ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน – ตอนที่ 192 ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม (1)

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 192 ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม (1)

ห้องแหล่งพลังงานแฝงไปด้วยบรรยากาศของสมัยใหม่

พอเข้าไปในห้องแหล่งพลังงาน ฟางผิงก็รู้สึกราวกับตัวเองเข้าไปอยู่ในแคปซูลอวกาศ

พูดว่า ‘ห้อง’ ความเป็นจริงห้องแหล่งพลังงานเป็นสิ่งก่อสร้างที่ปิดตายขนาดใหญ่

ฟางผิงและหลู่เฟิ่งโหรวเพิ่งเดินเข้ามาในพื้นที่สาธารณะเท่านั้น ด้านในยังแบ่งส่วนเป็นห้องเล็กๆ อีกหลายห้อง

หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้ร้อนใจเข้าไปด้านใน หาที่นั่งพูดคุยก่อนจะเอ่ยว่า “ความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุด ฉินเฟิ่งชิงแสดงให้เห็นบ้างแล้ว คิดว่าเป็นยังไง?”

“ทนหมัด!”

หลู่เฟิ่งโหรวอึ้งไปเล็กน้อย หมดคำพูดอยู่บ้าง

แต่ทนหมัดเป็นเรื่องจริง เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งและขั้นสอง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามมีพลังป้องกันที่แข็งแรงกว่า

“นับเป็นส่วนหนึ่ง”

หลู่เฟิ่งโหรวพยักหน้าเล็กน้อย “ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม นอกจากสมองแล้ว กระดูก เส้นเลือดและปราณทั่วร่างล้วนทะลวงหากัน เธออยู่ขั้นสองสูงสุด คิดจะเคลื่อนปราณทั่วร่างไปรวมอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อถึงขั้นสามจะง่ายขึ้นแล้ว อีกอย่างกระดูกแขนขาที่แยกจากกันก่อนหน้านี้ พลังไม่ได้แข็งแกร่งมาก แค่แสดงพลังออกมาได้จากบางส่วนเท่านั้น พอถึงขั้นสามสูงสุดแล้ว จะแข็งแกร่งทั่วทั้งร่าง การระเบิดปราณก็เหมือนกัน เธออยู่ขั้นสองระเบิดปราณได้สองร้อยแคล เธอคิดว่าขั้นสามต้องระเบิดปราณที่สองร้อยแคลเหมือนกันถึงจะสามารถสู้กับเธอได้ใช่หรือเปล่า?”

ฟางผิงใจลอยอยู่บ้าง ได้ฟังจึงเอ่ยอย่างสงสัย “ความหมายของคุณคือ…”

“หลักการง่ายๆ เด็กสามขวบคนหนึ่ง ปราณของเขามีเต็มเปี่ยม แม้จะไม่ถึงร้อยแคล แต่เก้าสิบแคลคงไม่ใช่ปัญหา ปราณไม่ได้หมายถึงเลือดมีมากน้อยแค่ไหน เธอต้องเข้าใจจุดนี้ก่อน เด็กสามขวบออกแรงสุดกำลัง ยึดตามหลักการระเบิดปราณ บางทีเขาอาจจะระเบิดออกมาได้ห้าแคล งั้นฉันถามเธอหน่อยว่ากระบวนท่าห้าแคลของเธอ ปะทะกับเขา ผลลัพธ์จะเป็นยังไง?”

“เละเป็นโจ๊ก!”

ฟางผิงทำหน้าเหยเก ผลลัพธ์เป็นแบบนั้นแหละ

“เข้าใจก็ดีแล้ว ขั้นหนึ่งขั้นสอง ความแตกต่างพวกนี้ไม่เห็นชัดเจนมาก รู้ไหมว่าเพราะอะไร?”

“กระดูกแขนขาถูกแยกกันหลอม ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนหลอมทั่วร่างกาย”

“ถือว่าไม่โง่ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งและขั้นสอง หลอมกระดูกแขนขาแยกกัน ไม่อาจทะลวงหากันได้ อันที่จริงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองและขั้นหนึ่งแทบไม่มีความแตกต่างมาก เพียงแค่ขีดจำกัดปราณเพิ่มขึ้นมา วิธีจู่โจมเยอะขึ้นเท่านั้น ขั้นสามและขั้นหนึ่งขั้นสองกลับไม่เหมือนกันแล้ว นี่ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างหนึ่ง”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นในขั้นสาม เธอระเบิดปราณหนึ่งร้อยแคลก็สามารถออกหมัดเดียวต่อยกู้สยงให้ตายได้แล้ว”

“แต่ว่า…”

“เธอจะบอกว่าเธอและพวกฟู่ชางติ่งไล่จับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามพวกนั้นได้?”

หลู่เฟิ่งโหรวยิ้มอย่างดูแคลน “ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามที่พวกเธอเจออยู่แค่ตอนต้น จะแสดงความสามารถของขั้นสามที่แท้จริงได้ อย่างน้อยต้องหลอมกระดูกสันหลังให้สำเร็จ ในขั้นสามกระดูกแกนกลางมีห้าสิบเอ็ดชิ้น ในนั้นมีกระดูกสันหลังยี่สิบหกชิ้น กระดูกอกหนึ่งชิ้น กระดูกซี่โครงยี่สิบสี่ชิ้น หลอมกระดูกอกเป็นอันดับแรก ต่อไปเป็นซี่โครง สุดท้ายถึงจะเป็นกระดูกสันหลัง…”

ฟางผิงตัดบทว่า “งั้นก็หมายความว่าในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ระดับสูงสุดเท่านั้นถึงจะแสดงความสามารถที่แท้จริงได้”

กล่าวว่าต้องหลอมกระดูกสันหลังให้สำเร็จ นั่นไม่ได้หมายความว่าต้องหลอมกระดูกให้ครบทั้งห้าสิบเอ็ดชิ้นหรอกเหรอ

หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้วว่า “ฟังฉันพูดให้จบก่อน ใครบอกว่านี่คือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดแล้ว การหลอมกระดูกไม่ใช่สิ่งที่ขั้นสามต้องทำอย่างเดียว หลอมกระดูกก่อน หากสำเร็จแล้ว เนื้อหนังล้วนต้องบ่มเพาะเสริมความแข็งแรง หลอมทุกส่วนให้ถึงระดับหนึ่ง นั่นถึงจะเรียกว่าขั้นสามสูงสุด หลอมกระดูกเสร็จแล้ว เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายอย่างเซี่ยเหล่ยเท่านั้น”

“แบบนี้เอง?”

ฟางผิงเพิ่งได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก นึกไม่ถึงว่าจะไม่ได้ใช้จำนวนการหลอมกระดูกเป็นตัวแบ่งขั้นอย่างเดียว

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยต่อ “ในขั้นสาม ยังไม่ได้หลอมซี่โครงเรียกว่าขั้นสามตอนต้น ยังไม่ได้หลอมกระดูกสันหลังเรียกว่าตอนกลาง รอจนหลอมกระดูกเสร็จสิ้นแล้วค่อยเรียกว่าตอนปลาย ดังนั้นความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายถึงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีฝีมืออย่างแท้จริง คนหนึ่งสู้ขั้นสามตอนกลางสิบคน ไม่ได้พูดเกินจริงเลย กลับกันขั้นสามสูงสุดและขั้นสามตอนปลายไม่ได้แตกต่างมากอย่างที่คิด”

ครั้งนี้ฟางผิงเข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้ฉินเฟิ่งชิงสู้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามพวกนั้นราวกับหยอกเล่น

แต่พอปะทะกับเซี่ยเหล่ย อาจดูเหมือนจะผ่อนคลาย แต่กลับระมัดระวังเป็นพิเศษ

ความสามารถของตอนปลายและขั้นสูงสุดไม่ได้แตกต่างที่กระดูก แต่เป็นกล้ามเนื้อ

“ไม่น่าล่ะ ก่อนหน้านี้ฉินเฟิ่งชิงถึงดูสบายๆ ขนาดนั้น…”

“แน่นอน เขาระเบิดกระบวนท่าส่งๆ ออกมา ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนกลาง อย่างน้อยต้องเสียปราณถึงสามเท่าถึงจะต้านแรงปะทะได้ เธอคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถรับการโจมตีเต็มพลังของฉินเฟิ่งชิงได้หรือเปล่าล่ะ? ก่อนหน้านี้มีแค่ฉินเฟิ่งชิงที่หยอกพวกเขาเล่นเท่านั้น”

“งั้นก็หมายความว่า อันที่จริงขั้นสามมีสองระดับ ขั้นสามตอนต้นและตอนกลางนับเป็นระดับเดียวกัน ตอนปลายและสูงสุดเป็นอีกระดับ”

“ไม่เลว”

“แต่ว่า…ก่อนหน้านี้ผมเจอคนหนึ่งมา เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดเหมือนกัน…รู้สึกเหมือนจะไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่”

“ใคร?”

“สมาชิกในสถาบันวิจัยคนหนึ่ง ฝีมืออยู่ในขั้นสามสูงสุด ชื่อพานเสี่ยวหยาง”

หลู่เฟิ่งโหรวพูดส่งๆ ว่า “การรับรู้ของเธออาจผิดพลาด ไม่ก็อีกฝ่ายห่วยเกินไป แทบไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ ไม่งั้นคงฆ่าเธอตายได้แล้ว”

พูดซะฟางผิงเผยสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมา

พานเสี่ยวหยางน่าจะเป็นอย่างหลัง?

ไม่งั้นเจอตัวเองคงไม่จำเป็นต้องประนีประนอม ทำเหมือนที่หลู่เฟิ่งโหรวบอก หาจังหวะฆ่าตัวเองไปแล้ว

แต่อาจเป็นเพราะเจียงเฉิงมีผู้ฝึกยุทธ์เยอะเช่นกัน เขาเลยไม่กล้าลงมือส่งเดช

เป็นอย่างนี้แล้วเขายังต้องขอบคุณพานเสี่ยวหยางที่ไม่ฆ่าตัวเองหรือเปล่า?

หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจเรื่องนี้มาก พูดประเด็นนี้แล้วก็เอ่ยต่อ “ในช่วงขั้นสามเป็นแบบนี้แหละ แม้จะขั้นสามเหมือนกัน แต่อย่าคิดว่าเธอเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนต้นมาก่อนถือว่าเก่งมากแล้ว มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายถึงจะถูกยอมรับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางอย่างแท้จริง ถือเป็นกำลังหลักในโลกของผู้ฝึกยุทธ์ เธออยากประมือกับจางอวี่ อยากทิ้งช่วงตัวเองออกห่างจากเพื่อนคนอื่นๆ มีเพียงต้องเข้าสู่ขั้นสามตอนปลายเท่านั้น เวลานั้นเธอจะเป็นนักศึกษาแนวหน้าของเซี่ยงไฮ้อย่างแท้จริง! มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ธรรมดา ยึดขั้นสามเป็นขีดจำกัด เทิดทูนเป็นอัจฉริยะ แต่เซี่ยงไฮ้และปักกิ่งถือขั้นสามตอนปลายเป็นขีดจำกัด นี่ถึงจะเป็นอัจฉริยะ เป็นความภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัย! ถึงจุดนี้แล้ว เธอคิดจะจบการศึกษาก็จบได้เลย อยากออกไปรับตำแหน่ง ก็มีหลายองค์กรยินดีต้อนรับเธอเช่นกัน ทั้งมีแค่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับนี้เท่านั้นถึงจะถือเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง…”

“รู้สึกเหมือนว่าก่อนหน้านี้ผมเป็นแค่เด็กที่หยอกกันเล่นเท่านั้น?”

“เธอจะคิดแบบนี้ก็ได้”

หลู่เฟิ่งโหรวโจมตีคนเก่งจริงๆ ฟางผิงนั้นกระทบกระเทือนใจอยู่บ้าง

ไม่นานฟางผิงก็ฟื้นฟูท่าทีเป็นปกติ ถอนหายใจว่า “อาจารย์ งั้นตอนนี้ผมสามารถทะลวงได้เลย?”

“ไม่ต้องรีบ ผ่อนคลายจิตใจก่อน กระดูกสันหลังมีเส้นเลือดยี่สิบหกสาย ต้องทะลวงในครั้งเดียวอันตรายอยู่บ้าง เตรียมยาบำรุงให้ดี หากปราณไม่พอหรือพบกับปัญหาอย่าตื่นตระหนก ฉันจะช่วยดูเธอให้ รอจนทะลวงเส้นเลือดที่กระดูกสันลังแล้ว ที่เหลืออีกยี่สิบห้าสายไม่ใช่ปัญหาแล้ว ค่อยๆ ไปทีละส่วนหรือจะเปลี่ยนเป็นอีกวันยังได้ จำไว้ให้ดี อย่าได้ผลีผลามหยุดกะทันหัน ไม่งั้นหากเส้นประสาทที่ใกล้กระดูกสันหลังได้รับความเสียหาย เธอคงต้องนอนเป็นผัก การทะลวงขั้นสามเทียบกันแล้วอันตรายอยู่มาก นี่ถึงเป็นเหตุผลที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไปถือขั้นสามว่าเป็นระดับแนวหน้า แม้ว่าความสามารถจะมีจำกัด แต่เมื่อหลอมกระดูกสำเร็จ ขั้นสามจะถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกัน”

“เข้าใจแล้วครับ”

———————-

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

Status: Ongoing
ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ฟางผิงกลับมาเกิดใหม่ในวัย 18 ปีในโลกที่ไม่เหมือนเดิมพร้อมระบบประหลาด และที่นี่เองที่เขาได้ก้าวเข้าสู่โลกของการฝึกยุทธ์รายละเอียด อีกหนึ่งผลงานแฟนตาซี-กำลังภายในที่มาพร้อมระบบสุดโกง จากนักเขียนเดียวกับ STARGATE ปริศนาประตูแห่งดาราฟางผิงย้อนเวลามาอยู่ในร่างของตัวเองในวัย 18 ปีผู้คนรอบข้างยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ที่โลกนี้กลับยังมีการฝึกยุทธ์ และให้ความสำคัญกับผู้ฝึกยุทธ์ช่วงเวลาสั้นๆ ฟางผิงก็สัมผัสได้ถึงสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือสังคมนี้โหดร้ายกับเขาเป็นอย่างยิ่ง!หากไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่เป็นผู้ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าตัวเองจะกลับมาเกิดใหม่เกรงว่าคงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเป็นคนชนชั้นล่างเท่านั้นด้วยเหตุนั้นเขาจึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์เพื่อให้ตนและครอบครัวสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมแห่งนี้แต่แน่นอนว่าเส้นทางของการเป็นผู้แข็งแกร่งย่อมไม่ง่ายดายขนาดนั้นแม้เขาจะมีระบบประหลาดคอยช่วยเหลืออยู่ก็ตามเรื่อง : ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนานผู้เขียน : เหล่าอิงชือเสี่ยวจี (老鹰吃小鸡)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท