้อยกว่าคะแนน
ปีนี้มหาวิทยาลัยทุ่มทุนให้นักศึกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนไม่น้อยเลยจริงๆ
สรุปโดยรวมแล้ว หากสุดท้ายสามารถคว้าอันดับหนึ่งได้ ทุกคนจะได้รับรางวัลห้าร้อยคะแนนเป็นอย่างต่ำ
ห้าร้อยคะแนนเพียงพอให้ทุกคนสามารถฝึกวิชาจนถึงขั้นสองสูงสุดได้อย่างราบรื่น หากไม่สนใจเรื่องเวลา ประหยัดนิดหน่อย ขั้นสามก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เช่นกัน
—
ออกมาจากห้องฝึกซ้อมแล้ว ฟู่ชางติ่งโอดครวญว่า “รักษาตำแหน่งอันดับสองไว้ได้ยังพอว่า แต่ถ้าปล่อยตำแหน่งหลุดลอยไป หากมหาวิทยาลัยไม่ลงโทษพวกเรา คนอื่นๆ ก็คงด่าไฟแลบอยู่ดี”
แรงกดดันยังคงมีมากจริงๆ
หากพวกเขาแพ้ พวกปีสูงที่ใกล้จะจบการศึกษาอาจจะไม่ว่าอะไร
แต่เด็กใหม่ในปีหน้าคงด่ารุ่นพี่อย่างพวกเขาจนแทบกระอักเลือดออกมา
ไม่ใช่แค่เด็กใหม่ พวกเขาเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ไม่กี่ปีต่อจากนี้จะได้รับทรัพยากรในการฝึกวิชายากยิ่งขึ้น
“ฟางผิง มั่นใจหรือเปล่า?”
ฟางผิงไร้คำจะพูด เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ฉันยังไม่รู้สถานการณ์ของมหาวิทยาลัยอื่นด้วยซ้ำ จะเอาความมั่นใจมาจากไหน!”
เขาคิดว่าตัวเองไม่อ่อนด้อย แต่มหาวิทยาลัยทั่วไปพวกนั้นจะไม่มีอัจฉริยะเชียวเหรอ?
อย่างอื่นยังไม่พูดถึง ตอนแรกเหล่าหวังทะลวงขั้นหนึ่งสูงสุดในช่วงจบเทอม
ผู้ฝึกยุทธ์เช่นนี้ หากยังมีในมหาวิทยาลัยทั่วไปอีก ใครจะรู้ว่ายังมีปีศาจถือกำเนิดออกมาอีกกี่ตัว
“เดือนนี้ต้องพยายามฝึกวิชาให้แตะขั้นหนึ่งสูงสุด หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดครบทั้งสิบคนจริงๆ ฉันคิดว่าน่าจะมีโอกาสมาก อัจฉริยะไม่ได้มีอยู่เกลื่อนกลาด จะมีมากมายขนาดนั้นได้ยังไง”
พวกเขาพูดคุยกันพักใหญ่ ก่อนจะแยกย้ายกันไป
—
วันต่อมา ตอนกลางวัน
ฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยถูกเรียกมาที่ห้องฝึกซ้อม
หลู่เฟิ่งโหรวไม่มากความ เอ่ยตรงๆ ว่า “ฟางผิง เธออยากเรียนเคล็ดวิชาต่อสู้ขั้นสูงกว่านี้หรือเปล่า?”
“ครับ”
“เคล็ดวิชาต่อสู้ขั้นสูง ปกติแล้วพัฒนามาเพื่อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามหลอมกระดูกแขนและขาเสร็จสิ้นแล้ว เวลานี้การหลอมกระดูกจะช้าลง พวกเขาจึงให้ความสนใจกับเคล็ดวิชาต่อสู้ขั้นสูง แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว…”
หลู่เฟิ่งโหรวครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “เคล็ดวิชาต่อสู้ อันที่จริงขึ้นอยู่กับคน เดิมทีไม่ได้มีการแบ่งลำดับขั้นอะไร เคล็ดวิชาพื้นฐานอยู่ในมือของผู้แข็งแกร่ง ก็สามารถแสดงพลังน่าเกรงขามออกมาได้! แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะแข็งแกร่งกันหมด เช่นเดียวกับปืนที่มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน อาวุธมีระดับต่ำและสูง เคล็ดวิชาต่อสู้เมื่อฝึกฝนจนถึงสุดท้ายแล้ว จะวิวัฒนาการเป็นระดับสูงต่ำได้เหมือนกัน ตอนนี้ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสาม นอกจากเคล็ดวิชาต่อสู้พื้นฐาน ยังมีวิชาที่กล้าแกร่งกว่านั้นหน่อย อย่างเช่นการแทงเท้าที่ฉันสอนเธอครั้งก่อน เคล็ดวิชาประเภทนี้ถูกเรียกว่าวิชาต่อสู้ขั้นต้น”
ฟางผิงแทรกขึ้นมาว่า “เหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์เหรอครับ แบ่งเป็นเก้าระดับ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหน้า “ตอนนี้เคล็ดวิชาต่อสู้มีสามระดับ ระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูง การแทงเท้าจัดอยู่ในระดับต้น อันที่จริงหากเรียนแทงเท้าจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ไม่ถือว่าอ่อนด้อยเช่นกัน แต่จะยากอย่างมาก เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลาง พัฒนามาเพื่อผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกแขนและขาเสร็จแล้ว บางครั้งอาจมีข้อจำกัดเช่นกัน หลักๆ คือเรื่องปราณ จะสูญเสียปราณจำนวนมาก ส่วนเคล็ดวิชาต่อสู้ขั้นสูง เหมาะสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง”
“งั้นระดับปรมาจารย์ล่ะครับ?”
“พวกปรมาจารย์ ไม่ไล่ตามเคล็ดวิชาระดับนี้อยู่แล้ว ปรมาจารย์ก็มีวิชาเฉพาะของปรมาจารย์เอง พูดแบบนี้ดีกว่า สิ่งที่ปรมาจารย์ไล่ตามคือการระเบิดพลังของจิงชี่เฉิน[1] ไม่ได้เหมือนกับพวกต่ำกว่าขั้นสามหรือระดับกลางที่ระเบิดแต่พลังปราณ”
“จิงชี่เฉิน?”
ฟางผิงเข้าใจขึ้นมาเลือนราง รีบเอ่ยว่า “เกี่ยวข้องกับพลังจิตใจเหรอครับ?”
หลู่เฟิ่งโหรวชำเลืองตามองเขา เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ตอนนี้เธอยังห่างไกลจากเรื่องนี้มาก ไม่มีความจำเป็นต้องซักไซ้ สรุปแล้วตอนนี้พวกเธอยังอ่อนแอ อยากจะก้าวหน้ากว่านี้ ควรจะเรียนรู้เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลาง เคล็ดวิชาต่อสู้พวกนี้ไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องปราณมาก แง่หนึ่งคือตอนที่ฝึกวิชา จะสูญเสียปราณจำนวนมาก อีกแง่หนึ่งคือเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลาง ภายในนั้นมีกระบวนท่าขั้นสุดยอดที่แสดงอานุภาพได้อยู่บ้าง กระบวนท่าเช่นนี้ ต้องใช้ปราณที่แข็งแกร่งถึงจะระเบิดพลังออกมาได้ ตอนนี้ปราณของเธอคงประมาณสามร้อยแคลใช่หรือเปล่า?”
“ครับ”
หลู่เฟิ่งโหรวดีดนิ้วเบาๆ ครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “เธออยากเรียนเคล็ดวิชาฝีเท้าหรือวิชาดาบ?”
“อยากเรียนวิชาฝีเท้า วิชาดาบไม่เป็นไร ขอแค่ระเบิดพลังได้มาก เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียนพลิกแพลงไปมา”
“วิชาฝีเท้าฉันพอจะรู้อยู่บ้าง แต่ถ้าวิชาดาบ เอางี้ละกัน พรุ่งนี้เธอมาหาฉัน ฉันจะสอนให้เธออีกที”
พูดกับฟางผิงแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวค่อยหันไปหาจ้าวเสวี่ยเหมย “ตอนนี้เธอยังไม่ถึงขั้นหนึ่งสูงสุด เพิ่งหลอมกระดูกได้สี่สิบเจ็ดชิ้น แม้จะไม่ช้า แต่เทียบกับคนอื่นแล้ว ถือว่าไม่เร็ว กล้าที่จะลองหรือเปล่า?”
จ้าวเสวี่ยเหมยเผยสีหน้าสับสน หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ลองใช้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองแล้วระเบิดปราณ จะทำให้หลอมกระดูกได้เร็วขึ้น!”
“ขั้นสอง!”
“ใช่ นี่เป็นวิธีเพิ่มความเร็วในการหลอมกระดูกที่ได้ผล แต่กลัวว่าเธอจะรับไม่ไหว ทั้งยังสิ้นเปลืองเงินมาก”
ยาบำรุงขั้นสอง ปกติราคาในตลาดไม่ต่ำกว่าเจ็ดแสนต่อหนึ่งเม็ด! หากแลกเปลี่ยนในมหาวิทยาลัย ต้องใช้ยี่สิบคะแนนต่อหนึ่งเม็ด เรียกได้ว่าแพงทีเดียว
ใช้ยาบำรุงขั้นสองในการหลอมกระดูกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง จำเป็นต้องมีปราณเพียงพอ จึงจะสามารถหลอมกระดูกโดยไม่ต้องกังวลใจ
“ตอนนี้เธอยังขาดหลอมกระดูกอีกสิบห้าชิ้นถึงจะเข้าสู่ขั้นหนึ่งสูงสุด ฝึกวิชาปกติคงไม่สามารถสำเร็จได้ภายในหนึ่งเดือน แค่สองวันใช้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองหนึ่งเม็ด หนึ่งเดือนอาจจะมีโอกาสอยู่เหมือนกัน”
“สองวันหนึ่งเม็ด?”
จ้าวเสวี่ยเหมยหน้าซีดอยู่บ้าง งั้นหนึ่งเดือนต้องใช้สิบห้าเม็ดน่ะสิ
เธอไม่มีคะแนนมากขนาดนั้น ทำได้เพียงใช้เงินซื้อ คงเป็นเงินประมาณสิบล้านหยวน
คุ้มค่าหรือเปล่า?
ทั้งยังต้องเสี่ยงอันตราย!
จ้าวเสวี่ยเหมยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกัดฟันว่า “อาจารย์ ฉันจะเลือกหลอมกระดูกโดยใช้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองค่ะ!”
“ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ทุกเย็นให้เธอมาฝึกวิชากับฉัน”
ฟางผิงได้ยินแล้ว ด้านหนึ่งนับถือความกล้าของจ้าวเสวี่ยเหมย…แต่ที่มากกว่านั้นยังคงเป็นความอิจฉา!
นี่มันเศรษฐีนีชัดๆ!
เพื่อให้ถึงขั้นหนึ่งสูงสุดเร็วๆ กลับใช้เงินสิบล้านแลกออกไปชั่วพริบตา ตกลงครอบครัวเธอมีเงินเท่าไหร่กันแน่?
ที่แท้การหลอมกระดูกก็สามารถโกงแบบนี้ได้…
ฟางผิงไตร่ตรองดูแล้ว คิดว่าปกติเช่นกัน ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองช่วยเพิ่มความเร็วขึ้น
เพิ่มพูนปราณได้เยอะ ผู้ฝึกยุทธ์จึงสามารถใช้ปราณหลอมกระดูกอย่างไม่ขาดตอน จะเร็วก็ถือว่าปกติ
แต่เส้นเลือดนั้นจะรับไหวเหรอ?
บางทีอาจต้องใช้ยาป้องกันอวัยวะภายใน คำนวณดูแล้ว ยังคงสิ้นเปลืองจนน่ากลัว
มีผู้ฝึกยุทธ์น้อยนักที่จะทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งฝึกไม่ได้
แต่ไม่มีความจำเป็นต้องสิ้นเปลืองขนาดนี้ต่างหาก การฝึกวิชาเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ไม่ใช่สำเร็จได้เพียงชั่วข้ามคืน
“เหล่าหวังทำแบบนี้เหมือนกันใช่หรือเปล่า?”
ฟางผิงสงสัยอย่างมาก แต่เหล่าหวังเป็นยาจก คงไม่มีเงินมาทำเรื่องแบบนี้หรอก?
——————–
[1]จิงชี่เฉิน ถือเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิต จิง คือของเหลวที่ไหลเวียนในร่างกาย ชี่ คือลมหายใจหรือปราณ ส่วนเฉิน คือจิตใจ