ตอนที่ 212 อีกด้านของบทเรียน (2)
“เหอะ!”
ถังเฟิงแค่นเสียงอย่างดูแคลน เอ่ยด้วยความไม่พอใจ “เธอลืมแล้วหรือไง ตอนแรกเธอและฟู่ชางติ่งแพ้ยังไง?”
“อะไรนะครับ?”
“ตอนแรกที่เธอและฟู่ชางติ่งเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย คนอื่นๆ ล้อมโจมตีพวกเธอยังไง สุดท้ายถึงทำให้พวกเธอต้องยอมแพ้? สู้ตัวต่อตัว ใครจะเป็นคู่มือพวกเธอได้?”
“สกัดผู้แข็งแกร่ง คนอ่อนแอผลัดเปลี่ยนโจมตี ตอนแรกยังคิดได้ ทำไมตอนนี้คิดไม่ได้? สุดท้ายแล้วยังคงเป็นเพราะพวกเธอคิดว่าฝีมือตัวเองแข็งแกร่ง เก่งกาจถึงกระทั่งไร้เทียบเทียมถึงได้เลือกปะทะตัวต่อตัวอย่างนี้! แต่พวกเธอนั้นไร้เทียบเทียมจริงๆ น่ะเหรอ? แค่มือใหม่ไร้ประสบการณ์กลุ่มหนึ่ง คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งจริงๆ? เป็นตั้งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม กลับไม่เห็นขั้นสองอยู่ในสายตา คิดว่าพวกเขาไม่สำคัญ ถึงกระทั่งรู้สึกว่าเป็นภาระ คงคิดอย่างนี้สินะ? เอาความมั่นใจมาจากไหนถึงคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง?”
ทุกคนต่างพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาปรึกษากัน ส่วนมากก็มีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามเท่านั้น
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง โดยเฉพาะต่ำกว่าขั้นสูงสุดลงไปแทบไม่มีสิทธิ์ในการพูด
ถังเฟิงตำหนิหลายประโยค มองไปยังทุกคน “นี่ถึงทำให้เกิดความมั่นใจเกินไป! มั่นใจว่าพวกเธอนั้นยิ่งใหญ่ มั่นใจว่าทีมผู้ฝึกยุทธ์เกือบสามร้อยคนคงไม่มีใครกล้าลอบโจมตี อันที่จริงผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตไม่ได้มีระบบแบบแผนอะไร หากพวกเขามีแผนเป็นขั้นเป็นตอนจริงๆ พวกเธอต้องตายไปกว่าครึ่งแล้ว! ทั้งในถ้ำใต้ดิน ทหารถ้ำยังฉลาดห้าวหาญกว่าพวกเรามาก! ฉันอยากให้พวกเธอตายในมือผู้แข็งแกร่ง ดีกว่าต้องมาตายในมือพวกอ่อนแอ!”
ถังเฟิงบอกว่าพวกเขามั่นใจเกินไป ทุกคนต่างสบสายตากัน ไม่พูดอะไรออกมา
พวกเขานั้นมั่นใจจริงๆ ยังไงก็เคยมีประสบการณ์กับผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตมาก่อน
รู้สึกว่าฝีมือไม่เท่าไหร่
หากทำสงครามซึ่งๆ หน้า อีกฝ่ายคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตัวเองอย่างแน่นอน
ดังนั้นตั้งแต่ต้นทุกคนจึงโอบกอดความคิดเช่นนี้ไว้ ผู้แข็งแกร่งกับผู้แข็งแกร่ง ผู้อ่อนแอกับผู้แข็งแกร่ง ฆ่าแล้วค่อยว่ากัน
แน่นอนว่าเรื่องจริงก็เป็นแบบนั้นไม่ผิดเพี้ยน
แต่ก็เพราะว่าอย่างนี้ถึงทำให้มีคนเสียชีวิต หากมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจ อาจจะไม่ต้องมีคนตายแบบนี้
อีกฝ่ายนอกจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายและขั้นสามสูงสุด พวกคนที่เหลือต่างอ่อนแอกว่าตัวเองเกือบทั้งหมด
“ไม่ว่าจะศัตรูหรือผู้ใดล้วนต้องใช้ความระมัดระวัง มั่นใจว่าจะชนะศัตรูนั้นได้ แต่ต้องให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เช่นกัน อีกอย่างมีคนเคยไปสำรวจฐานทัพชั่วคราวก่อนหรือเปล่า? ยังไม่พูดถึงเรื่องที่อาจจะมีศัตรูแฝงอยู่ในฐาน แต่พวกเราทิ้งหอกโลหะผสมห้าร้อยด้ามให้พวกเธอในคลังเก็บของ มีใครเห็นหรือเปล่า?”
พวกฟางผิงมองกันไปมองกันมา ไม่มีเสียงตอบรับอีกครั้ง
ถังเฟิงนวดขมับเบาๆ ขมวดคิ้วว่า “เขาด้านหลังหมู่บ้านผานสือ อันที่จริงพวกเราทลายแกนกลางของภูเขาเรียบร้อยแล้ว ขอแค่ส่งคนไปเคลื่อนไหวไม่กี่คนก็สามารถพังหินขนาดใหญ่บนเขา ทำให้เกิดภูเขาถล่มได้แล้ว มีใครขึ้นไปดูหรือเปล่า?”
“หากหินเขาพังทลาย หมู่บ้านผานสือจะถูกปกคลุมไปด้วยหิน พวกเธอคิดว่าจะมีศัตรูเหลือชีวิตกี่คนกัน?”
ทุกคนยังคงเอาแต่มองกันไปมา จมอยู่ในความเงียบ
ถังเฟิงถอนหายใจ “แค่พวกมีกำลังแต่ไม่มีสมองกลุ่มหนึ่ง!”
คำพูดนี้เมื่อก่อนฟางผิงเคยใช้ตำหนิเขา
ตอนนี้ถูกเขาดูแคลน กลับไม่สามารถโต้แย้งได้
“หากทุกคนเหมือนพวกเธอหมด สู้กับพวกถ้ำ มนุษยชาติคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว!”
“ปกติมหาวิทยาลัยสอนให้พวกเธอลงมือแต่ไม่ใช่สมองหรือไง?”
“นักศึกษาสาขายุทธศาสตร์ ขาดฝีมือไปอยู่บ้าง เอาแต่นิ่งดูดาย นักศึกษาสาขาศึกษาวิจัย เคยคิดจะวางกับดักล่อให้อีกฝ่ายออกมาโจมตีหรือเปล่า? ระหว่างทางมีหลายสถานที่เหมาะให้ทำเป็นกับดัก ไม่เคยมีคนคิดจะลองสักนิด? อีกฝ่ายยังคิดได้ ขุดหลุมซ่อนคนบางส่วนไว้โจมตีพวกเธอ ทำไมพวกเธอถึงคิดไม่ได้? นอกจากปะทะกันซึ่งหน้า พวกเธอยังคิดอะไรได้อีก? คนที่ร้อนใจต้องเป็นพวกเธองั้นเหรอ? คนที่ร้อนใจควรจะเป็นพวกเขา!”
“พวกเขาคิดแค่จะทะลวงวงล้อม แต่พวกเธอกลับไม่ใช่ พวกเธอสามารถเป็นทั้งฝ่ายจู่โจมและตั้งรับ! จนถึงสุดท้ายคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำลายความอดทนของพวกเธอได้ ไม่ใช่พวกเธอเป็นฝ่ายทำลายความอดทนของพวกเขา! หากเวลานั้นพวกเธอไม่สนใจ พวกเธอลองดูสิว่าใครต้องเป็นคนร้อนใจ? จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงทำลายบ้านเรือนหรือไง! พวกเธอควรจะเป็นฝ่ายเลือกสถานที่ในการต่อสู้ ไม่ใช่ให้สิทธิ์นี้ตกเป็นของอีกฝ่าย ส่วนเรื่องที่พวกเธอคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับการทำสงครามขนาดใหญ่ งั้นก็แบ่งทหาร แบ่งทีม แต่ก่อนหน้านั้นต้องแยกตัวอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน พวกเธอเคยลองหรือเปล่า?”
“จะบุกพร้อมกันให้ได้ ไม่คิดแบ่งทหารแบ่งเป็นทีมย่อย พวกเขารู้หรือว่าพวกเธอมีคนเท่าไหร่? พวกเธอหลายร้อยคนบุกเข้าไปพร้อมกันจะมีใครกล้าออกมาทำสงคราม! เวลานั้นหากส่งไปไม่กี่สิบคน ผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตพวกนั้นคงกรูกันออกมาเป็นฝ่ายโจมตีพวกเธอแล้ว! ระหว่างทางหาสถานที่เหมาะสม ล่อให้พวกเขาตกหลุมพรางก็เป็นเรื่องที่ง่ายดาย ผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตพวกนี้ไม่เกรงกลัวต่อความตาย ขอแค่ได้ฆ่าคน มีคนน้อย พวกเขาต้องเป็นฝ่ายไล่ฆ่าอยู่แล้ว! หาที่เหมาะสมสักแห่งล้อมฆ่าพวกเขา หากใช้ประโยชน์จากหอกโลหะผสมห้าร้อยด้ามนั้นได้ ก็คงฆ่าพวกเขาได้กว่าครึ่งแล้ว ต่อจากนั้นใช้กำลังคนจำนวนมากล้อมฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เหลือ จะมีคนตายได้งั้นเหรอ?”
ถังเฟิงพูดจนคอแห้ง เอ่ยอย่างโมโหว่า “คนเกือบสามร้อย นึกไม่ถึงว่าจะไม่มีคนใช้สมองเลย! พวกไร้สมองอย่างฟางผิงพูดอะไร พวกเธอก็เชื่อกันหมด!”
ฟางผิงร้องอย่างไม่เป็นธรรม “อาจารย์ ผมไม่ได้แนะนำสักหน่อย!”
ถังเฟิงถลึงตาใส่เขา ถอนหายใจว่า “คนของหน่วยทหารบอกฉันว่านักศึกษาศิลปะการต่อสู้นั้นไร้อนาคต กลุ่มของพวกเธอทำให้มหาวิทยาลัยของพวกเราขายหน้ากันไปหมด! แค่ภารกิจง่ายๆ กลับมีคนตายถึงหกคน! อีกอย่าง…เรื่องที่ต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดคนนั้น พวกเธอโง่กันไปหมดหรือไง? นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะให้ฟางผิงสู้กับเขาตัวต่อตัวแค่คนเดียว?”
“แต่ผมฆ่าเขาแล้ว…”
ถังเฟิงเอ่ยอย่างหงุดหงิด “นั่นเพราะเธอโกง เธอฟันอีกฝ่ายไปกี่ร้อยดาบ สิ้นเปลืองปราณไปตั้งเท่าไหร่!”
พูดจบ จู่ๆ ถังเฟิงก็เอ่ยว่า “เธอสิ้นเปลืองปราณไปมากขนาดนี้ เอาจากที่ไหนมา?”
“ตุนไว้”
ถังเฟิงนิ่งไปเล็กน้อย ฟางผิงเอ่ยอย่างส่งๆ “ผมกินยาบำรุงไป หากยังไม่ย่อยสลายก็จะถูกกักเก็บไว้ในร่างกาย ผมรู้ว่าครั้งนี้ค่อนข้างอันตรายเลยกินล่วงหน้าหลายสิบเม็ด…”
“เธอกำลังรนหาที่ตาย!”
ถังเฟิงก่นด่าเขา ก่อนจะขมวดคิ้วว่า “กลับไปตรวจร่างกายสักหน่อย เธอกินยาไปมากขนาดนี้ร่างกายยังไม่ระเบิด เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
“ไม่ตรวจ!”
ฟางผิงส่ายหัว “นี่เป็นท่าไม้ตายของผม เรื่องที่อาจารย์ถามอยู่ ความจริงก็ไม่เหมาะสมแล้ว”
“เธอ…”
ถังเฟิงไร้แรงจะบ่นแล้ว ทุกคนเห็นกันหมด ยังจะท่าไม้ตายอะไรอีก คิดว่าทุกคนตาบอดหรือไง?
คร้านจะสนใจเขาอีก ถังเฟิงเอ่ยว่า “ต่อให้ปราณเยอะเท่าไหร่ก็ต้องพึ่งฝีมืออยู่ดี เธอแสดงฝีมือได้ไม่ดี ฟันกว่าร้อยดาบค่อยจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ ตัวเองก็เกือบถูกซ้อมตาย อย่าใช้เรื่องนี้เป็นที่พึ่ง ผู้นำลัทธิคนนี้ฝีมือธรรมดา ฝึกเคล็ดวิชาทั่วไปเท่านั้น ไม่งั้นอีกฝ่ายออกกระบวนท่าชั้นยอดของขั้นสาม คงฆ่าเธอได้ในกระบวนท่าเดียว เธอยังจะมีโอกาสฟันเขาอีกหรือไง?”
ทักษะต่อสู้ของผู้นำลัทธิธรรมดาจริงๆ ปราณก็ปะทุไม่เยอะ
หากอีกฝ่ายระเบิดปราณสามร้อยแคล คงมากกว่าพวกฟางผิงระเบิดปราณไปอีกเจ็ดร้อยแปดร้อยแคล
ออกหนึ่งกระบวนท่า ฟางผิงคงจะถูกฆ่าตายทั้งเป็น
ฟางผิงสามารถฆ่าเขาได้เพราะเรื่องนี้ ไม่งั้นคงถูกชกตายด้วยหมัดเดียวไปแล้ว
ฟางผิงจนใจอยู่บ้างเหมือนกัน “ผมใช้เวลาไปกับการหลอมกระดูก ดังนั้นถึงสามารถเข้าสู่ขั้นสามตอนกลางได้ คิดตลอดว่าทะลวงตอนปลายแล้วค่อยฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้…”
ครั้งนี้ถังเฟิงกลับไม่ตำหนิอีก ทุกคนต่างอยู่ในช่วงหนุ่มสาว เร่งรีบฝึกฝนวิชา
เวลานี้จะบกพร่องไปบ้างถือเป็นเรื่องธรรมดา
“ไปเถอะ ครั้งนี้ไปทบทวนตัวเองดีๆ ผลการทดสอบกำลังคำนวณอยู่ ครั้งนี้ไม่ถึงหนึ่งร้อยคะแนน ทุกมหาวิทยาลัยต้องเพิ่มการฝึกฝนหนักขึ้นไปอีก! พวกเราส่งพวกเธอเข้าไปในถ้ำ หวังว่าพวกเธอจะสามารถแสดงฝีมือได้ ไม่ใช่ส่งไปตายเปล่าๆ ขึ้นชื่อว่ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ พวกเราไม่อาจสอนพวกเธอทุกคนกับมือได้ทั้งหมด บางส่วนต้องให้พวกเธอเรียนรู้ด้วยตัวเอง อย่าเอาแต่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง การต่อสู้เช่นนี้ ในถ้ำใต้ดินเป็นเรื่องปกติ มักจะพบหมู่บ้านร้างในถ้ำบางส่วน ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าหมู่บ้านผานสือในวันนี้ คนอื่นแค่ตัวคนเดียวยังสามารถฆ่าได้เกลี้ยง จากสถานการณ์ของพวกเธอแล้ว เข้าไปก็เท่ากับส่งไปตาย! ส่วนคนอย่างฟางผิงที่สามารถสะสมปราณ…ฆ่าหลายคนด้วยตัวคนเดียว นั่นเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก ตอนนี้เขาเข้าไปก็ตายสถานเดียวเหมือนกัน!”
ฟางผิงถูกใช้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีอีกครั้ง เขาไร้แรงจะโต้ตอบแล้ว
วันนี้ราชสีห์ถังจับจุดอ่อนเขาได้ จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ไม่มีอะไรจะแก้ต่างแล้ว
แต่เรื่องที่ตัวเองสามารถสะสมปราณได้ ฟางผิงคิดว่าถ่อมตัวไว้จะดีกว่า
ฟังจากความหมายของราชสีห์ถัง ให้ตัวเองไปตรวจ อาจจะคิดว่าตัวเองไม่ค่อยปกติ
ในความเป็นจริงก็ไม่ค่อยปกตินั่นแหละ
“ครั้งหน้าถ้ามีอาจารย์ให้ฉันกินยาบำรุงต่อหน้า ไม่ใช่ต้องจบเห่แล้วหรือไง…”
ฟางผิงตระหนักถึงปัญหานี้จึงครุ่นคิดวิธีแก้ไข
แต่วันนี้ไม่ทันได้กินยาบำรุงจริงๆ ทั้งฟางผิงยังทำใจไม่ได้อยู่บ้าง สิ้นเปลืองเกินไป
“ช่างเถอะ ค่อยๆ ดูสถานการณ์ไปละกัน หากให้ฉันกลืนยาบำรุงหลายสิบเม็ดจริงๆ เกรงว่าร่างต้องระเบิดแน่…”
ฟางผิงไม่มีความสามารถทนต่อฤทธิ์ยาได้ หากกลืนไปหลายสิบเม็ด คงต้องตายจริงๆ
—————–