ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน – ตอนที่ 190-2 ปวดใจเหลือทน (2)

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 190 ปวดใจเหลือทน (2)

“ตำแหน่งรองหัวหน้าของพ่อก็เหมือนกัน แค่เงินเดือนเพิ่มขึ้นนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอกครับ อย่าใส่ใจเลย ครั้งหน้าถ้าเลื่อนพ่อขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการผมคงไม่แปลกใจด้วยซ้ำ…”

ทุกคนยังคงจมดิ่งอยู่กับคำพูดก่อนหน้านั้นของฟางผิง นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ลูกชายจะกลายเป็นรองผู้บัญชาการ!

โลกนี้มันยังไงกัน?

“ผู้บัญชาการ…”

ฟางหยวนจิตใจล่องลอย พี่จะหาเงินได้อีกแล้วงั้นเหรอ?

“เอาล่ะ มากินข้าวกันเถอะ”

“พ่อครับ แม่ครับ พูดคุยกันภายในบ้านยังพอว่า แต่เอาเรื่องนี้ไปพูดข้างนอกไม่มีประโยชน์อะไร ผมพูดเรื่องพวกนี้กับทุกคนเพราะอยากจะบอกเท่านั้น ในหยางเฉิงพวกเราไม่รังแกใคร และไม่อาจมีใครมารังแกเช่นกัน ถ้ามีใครทำให้ทุกคนไม่ได้รับความเป็นธรรม อย่าเก็บไว้คนเดียว ให้เอามาบอกผม ทั่วหยางเฉิงนี้ ลูกชายของพ่อแม่เกรงกลัวแค่ไม่กี่คนเท่านั้น”

ฟางผิงคุยโวออกไป แต่ก็ไม่ได้ถือว่าคุยโวเช่นกัน แค่อยากให้พ่อกับแม่มีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง

พวกเราไม่รังแกใคร แต่ก็อย่าคิดมารังแกคนของเขาเช่นกัน

ตอนนี้ฟางหมิงหรงแทบไม่มีใจนึกถึงเรื่องนี้ ในสมองนั้นโล่งว่างไปหมด

อาหารมื้อนี้ทุกคนกินกันได้น้อย มีแค่ฟางผิงเท่านั้นที่ได้เปรียบ

อาหารที่แม่ทำอร่อยจริงๆ พวกเขาไม่กิน ตัวเองก็กินเยอะหน่อย จะได้ไม่เสียของ

วันต่อมา

คนที่ต้องไปเรียนก็ไปเรียน คนที่ต้องไปทำงานก็ไปทำงาน

ตอนนี้ฟางผิงไม่ได้ปิดเทอมเหมือนกัน เขายังต้องกลับไปมหาวิทยาลัย จึงไม่คิดสิ้นเปลืองเวลา

เช้าตรู่ฟางผิงจึงตรงดิ่งไปที่จวนผู้บัญชาการ

สอบถามสถานการณ์หยางเฉิงจากไป๋จิ่นซานจึงรู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ช่วงนี้ไม่ได้พบร่องรอยของผู้ฝึกยุทธ์ลัทธินอกรีต

นี่ทำให้ฟางผิงสบายใจไม่น้อย ยังเอ่ยถามความปลอดภัยของครอบครัวตัวเองอย่างอ้อมๆ

ไป๋จิ่นซานเดาออกเช่นกัน เอ่ยถึงปัญหาเส้นทางการลาดตระเวนของตำรวจด้วยรอยยิ้ม

หากพบเจอกับผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ ตำรวจพวกนี้อาจจะช่วยไม่ได้เสมอไป แต่อย่างน้อยก็พอสยบเหตุได้

หยางเฉิงไม่มีความสามารถพอที่จะให้ผู้ฝึกยุทธ์ไปคุ้มครองครอบครัวใคร

ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ พวกผู้ฝึกยุทธ์คงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว

ฟางผิงนับว่ายังพอใจ ถือปืนลาดตระเวน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสองอาจไม่กล้าพอจะเสี่ยงอันตราย

แต่ถ้ามีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปมาจริงๆ หยางเฉิงคงจะต้านไม่อยู่

กล่าวขอบคุณแล้ว ฟางผิงไม่กลับไปที่บ้านอีก ตรงไปยังสถานีรถไฟทันที เขาต้องกลับมหาวิทยาลัยแล้ว

ตอนเช้าก็บอกกล่าวกับพ่อแม่แล้ว ครั้งนี้แค่แอบเจียดเวลาจากงานยุ่งกลับมาเท่านั้น

มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้

พอฟางผิงกลับมา จ้าวเสี่ยวเหมยก็ตามหาตัวทันที เห็นฟางผิงจึงเอ่ยว่า “อาจารย์บอกว่าถ้านายกลับมาแล้วให้ไปหาเธอหน่อย”

“อ่อ”

ฟางผิงตอบรับ ก่อนจะมองเธอด้วยรอยยิ้ม “ขั้นสองแล้ว?”

“อืม”

จ้าวเสวี่ยเหมยไม่อาจพูดได้ว่าดีใจ กลับกันดูผิดหวังอยู่บ้าง “นายทะลวงขั้นสองสูงสุดแล้ว พวกหยางเสี่ยวม่านก็ใกล้จะเข้าสู่ขั้นสองตอนกลาง…”

“จะเป็นไรไป พัฒนาเร็วบ้างช้าบ้างล้วนเหมือนๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้นเธอถือว่าเร็วแล้ว…”

ฟางผิงปลอบใจคนไม่ค่อยเป็น จ้าวเสวี่ยเหมยหัวเราะ ไม่พูดถึงประเด็นนี้อีก

เพราะหลู่เฟิ่งโหรวให้เขาไปหา ฟางผิงจึงไม่ชักช้าอีก ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับจ้าวเสวี่ยเหมยแล้ว ก็มุ่งหน้าไปโซนที่พักบุคลากร

บ้านพักหมายเลขแปด

หลู่เฟิ่งโหรวยังคงหาวออกมาเปิดประตู ทำเอาฟางผิงถึงกับแอบนินทา ง่วงตั้งแต่เช้ายันเย็นเนี่ยนะ!

“ขั้นสองสูงสุดแล้ว?”

“ครับ”

“เร็วใช้ได้เลย”

หลู่เฟิ่งโหรวหาวอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงว่า “เตรียมตัวทะลวงขั้นสามสักหน่อย”

“หา?”

ใบหน้าฟางผิงเต็มไปด้วยความตกใจ ละล่ำละลักว่า “อาจารย์ เร็วไปหรือเปล่าครับ…”

“เร็ว? ไม่ดีหรือยังไง?”

หลู่เฟิ่งโหรวยิ้มอย่างดูแคลน “ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ กำลังคิดว่าคนอย่างฟางผิงไม่อาจเอาชนะระดับเดียวกันได้ ยังต้องใช้เวลาตกตะกอนสักช่วงหนึ่งใช่หรือเปล่า? อย่าคิดเพ้อฝันเกินไป! กวาดล้างขั้นสอง นายก็ต้องไม่ใช่ขั้นสองน่ะสิ? ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไร้คู่ต่อสู้ในขั้นสอง หรือจะยังอยู่ในขั้นสองอีก? มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขั้นสามถึงจะนับเป็นแนวหน้า ประวิงเวลาอยู่ในขั้นหนึ่งขั้นสองนานเกินไปไม่มีประโยชน์ รอวันหนึ่งเธอกลายเป็นปรมาจารย์แล้ว ใครจะสนใจว่าเธอเคยกวาดล้างผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองหรือเปล่า? หรือปรมาจารย์อันดับสุดท้าย จะสู้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองที่อยู่อันดับแรกไม่ได้?”

“ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกแล้ว ต่ำกว่าขั้นสามเป็นแค่ระดับปูพื้นฐาน ระดับนี้จะนับถึงขั้นสามสูงสุด เมื่อถึงขั้นสามแล้ว เธอค่อยๆ เติมเต็มข้อบกพร่อง ไม่นานหรอก ทั้งไม่อาจกระทบกับอนาคต หรือว่าเธอต้องเอาชื่ออันดับหนึ่งของขั้นสองมาให้ได้ถึงจะพอใจ? กว่าเธอจะเป็นอันดับหนึ่งของขั้นสอง ยังไม่รู้ว่าต้องรอนานเท่าไหร่ บางทีเข้าสู่ขั้นสามเธออาจจะฝึกวิชาจนไปถึงอันดับหนึ่งได้ด้วยซ้ำ อันดับหนึ่งของขั้นสองหรืออันดับหนึ่งของขั้นสามแข็งแกร่งกว่ากันล่ะ? แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่าเธอพูดเกทับไว้ไม่ใช่เหรอไง จบเทอมจะท้าประลองกับจางอวี่? นี่ใกล้จะเข้าเดือนเมษาแล้ว หรือเธอคิดจะใช้ฐานะขั้นสองประลองกับขั้นสี่?”

ฟางผิงอึ้งไปเล็กน้อย เพิ่งจะนึกได้ว่าพูดเกทับไว้จริงๆ

เวลานี้เขาเอ่ยอย่างเขินอายอยู่บ้าง “แค่พูดไปอย่างนั้น…”

“ฮ่าๆ เธอบอกว่าแค่พูดไปอย่างนั้น คนอื่นคงไม่คิดจริงจัง ถึงเวลานั้นเธอไม่ประลองก็ต้องประลอง ดูเอาเองเถอะว่าต้องทำยังไง”

“เขาอยู่ขั้นสี่ ผมแค่ขั้นสอง…”

ฟางผิงทำหน้าจนใจ ฉันสู้ได้ที่ไหนกัน

“ถ้าเธอสามารถแตะถึงขั้นสามสูงสุดได้ เคล็ดวิชาต่อสู้ถึงขั้นกระบวนท่าชั้นยอด ถึงเวลานั้นขึ้นเวทีก็ใช้กระบวนชั้นยอด อัดยาเข้าไปให้ถึงขีดกำจัด อาจจะชนะก็ได้ แต่ขั้นสองสูงสุด…เขาฆ่าเธอได้แค่ชั่วพริบตา เข้าใจความหมายฉันหรือเปล่า?”

ฟางผิงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “อาจารย์ งั้นถ้าผมเข้าสู่ขั้นสาม ต้องไปถ้ำใต้ดินหรือเปล่าครับ?”

“เธอตัดสินใจเอง แต่เข้าสู่ขั้นสามสูงสุดแล้ว คงไม่อาจเอ้อละเหยเหมือนตอนนี้ได้แล้ว ในช่วงขั้นสามสูงสุด ร่างกาย กระดูกและเส้นเลือดของเธอจะต้องหลอมจนถึงจุดสูงสุด! ต้องบ่มเพาะปราณให้ถึงขีดจำกัดเช่นกัน เคล็ดวิชาต่อสู้ จวงกง รวมถึงเคล็ดหลอมกระดูกล้วนต้องฝึกให้ถึงขีดจำกัด เพราะขั้นสามสูงสุดก้าวสู่ขั้นสี่จะมีการเปลี่ยนแปลงกระดูกใหม่อีกหนึ่งครั้ง เวลานี้ พื้นฐานยิ่งแน่นเท่าไหร่จะยิ่งดีเท่านั้น ระดับต่ำกว่าขั้นสาม ปูพื้นฐานไม่ใช่คำกล่าวเลื่อนลอย ทั้งสามขั้นอันที่จริงต่างเป็นการฝึกวิชาปูพื้นฐาน การแบ่งขั้นหนึ่งขั้นสองและขั้นสามเป็นแค่คำนิยามเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันพูดอย่างนี้ เข้าใจใช่หรือเปล่า?”

ฟางผิงผงกหัว คำพูดนี้เข้าใจง่าย ลำดับขั้นเป็นเพียงคำนิยามของคน

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่ำกว่าขั้นสาม อันที่จริงในสายตาผู้ที่แข็งแกร่งเป็นระดับเดียวกัน ไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งแยกให้ละเอียด

“เข้าใจก็ดี พรุ่งนี้ไปเขตทางใต้ รอฉันที่ห้องแหล่งพลังงาน ที่นั่นจะทะลวงง่ายกว่าหน่อย”

“เร็วเกินไปแล้ว…”

ฟางผิงพึมพำเบาๆ เขานึกไม่ถึงว่าหลู่เฟิ่งโหรวจะให้เขาทะลวงขั้นสามเร็วขนาดนี้

แต่นึกดูแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวพูดถูกเหมือนกัน

ไร้คู่ต่อสู้ในขั้นสอง นั่นก็แค่ขั้นสอง

เพื่อชื่อเสียงแล้ว รั้งอยู่ขั้นสองนานเกินไปไม่มีความจำเป็น

นี่ไม่ใช่ขั้นหนึ่งที่ต้องแข่งขันประลอง

พวกเหล่าหวังรวมถึงปรมาจารย์พวกนั้น เหมือนแทบจะไม่มีใครที่มีชื่อเสียงจากการกวาดล้างเอาชนะขั้นสอง ถูกเรียกว่าไร้ศัตรูในขั้นสามสูงสุดยังพอจะมีบ้าง

——————

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

Status: Ongoing
ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ฟางผิงกลับมาเกิดใหม่ในวัย 18 ปีในโลกที่ไม่เหมือนเดิมพร้อมระบบประหลาด และที่นี่เองที่เขาได้ก้าวเข้าสู่โลกของการฝึกยุทธ์รายละเอียด อีกหนึ่งผลงานแฟนตาซี-กำลังภายในที่มาพร้อมระบบสุดโกง จากนักเขียนเดียวกับ STARGATE ปริศนาประตูแห่งดาราฟางผิงย้อนเวลามาอยู่ในร่างของตัวเองในวัย 18 ปีผู้คนรอบข้างยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ที่โลกนี้กลับยังมีการฝึกยุทธ์ และให้ความสำคัญกับผู้ฝึกยุทธ์ช่วงเวลาสั้นๆ ฟางผิงก็สัมผัสได้ถึงสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือสังคมนี้โหดร้ายกับเขาเป็นอย่างยิ่ง!หากไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่เป็นผู้ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าตัวเองจะกลับมาเกิดใหม่เกรงว่าคงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเป็นคนชนชั้นล่างเท่านั้นด้วยเหตุนั้นเขาจึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์เพื่อให้ตนและครอบครัวสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมแห่งนี้แต่แน่นอนว่าเส้นทางของการเป็นผู้แข็งแกร่งย่อมไม่ง่ายดายขนาดนั้นแม้เขาจะมีระบบประหลาดคอยช่วยเหลืออยู่ก็ตามเรื่อง : ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนานผู้เขียน : เหล่าอิงชือเสี่ยวจี (老鹰吃小鸡)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท