ตอนที่ 181 การรวมทีมครั้งแรก (1)
มณฑลตงหลิน
ซู่เฉิง
ตงหลินอยู่ติดกับทะเลหวง เศรษฐกิจถือว่ายังรุ่งเรือง
ซู่เฉิงไม่ได้ติดกับทะเล แต่เป็นเมืองหน้าด่านที่หันเข้าสู่ทางตะวันตกของตงหลิน
—
โรงแรมใหญ่ของซู่เฉิง
ทุกคนวางสัมภาระแล้วก็ไปรวมตัวที่ห้องของฟางผิง
ฟางผิงรอคนมาครบ เวลานี้จึงเอ่ยว่า “ก่อนทำภารกิจบอกพวกนายแล้วว่าจะกวาดล้างฐานทัพของลัทธินอกรีตบางส่วนในซู่เฉิง ตอนนี้สมาชิกของลัทธิเคลื่อนไหวผิดปกติในตงหลิน ลัทธิสร้างโลก ลัทธิพระผู้เป็นเจ้า ลัทธิครอบจักรวาล…ลัทธิพวกนี้ล้วนมีรอยร่องปรากฏให้เห็น พูดถึงเรื่องนี้อยากจะเตือนทุกคน อย่าได้เชื่อข้อมูลจากภารกิจเกินไป ในข้อมูลบอกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดคนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งอีกเล็กน้อย…อาจจะเกิดความผิดพลาดได้ เป็นไปได้ที่จะมีสาวกลัทธิระดับสูงซ่อนเร้นอยู่เช่นกัน ฉันจะบอกไว้อย่างหนึ่ง เจอกับสถานการณ์ที่ต้านไม่ไหว ทุกคนต้องถอนตัวทันที ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสามสามารถถอนทัพตามระเบียบได้ เจอกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม วิ่งเร็วได้เท่าไหร่ให้วิ่งเร็วเท่านั้น ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางไม่ใช่คนที่พวกเราจะสู้ได้”
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง นอกจากกะโหลก กระดูกทั้งร่างต่างหลอมเสร็จสิ้น ถึงขั้นที่หลอมเข้าไปถึงอวัยวะภายในแล้ว
เวลานี้ปราณของพวกเขาจะอยู่ที่หนึ่งพันแคลเป็นอย่างต่ำ
ขอแค่มีพลังในร่างกาย ก็สามารถระเบิดกระบวนท่าออกมากว่าร้อยแคลได้สบายๆ สูงกว่าหนึ่งร้อยไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน
พบกับผู้ฝึกยุทธ์เช่นนี้ คุณไม่อาจทลายการป้องกันได้ พวกเขาอาศัยแค่ปราณยังสามารถฆ่าคุณได้
“เข้าใจแล้ว”
หยางเสี่ยวม่านขานรับอย่างเกียจคร้าน
ฟางผิงชำเลืองตามองเธอ เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ตอนที่รับภารกิจ หวังว่าทุกคนจะสามารถฟังคำสั่งของฉัน อย่าได้ทำอะไรโดยพลการ ไม่งั้นถ้าเจออันตราย พวกเราทำได้เพียงเลือกละทิ้งเท่านั้น เพราะการไม่ฟังคำสั่งจะทำให้สมาชิกทีมเกิดอันตราย”
หยางเสี่ยวม่านเห็นเขาจ้องตัวเอง ก็หงุดหงิดอยู่บ้าง ทว่ากลับไม่โต้ตอบอะไร
“หวังเฉิง พวกนายติดต่อกับหน่วยทหารของซู่เฉิง ค้นหาเป้าหมายภารกิจ มีข่าวคราวให้แจ้งพวกเรา ส่วนคนอื่นๆ พยายามอย่าออกไปข้างนอก!”
“ได้!”
หวังเฉิงตอบรับ พวกเขาล้วนเป็นสมาชิกในสมาคมที่ถูกฟางผิงชวนมาเข้าร่วมภารกิจครั้งนี้
เพราะยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ฟางผิงเลยไม่ให้พวกเขาลงสนาม หลักๆ ให้ทำงานอยู่เบื้องหลัง
ค่าตอบแทนของฟางผิงสำหรับทั้งสี่คนคือเดือนมีนาคม เมื่อภารกิจสิ้นสุด จะให้ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาคนละหนึ่งเม็ด สี่เม็ดรวมเป็นสิบสองคะแนน
คะแนนพวกนี้ สำหรับพวกฟางผิงคงไม่เยอะ ทำภารกิจขั้นหนึ่งคนเดียว แทบจะได้มาอย่างง่ายๆ แล้ว
แต่สำหรับพวกหวังเฉิง หนึ่งเดือนได้ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาหนึ่งเม็ด ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่สูงค่าแล้ว
พวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ไม่อาจรับภารกิจได้ แม้จะรับภารกิจ ก็ไม่มีความสามารถพอให้ทำ
ในมหาวิทยาลัยพวกเขาทำได้เพียงพึ่งการสอบในวันปกติ เพื่อคะแนนเล็กน้อยเท่านั้น
ตอนนี้ออกมาข้างนอกหนึ่งเดือน ไม่ต้องทำเรื่องอันตรายอะไรก็ได้ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาหนึ่งเม็ดแล้ว พวกเขาจึงพอใจกันอย่างมาก
ความแตกต่างของผู้ฝึกยุทธ์สองขั้นถูกแบ่งแยกให้เห็นชัดเจน
พวกฟางผิงไม่เห็นค่าของเล็กน้อยพวกนี้ตั้งนานแล้ว
เดือนหนึ่งกับยาบำรุงเลือดและปราณหนึ่งเม็ด คิดจะใช้ประคองปราณในตอนนี้ยังถือเป็นเรื่องยาก
—
ส่งทุกคนออกไปแล้ว ฟางผิงก็ยืนมองอยู่ข้างหน้าต่างพักใหญ่
ซู่เฉิง เป็นเมืองหน้าด่านที่ทะลุหาทางตะวันตกของตงหลิน
เวลานี้มีลัทธินอกรีตจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา ก็ไม่รู้ว่าตกลงคิดจะทำอะไรกันแน่
ตงหลิน ตงอู่ ตงหู สามมณฑลตะวันออกนี้รวมกับหนานเจียง หนานเจ๋อ หนานหูของทางใต้ ประกอบกันเป็นพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน
มณฑลทั้งสามทางตะวันออกและมณฑลทั้งสามทางใต้อยู่ติดกัน หากสามมณฑลทางตะวันออกเกิดความโกลาหล ไม่นานก็จะกระทบถึงสามมณฑลทางใต้
“ศัตรูอยู่ข้างหน้า ผู้ฝึกยุทธ์ลัทธินอกรีตพวกนี้ยังมีใจคิดจะเป็นไส้ศึก…สมควรตายทั้งหมด!”
ฟางผิงอดด่าไม่ได้ เขาเองเคยถูกอีกฝ่ายโจมตีมาก่อนเช่นกัน จึงไม่มีความรู้สึกดีๆ กับลัทธินอกรีตพวกนี้แม้แต่น้อย ไม่ว่าพวกเขาจะพูดคำสวยหรูอะไรก็ตาม
—
มีพวกหวังเฉิง พวกฟางผิงจึงไม่จำเป็นต้องวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อตามหาคนอีก
บ่ายวันนั้น พวกหวังเฉิงก็เก็บรวบรวมข่าวกรองได้บางส่วน
ในห้องของฟางผิง
หวังเฉิงเอ่ยปากว่า “ครั้งนี้เป้าหมายภารกิจของพวกเรา เป็นฐานทัพขนาดเล็กแห่งหนึ่งของลัทธิสร้างโลก หัวหน้าลัทธิถูกพวกเขาเรียกกันภายในว่าบาทหลวง บาทหลวงคนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุด ฐานทัพภายใน ตอนนี้ตรวจสอบผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ ทั้งหมดมีสามคน เป็นขั้นหนึ่งทั้งสิ้น”
ฟางผิงขมวดคิ้วว่า “ผู้ฝึกยุทธ์สี่คน คงไม่นับว่าเป็นฐานทัพขนาดเล็กได้แล้วมั่ง?”
ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ ทั้งยังมีขั้นสองสูงสุดอีกคน จะเรียกว่าขนาดเล็กได้ยังไง
หวังเฉิงอธิบายว่า “เมื่อก่อนไม่ได้เป็นฐานทัพขนาดเล็ก แต่ตอนนี้อยู่ในซู่เฉิง เป็นฐานทัพขนาดเล็กจริงๆ จากคำพูดของหน่วยทหาร ช่วงนี้มีพวกลัทธิหลั่งไหลเข้ามาที่ทางตะวันตกเป็นจำนวนมาก ซู่เฉิงขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหน้าด่าน จึงกลายเป็นเมืองสำคัญที่คนพวกนี้ยึดครอง หน่วยทหารและหน่วยสืบสวนของซู่เฉิง รวมถึงเบื้องบนของตงหลินเริ่มให้ความสนใจขึ้นมาแล้ว ทั้งยังเคลื่อนย้ายกำพล เตรียมจะกวาดล้าง แต่นั่นต้องเป็นฐานทัพของผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง หากเป็นฐานทัพที่ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง หลักๆ จะรับสมัครผู้ช่วยจากข้างนอก แก้ไขปัญหาร่วมกัน ยังไงหน่วยทหารและหน่วยสืบสวนก็ยังมีภารกิจอย่างอื่นให้ทำอีก”
“อย่างนั้นเหรอ? พวกลัทธินอกรีตเยอะขนาดนี้ คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่มีคนอื่นๆ มาช่วยสนับสนุนหรอกนะ?”
“เรื่องนี้พูดยากเหมือนกัน ความหมายของหน่วยทหารคือ พวกเขาจะไล่ตามเส้นใหญ่ ส่วนพวกตัวเล็กๆ ปล่อยให้พวกเราจัดการ หากเกิดอันตรายจริงๆ สามารถถอนทัพหรือจะประวิงสถานการณ์รอหน่วยทหารมาช่วยเหลือก็ได้”
“เหลวไหล…”
ฟางผิงส่ายหัว ความเป็นความตายของผู้ฝึกยุทธ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จะประวิงเวลารอความช่วยเหลือได้ที่ไหนกัน
“งั้นยืนยันที่อยู่ของฐานทัพได้แล้วใช่ไหม? สำรวจสถานที่จริงมาแล้ว?”
“ช่วงสายฉันไปดูมานิดหน่อย ประตูใหญ่ปิดเงียบ กลัวว่าจะดึงดูดความสนใจ เลยไม่กล้าดูอย่างละเอียด แต่พวกเรานั่งดูที่ร้านอาหารด้านข้างอยู่พักใหญ่ มีคนเดินเข้าออกอยู่เหมือนกัน”
“อย่างนั้นเหรอ? ใกล้ๆ นั่นมีคนสัญจรเยอะหรือเปล่า?”
“เยอะทีเดียว…”
หวังเฉิงอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟางผิงฟังจบแล้วค่อยเอ่ยว่า “ช่วงนี้คนสัญจรค่อนข้างมาก ตอนกลางวันไม่เหมาะจะลงมือ หลังจากสิบเอ็ดโมงเย็น พวกเราค่อยเคลื่อนไหวอีกที ฐานทัพมีประตูหลัง หยางเสี่ยวม่าน ถังซงถิงรับผิดชอบเฝ้าอยู่ประตูหลัง อย่าให้คนหนีออกไป คนอื่นๆ ตามฉันบุกเข้าไปประตูหน้า ฉันและจ้าวเหล่ยจะสกัดผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุด ฟู่ชางติ่งจัดการผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง เฉินอวิ๋นซีรับผิดชอบคนธรรมดา ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดให้เน้นฆ่าเป็นหลัก คนธรรมดาทำให้สลบได้ ตายก็ไม่เป็นไร”
“เฉินอวิ๋นซีอย่าได้ใจอ่อนเกินไป ผู้ฝึกยุทธ์มีโอกาสน้อยที่จะพกอาวุธร้อน แต่คนธรรมดาไม่ได้เป็นอย่างนั้น คนพวกนี้ทำให้สลบได้ก็ทำให้สลบไป แต่ถ้าอับจนหนทางก็ฆ่าได้เลย! ฉันไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่พวกเรากำลังต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ แต่ดันมาถูกคนยิง เข้าใจความหมายฉันใช่ไหม?”
เฉินอวิ๋นซีลังเลอยู่บ้าง ฟางผิงถลึงตาใส่เธอ ก่อนจะตำหนิว่า “ว่ากันตามนี้ ใครก่อปัญหา คนนั้นรับผิดชอบ! แม้ภารกิจจะสำเร็จ แต่คนที่ก่อปัญหาก็อย่าคิดจะได้ส่วนแบ่งแม้แต่สตางค์เดียว!”
เฉินอวิ๋นซีพูดไม่ออก เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันจะสื่อว่า…ทำไมฉันถึงได้รับผิดชอบแต่คนธรรมดา?”
“เธอเป็นผู้หญิง แบ่งภารกิจสบายๆ ให้ไม่ชอบ?”
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องแต่แล้ว ทำตามคำสั่ง!”
ฟางผิงคร้านจะพูดมากกับเธอ จึงใช้วิธีบังคับตรงๆ
สุดท้ายยังกำชับอีกครั้ง “เจอสถานการณ์คับขัน อย่างเช่นจู่ๆ มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองหรือขั้นสามเพิ่มขึ้นมา ฉันจะต้านคนที่แข็งแกร่งที่สุด จ้าวเหล่ยรับผิดชอบคนรองลงมา ถ้าสู้ได้ก็สู้ สู้ไม่ได้ก็หนี เข้าใจหรือเปล่า?”
“เข้าใจแล้ว!”
ทุกคนขานรับ ฟู่ชางติ่งหัวเราะว่า “นายอย่าปากไม่เป็นมงคลสิ ถ้าเจอผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางจริงๆ คงจบเห่แล้ว”
“เตรียมตัวให้พร้อมดีกว่าไม่ได้เตรียมอะไรเลย เวลานี้บาดเจ็บมาไม่คุ้มค่า จะถ่วงรั้งการฝึกวิชา เป้าหมายของพวกเราคือหาคะแนน หาเงิน ไม่ใช่เพื่อตายในสนามรบ”
—
ช่วงบ่าย พวกฟางผิงไม่ได้ออกจากห้อง เริ่มวางแผนเตรียมพร้อม
รอจนกลางดึก พวกเขาจึงถือกระเป๋าเดินทางออกมาจากโรงแรม
บนรถฟางผิงประกอบดาบเฟิ่งจุ่ยให้พร้อมใช้งาน
เมืองซู่เฉิงยามค่ำคืนไม่ได้คึกคักขนาดนั้น เสาไฟข้างทางเปล่งแสงอย่างริบหรี่อยู่บ้าง
“ฟางผิง นายว่าจะมีวันหนึ่งที่พวกเราตายกันหมดหรือเปล่า?”
จู่ๆ หยางเสี่ยวม่านก็ถามขึ้นมา ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “คนไม่ตายได้หรือไง? ปรมาจารย์ยังตายได้ ถามอะไรไร้สาระ”
“ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ฉันหมายความว่าจะมีวันหนึ่งที่พวกเราตายในภารกิจ ตายในถ้ำใต้ดิน…”
“ไม่รู้ เธอกลัวเหรอไง?”
“ฉันกลัว?”
หยางเสี่ยวม่านแค่นเสียง พึมพำว่า “ฉันแค่คิดเท่านั้น ใช้ชีวิตแบบนี้ไม่เหมือนกับที่ฉันจินตนาการเลยจริงๆ”
——————