ตอนที่ 183 สาสน์ท้ารบจากหนานเจียง (2)
พวกฟางผิงไม่รู้เรื่องที่ยามเฝ้าประตูพูดอยู่แล้ว
ตอนนี้ทุกคนตามอู๋จื้อหาวเข้าไปเดินเล่นในมหาวิทยาลัย
มองดูสักพัก จู่ๆ ฟางผิงก็เอ่ยว่า “มหาวิทยาลัยหนานเจียงและตงหลินแตกต่างกันอยู่บ้าง”
เขาพูดตามความจริง ก่อนหน้านี้ที่ฟางผิงเจอกับเฉินเจียเซิง ก็ยืนอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยตงหลินอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน
นักศึกษาของตงหลินให้ความรู้สึกฮึกเหิม และกระตือรือร้นกว่าหนานเจียงเยอะเลย
อู๋จื้อหาวเอ่ยอย่างไม่ยอมอยู่บ้าง “ทุกคนต่างกันไม่เยอะหรอกมั้ง?”
“น่าจะนะ หนานเจียงบอกว่าจะปฏิรูป แต่ฉันว่าเหมือนจะยังไม่ได้ผลเท่าไหร่ นักศึกษาของหนานเจียงมีเยอะเกินไป”
“นักศึกษาเยอะเกินไป?”
อู๋จื้อหาวท้วงว่า “หนานเจียงมีนักศึกษาทั้งหมดไม่ถึงห้าพันคน เยอะที่ไหนกัน”
“ใช่ นักศึกษาไม่ถึงห้าพัน มหาวิทยาลัยกลับมีแต่นักศึกษาเดินไปทั่ว…”
นี่ถึงเป็นสาเหตุที่ฟางผิงบอกว่านักศึกษาเยอะเกินไป
ในเซี่ยงไฮ้นักศึกษาหกพักคน แต่ครึ่งหนึ่งแทบไม่อยู่ในมหาวิทยาลัย
ในหนานเจียงนักศึกษาห้าพันคน อยู่ข้างนอกไม่ถึงหนึ่งพันคน บางทีอาจน้อยจะกว่านั้นด้วยซ้ำ นี่ยังรวมกับพวกปีสี่แล้ว
หนานเจียงไม่มีปากทางเข้าถ้ำใต้ดิน ภารกิจมีไม่เยอะเท่าไหร่ ตอนนี้เหมือนจะเพิ่มขึ้นมาแล้ว แต่คนที่รับภารกิจได้กลับมีน้อย
ภายในมหาวิทยาลัยที่กว้างขวาง นักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมา ส่วนน้อยไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็อยู่ในขั้นหนึ่งค่อนข้างมาก
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง ฟางผิงแทบไม่เจอสักคน
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แน่นอนว่าจุดประสงค์ของฟางผิงไม่ได้กล่าวโจมตีอู๋จื้อหาว เขาถอนหายใจว่า “เมื่อก่อนไม่เคยมีโอกาสสัมผัสมาก่อน ตอนนี้รู้แล้วว่ามีแค่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะแข็งแกร่งได้ เหล่าอู๋ พยายามให้มากๆ ล่ะ ถ้ายังไม่พยายาม นายจะถูกเบียดออกไปไกลกว่านี้”
อู๋จื้อหาวมึนงงอยู่บ้าง เหมือนจะฟังความหมายออก กลับไม่รู้ถึงเหตุผล
ฟางผิงเพียงแค่รู้สึกว่าบรรยากาศของเซี่ยงไฮ้และหนานเจียงแตกต่างกัน
ในเซี่ยงไฮ้ทุกคนต่างเห็นเรื่องที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์เป็นเรื่องปกติทั่วไป
ขั้นสองถึงจะพอให้ภาคภูมิใจหน่อย ขั้นสามนับว่าเป็นเป้าหมายของทุกคน
ขั้นสี่ถือเป็นอัจฉริยะ ขั้นห้าพอจะสามารถฝันหวานอยู่บ้าง
แต่ในหนานเจียง นักศึกษาหลายคนมีเป้าหมายแค่จบการศึกษาด้วยการกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์
ตอนแรกที่ไม่ได้เลือกหนานเจียง บางทีอาจเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องแล้ว หวันจินหยางสามารถแข็งแกร่งในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ ถือว่าไม่ง่ายจริงๆ
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
ฟางผิงกำลังนึกถึงหวังจินหยาง เหล่าหวังก็เดินเข้ามาจากไกลๆ
ระหว่างทางนักศึกษาที่เดินผ่านต่างพากันหลบหลีกเขา
เห็นเหล่าหวัง ฟางผิงแปลกใจอยู่บ้าง เดินเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม “พี่หวัง รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่?”
หวังจินหยางคลี่ยิ้ม “คุณลุงหน้าประตูบอกให้ฉันจับตาดูหน่อย เผื่อพวกนายจะมาก่อเรื่องก่อราว”
ว่าแล้ว หวังจินหยางก็มองฟางผิง ก่อนจะมองไปยังคนอื่นๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เลวนี่ ขั้นสองทั้งหมด”
อู๋จื้อหาวที่อยู่ด้านข้างตะลึงไปเล็กน้อย ขั้นสองกันหมดแล้ว?
“สนใจอยากจะเล่นอะไรสนุกๆ หน่อยหรือเปล่า?”
“หืม?”
จ้าวเหล่ยขมวดคิ้ว “ความหมายของประธานหวังคือ…”
“ง่ายๆ ก่อนหน้านี้ฉันท้าประลองกับคนระดับเดียวกันในเซี่ยงไฮ้ นักศึกษาที่เซี่ยงไฮ้หลายคนรับไม่ได้ แบกแรงกดดันและแรงกระตุ้นขึ้นมา ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งในตอนนั้น ตอนนี้ทะลวงขั้นสองหรือกระทั่งขั้นสามหลายคนแล้ว ขั้นสามสูงสุดมีไม่น้อยเหมือนกัน ฉันคิดว่าฉันมีส่วนช่วยเซี่ยงไฮ้ไม่น้อย แน่นอนว่าพวกนายคงไม่พอใจเช่นกัน เมื่อครู่ฟางผิงไม่ได้บอกว่านักศึกษาหนานเจียงมีเยอะเกินไปเหรอ? ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ปกติอาศัยแรงกระตุ้นจากพวกเราเองไม่ค่อยได้ผล ในเมื่อพวกนายมาแล้ว ถ้าไม่ถือสาก็ช่วยเหลือหน่อย ทำให้นักศึกษาของเราลิ้มรสความอัปยศอดสู! พ่ายแพ้ในการแข่งขันแลกเปลี่ยน นักศึกษาของหนานเจียงแทบไม่รู้สึกอะไร แค่มีคนของหนานเจียงลงสนามคนเดียวเท่านั้น ทุกคนพ่ายแพ้กันหมด ไม่ใช่เฉพาะแค่หนานเจียง ครั้งนี้ทำเหมือนกับการแข่งขันแลกเปลี่ยน ประลองกับขั้นสองของมหาวิทยาลัยหนานเจียงเป็นยังไง?”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่หวัง แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ…”
หวังจินหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คนหนึ่งต่อยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองหนึ่งเม็ด”
“น้อยเกินไปแล้ว”
“ชนะหนานเจียง หนึ่งคนต่อสามเม็ด!”
หวังจินหยางชูมือพลางเอ่ยว่า “ทรัพยากรของหนานเจียงมีอย่างจำกัด นี่คือถึงขีดจำกัดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกนายไม่อยากล้างแค้นสักหน่อยจริงๆ เหรอ? ในการแข่งขันแลกเปลี่ยน คนที่เอาชนะไป๋อิ่นจากหนานเจียงก็ไม่ใช่พวกนาย ตอนนี้ฉันให้ผู้ฝึกยุทธ์หนานเจียงระดับเดียวกัน ท้าประลองกับอัจฉริยะจากเซี่ยงไฮ้อย่างพวกนาย หรือพวกนายไม่กล้ารับ? พวกนายอาจไม่รู้ว่าตอนแรกที่ฉันไปเซี่ยงไฮ้อยู่แค่ขั้นหนึ่ง แต่เอาชนะขั้นสองได้…”
ฟางผิงยังไม่ทันเอ่ยปาก จ้าวเหล่ยกลับเอ่ยด้วยแววตาคมกริบ “ฉันไม่ติดอะไร!”
หยางเสี่ยวม่านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันคิดว่าน่าสนใจเหมือนกัน”
ฟู่ชางติ่งยักไหล่ เอ่ยหยอกว่า “อันที่จริงฉันไม่ถือสา ให้ขั้นสามสักคนออกมาเล่นเป็นเพื่อนฟางผิงหน่อยก็ได้ ฟางผิง นายคิดว่าคำแนะนำของฉันเป็นยังไง?”
ฟางผิงถลึงตาใส่เขา มองไปทางหวังจินหยางอีกครั้ง
หวังจินหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ว่ายังไง? หากรับปาก วันหลังมีปัญหา ฉันจะออกหน้าช่วยนายฟรีหนึ่งครั้ง ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใครก็ตาม!”
“พี่หวัง จำเป็นด้วยหรือไง?”
“จำเป็นสิ!” หวังจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “การปฏิรูปของหนานเจียง หรือจะพูดว่าเปลี่ยนแปลงจิตใจของนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ เป็นเรื่องที่ควรจะปรับเปลี่ยน! สามมณฑลทางใต้ ไม่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว!”
คำพูดนี้ฟางผิงเข้าใจ
เรื่องที่ไป๋จิ่นซานมองออก ผู้มีอำนาจของหนานเจียงจะไม่เข้าใจได้ยังไง
แต่สภาพจิตใจของนักศึกษาหนานเจียง ไม่ใช่ว่าจะปรับเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเกี่ยวกับถ้ำใต้ดิน ก็ไม่อาจแพร่งพรายกับคนภายนอกในตอนนี้ได้
“งั้นพวกเราก็ถูกกำหนดให้เป็นตัวร้ายน่ะสิ?”
หวังจินหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เสมอไป หากแพ้พวกนายคงไม่ใช่ตัวร้าย แต่เป็นความอับอายของเซี่ยงไฮ้ ต้องชนะต่างหาก ทั้งถ้าพวกนายแพ้จริงๆ กลับไปเซี่ยงไฮ้ กลัวว่าคงจะถูกตำหนิไม่น้อย”
“แพ้?”
ฟางผิงเอ่ยด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม “พี่หวัง ถ้านายไม่ลงมือ ผมก็สามารถกำราบนักศึกษาได้ทั้งมหาวิทยาลัย!”
“พูดได้แจ๋ว ไอ้เด็กนี่ ใช้ได้เลย!”
หวังจินหยางไม่โกรธเช่นกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “งั้นดี ตอนนี้ฉันจะไปจัดการ พวกเราอาจจะหาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดออกมาได้ห้าคนเลย ไม่ทำให้สิ้นเปลืองเวลาหรอก เย็นนี้เจอกันที่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์หนานเจียง! อีกอย่าง ฉันจะเชิญผู้ว่าจางและอธิการบดีหลิว ปรมาจารย์ทั้งสองท่านมาร่วมชม ทั้งถือโอกาสให้นักศึกษาหนานเจียงมาดูในสนามด้วย คงไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“จริงจังขนาดนี้เชียว?”
ฟางผิงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ปรมาจารย์ของหนานเจียงมีไม่เยอะ ปรมาจารย์สองคนมาชมการประลอง นักศึกษานับพันของหนานเจียงก็มาด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
“ถึงเวลาทำให้ทุกคนรู้ว่าหนานเจียงตัดสินใจจะปฏิรูปแล้ว! ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดห้าคนเอาชนะเด็กใหม่จากเซี่ยงไฮ้ไม่ได้ อ้างสิทธิ์อะไรมาเอาทรัพยากร อ้างสิทธิ์อะไรมาเรียกร้องให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ทั้งจะใช้สิทธิ์อะไรมาต่อต้านอันตรายที่อาจจะเกิดกับหนานเจียง! ผู้ว่าจางและอธิการบดีหลิวใจอ่อนเกินไป ในความคิดฉัน กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ควรจะโยนลงไปในถ้ำสักครั้ง! ตายก็ทิ้งไป มีชีวิตอยู่ถึงจะเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งได้!”
หวังจินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ถ้ำใต้ดินเทียนหนาน พบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ หวังจินหยางก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ โลกใบนี้ยึดกฎที่ว่าผู้แข็งแกร่งถึงจะเป็นฝ่ายอยู่รอด! มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้บ่มเพาะนักศึกษาด้วยความอ่อนโยนเกินไป
ครั้งนี้ให้ผู้ฝึกยุทธ์จากหนานเจียงประลองกับพวกฟางผิง ไม่ใช่ความคิดที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก แต่เขาวางแผนไว้นานแล้ว แค่พวกฟางผิงมาได้ประจวบเหมาะเท่านั้น
ครั้งนี้หากไม่สามารถทำให้นักศึกษาหนานเจียงเกิดแรงกระตุ้นไปข้างหน้า เขาก็ยังมีวิธีอื่นเช่นกัน
คนธรรมดากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์เป็นเรื่องยาก ไม่มีทรัพยากรก็ยากที่จะฝึกวิชาเช่นกัน
แต่ไม่มีทรัพยากร ก็แย่งชิงสิ!
หรือคนธรรมดาจะไม่มีวิธีหาเงินได้เลย?
ขอแค่มีใจอยากจะแข็งแกร่ง ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้หนานเจียงขาดความฮึกเหิมแบบนี้แหละ!
ตอนที่เขาเป็นคนธรรมดา ไม่มีคนสนับสนุนเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงฝึกวิชาได้อย่างช้าๆ แต่จะช้ายังไงก็เร็วกว่าคนอื่นอยู่ดี
หลังจากเข้าสู่ขั้นหนึ่ง เขาจึงเริ่มรับภารกิจทันที วิ่งวุ่นไปทุกหนทุกแห่ง
ตอนที่อยู่ขั้นหนึ่งสูงสุด แม้จะไม่มีคนคอยกระตุ้น เขาก็วางแผนหาเงินซื้อยาบำรุงที่จำเป็นในการทะลวงขั้นด้วยตัวเองแล้ว สุดท้ายมหาวิทยาลัยมีคำขอแบบนี้ออกมา หวังจินหยางไม่คิดชักช้า ตอบตกลงรับปากทันที
ค่อยๆ ก้าวสู่ขั้นสอง ขั้นสาม จนถึงขั้นสี่ตอนนี้ หลบหนีจากความตายไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
นักศึกษาของหนานเจียงหลายคนกลับหดหัวอยู่ในมหาวิทยาลัยอย่างไร้ประโยชน์!
ตอนนี้ถูกคนมาท้าทายถึงหน้าประตู เหยียบย่ำศักดิ์ศรีจมกับพื้น หากยังไม่อาจดึงสติขึ้นมาอีก
งั้นคงสิ้นเปลืองทรัพยากรแล้ว ยังไม่สู้ไปบ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ์อย่างไป๋อิ่นดีกว่า คนหนึ่งเทียบกับร้อยคน!
ตอนนี้หนานเจียงอาจมีปากทางเข้าถ้ำปรากฏ ในอนาคตจะอันตรายกว่านี้
เดิมทีทรัพยากรก็มีไม่เยอะอยู่แล้ว นักศึกษาพวกนี้ยังไม่จ่ายความพยายามออกไป ต้องรอถึงตอนไหนอีก
—
หวังจินหยางมาเร็วและจากไปเร็วเช่นกัน
ฟางผิงกวาดตามองทุกคน ผ่านไปพักหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “แจ้งให้เซี่ยงไฮ้ทราบ ถ้าแพ้ พวกนายก็กลับไปรับโทษเถอะ!”
ฟู่ชางติ่งเอ่ยด้วยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “นายเหมือนกันไม่ใช่หรือไง…”
“ไร้สาระ ฉันจะทะลวงขั้นสามแล้ว จะเหมือนกันได้ยังไง?”
อู๋จื้อหาวที่อยู่ด้านข้างเผยใบหน้างุนงง ฉันกำลังฟังคัมภีร์สวรรค์อยู่หรือไง?
จู่ๆ หวังจินหยางก็ปรากฏตัว ประกาศท้ารบกับพวกฟางผิงแทนหนานเจียง ทั้งยังเชิญปรมาจารย์สองคนมาชมการประลอง
ตอนนี้ฟางผิงยังมาบอกว่าจะทะลวงขั้นสามแล้ว นี่ไม่ใช่ฝันแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?
ฉันหูฝาด หรือกำลังฝันกันแน่?
อู๋จื้อหาวจมดิ่งกับความสงสัยของตัวเอง พวกฟางผิงกลับไม่มีใจชมสภาพแวดล้อมอีกแล้ว บอกลาเขา ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
———————-