ตอนที่ 213 เหล่าหวังผู้ ‘เลือดเย็น’ (2)
กลับมาถึงกระโจม ฟางผิงเก็บสัมภาระ ก่อนจะมองไปทางฟู่ชางติ่ง “ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอก ถ้ามีอะไรโทรหาละกัน…กลับไปต้องเปลี่ยนซิมการ์ดสักหน่อยแล้ว”
“นายจะไปข้างนอก?”
“อืม มีธุระ”
“แล้วเรื่องการทดสอบ…”
“ไม่ใช่เสร็จแล้วหรือไง? เหลือแค่แบ่งคะแนนเท่านั้น ทั้งยังไม่รู้ว่าพวกอาจารย์จะกลับมาเมื่อไหร่ ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะไปก่อน มีเรื่องอะไรอย่าลืมติดต่อฉันละกัน”
พูดจบฟางผิงก็แบกเป้ออกไปข้างนอกอย่างรีบเร่ง
พวกฟู่ชางติ่งมองหน้าสลับกันไปมา เห็นได้ชัดว่าไม่แน่ใจถึงสาเหตุที่ฟางผิงออกไปอย่างร้อนใจขนาดนี้
—
สามชั่วโมงต่อมา
เจียงเฉิง
ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มกว่าแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิท
เจียงเฉิงไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเหมือนเซี่ยงไฮ้ เวลาสี่ทุ่มกว่าคนที่สัญจรอยู่ข้างนอกก็น้อยลงถนัดตา
ร้านกาแฟแห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัยหนานเจียง
ฟางผิงสาวเท้าเข้าไป ก่อนจะโบกไม้โบกมือให้หวังจินหยางที่อยู่ห่างออกไปช่วงหนึ่ง
หวังจินหยางกำลังดื่มกาแฟจึงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
รอฟางผิงมาถึงแล้ว หวังจินหยางก็มองพินิจเขาขึ้นๆ ลงๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่เห็นจะมองออก”
“พี่หวัง…”
“ฉันเพิ่งได้รับข่าว ตอนที่นายล้อมโจมตี ฟันปราณออกไปเกือบหมื่นแคล?”
“เอ่อ…”
“แม้จะเป็นฉันก็ทำไม่ได้เหมือนกัน หลักการเดียวกัน ต่อให้นายหลอมถึงไขกระดูกก็ทำไม่ได้อยู่ดี เว้นเสียแต่ว่านายจะหลอมไขกระดูกทั่วร่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว!”
ฟางผิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “อาจจะอย่างนั้น บางทีไขกระดูกทั่วร่างของผมอาจจะหลอมเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน…”
“ฮ่าๆ”
เหล่าหวังหัวเราะ เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่เป็นไร ผู้ฝึกยุทธ์มีความลับเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ซักไซ้ไล่เลียงไปไม่มีประโยชน์ นายอยากถามอะไรล่ะ?”
“คือว่า…ต้องฝึกฝนไขกระดูกยังไง?”
“ไม่มีวิธี”
“หา?”
“ไม่มีวิธีพิเศษอะไร นายมาหาฉันน่าจะเพราะมีคนเล่าเรื่องฉันให้ฟัง”
หวังจินหยางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ยุคสมัยนี้เรียกว่ามีพรสวรรค์ แต่ในอดีตนั้นถือเป็นโรคชนิดหนึ่ง โรคที่ไร้ทางรักษา ไขกระดูกเกิดปัญหา หลังจากหลอมกระดูกแล้ว ฉันเพิ่งจะเจอปัญหานี้ เวลานั้นอาจารย์ฉันอยู่ด้วยเหมือนกัน คิดว่าร่างกายฉันแปลกประหลาดเลยไปหาอธิการบดี อธิการตรวจสอบอยู่ยกใหญ่ ท้ายที่สุดจึงคาดเดาว่าไขกระดูกฉันมีคุณสมบัติเป็นหยก แน่นอนว่าฉันไม่ได้ไปตรวจ ไม่มีประโยชน์ ทุกคนคิดแบบนี้ก็ให้คิดแบบนี้ไปละกัน ส่วนทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลง ฉันไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจเป็นอย่างที่ฉันพูด เป็นความผิดปกติของร่างกายอย่างหนึ่ง”
“ไม่มีวิธีฝึกฝน?”
ฟางผิงเผยสีหน้าขมขื่น จู่ๆ หวังจินหยางก็เอ่ยว่า “ไม่แน่เสมอไป! บางทีไขกระดูกของฉันอาจจะแปรสภาพยังไม่สมบูรณ์ เมื่อก่อนในความรู้สึกฉัน ไขกระดูกนั้นมีสภาพเป็นของเหลว ตอนนี้กลับเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นสถานะของแข็ง นายลองทายสิ มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
“เกิดขึ้นยังไง?” ฟางผิงรีบซักถาม
“ไขกระดูกอยู่ในส่วนลึกของกระดูก ปกติปราณไม่สามารถเจาะผ่านเข้าไปได้ การหลอมปราณอันที่จริงถือเป็นการหลอมพลังงานอย่างหนึ่ง หลังจากฉันเข้าสู่ระดับกลาง มักจะลองใช้หินพลังงานในการฝึกวิชา พบว่าตอนที่หินปลดปล่อยพลังงานแตะถึงขีดจำกัดหรือกระทั่งตอนที่พลังงานแปรสภาพเป็นของเหลว เวลานั้นพลังปราณสามารถซึมเข้าไปในไขกระดูก เกิดการหลอมขึ้น นายลองดูได้เหมือนกัน อันที่จริงไม่จำเป็นต้องมีหินพลังงานเสมอไป ในเซี่ยงไฮ้มีสระปราณอยู่ นายสามารถลองเปิดการปลดปล่อยปราณขั้นสูง ดูว่าจะสามารถหลอมไขกระดูกได้หรือเปล่า ฉันคิดว่าน่าจะได้…”
“แน่นอนว่าตอนนี้ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสามและระดับกลาง ยังไม่มีคนทำถึงจุดนี้ได้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดก็ตาม เพราะกะโหลกนั้นไม่ได้ถูกทะลวง หากพลังปราณเข้มข้นเกินไป จะเลือกหลอมที่กะโหลกเป็นอันดับแรก ไม่ได้เจาะถึงไขกระดูก กระบวนการภายในนี้อาจจำเป็นต้องมีแรงเหนี่ยวนำ อย่างเช่นแรงเหนี่ยวนำของพลังจิตใจ อันที่จริงฉันไม่ได้เข้าใจด้านนี้เท่าไหร่ แต่นี่ก็เป็นเพียงคำตอบเดียวที่ฉันรู้…”
ฟางผิงเผยสีหน้าเศร้าซึมยิ่งกว่าเก่า เชื่อได้ไหมเนี่ย?
นึกไม่ถึงว่าเหล่าหวังจะฟุ่มเฟือยถึงขั้นใช้หินพลังงานในการฝึกวิชา!
ของสิ่งนี้เป็นทรัพยากรที่อยู่ในการควบคุม ราคาในตลาดมืดอย่างต่ำอยู่ที่กิโลกรัมละหนึ่งล้าน
นึกไม่ถึงว่าเหล่าหวังจะแนะนำวิธีนี้ให้เขา ทดลองในช่วงที่หินพลังงานปลดปล่อยจนแปรสภาพเป็นของเหลว นี่ต้องใช้ค่าแลกเปลี่ยนเท่าไหร่ถึงจะพอ!
ห้องแหล่งพลังงานของเซี่ยงไฮ้ ทำถึงจุดนี้ได้งั้นเหรอ?
“ถ้าระบบน่าเชื่อถือหน่อย ฉันคงไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้”
ฟางผิงอับจนหนทางอยู่บ้าง
ก่อนแววตาจะวูบไหวขึ้นมา ระบบของเขาอัปเกรดตอนที่ค่าทรัพย์สินแตะถึงหนึ่งล้านและสิบล้าน หากค่าทรัพย์สินสูงถึงร้อยล้าน จะอัปเกรดขึ้นอีกครั้งใช่หรือเปล่า?
หลังจากอัปเกรดแล้ว อาจจะหลอมกระดูกจนถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มได้เลย?
นี่มีโอกาสเป็นไปได้สูง!
ก็หมายความว่าตอนนี้เขามีสองทางให้เลือก…
ไม่สิ มีเพียงทางเดียว!
หาเงิน!
ไม่ว่าจะไปทดลองที่ห้องแหล่งพลังงาน หรือเพิ่มค่าทรัพย์สินให้ถึงหนึ่งร้อยล้านล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น
เงินจำนวนมหาศาล!
มีเงินเขาถึงจะสามารถทดลองสองวิธีนี้ได้ แต่ถ้าไม่มีคงไร้วิธีแล้ว
ตอนนี้ทรัพย์สินของเขามีเพียงสิบสองล้าน อีกนัยหนึ่งคืออย่างน้อยเขาต้องหาเงินอีกแปดสิบแปดล้าน
อันดับแรกเขาต้องไม่ใช้ค่าทรัพย์สินอีก!
“เงิน…จะไปหาเงินมากมายขนาดนี้จากไหน…ใช่สิ เงินกู้สำหรับลงทุน!”
ตอนนี้วิธีหาเงินก้อนใหญ่ที่ฟางผิงคิดได้ มีเพียงเงินกู้ลงทุนของบริษัทหยวนฟาง!
ขอเพียงแค่มีเงินกู้ลงทุน เขาจะมีมูลค่าจากหุ้นเกินกว่าหนึ่งร้อยสามสิบล้าน
ค่าทรัพย์สินของเขาจะทะลวงหนึ่งร้อยล้าน ทั้งมีเงินทุนไปฝึกวิชาในห้องแหล่งพลังงาน
เหล่าหวังแค่ให้คำตอบที่เหมือนการคาดเดาเท่านั้น แต่ฟางผิงนั้นพอใจมากแล้ว
อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ถึงขั้นขอคำแนะนำจากคนที่ไม่รู้เรื่องหรือไม่รู้วิธีจัดการอะไรเลย เหล่าหวังยังมอบทางเลือกหนึ่งให้กับเขา
หวังจินหยางเห็นฟางผิงจมอยู่ในความคิดก็ไม่รบกวน
ดื่มกาแฟพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “นายก้าวหน้าเร็วเกินไปจริงๆ ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุด ถึงจะเป็นพวกอ่อนแอก็ตาม ในประเทศจีนตอนนี้ผู้ฝึกยุทธ์หนึ่งล้านกว่าคน ระดับต่ำกว่าขั้นสามน่าจะมีประมาณหนึ่งล้าน ระดับกลางเกรงว่าจะเป็นหนึ่งในสิบของระดับต่ำกว่าขั้นสาม ไม่กี่แสนคน คนพวกนี้กระจัดกระจายในประเทศจีนและถ้ำใต้ดินแห่งต่างๆ หากเฉลี่ยแต่ละเมืองแต่ละมณฑล ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดจะน้อยลงไปอีก นายสามารถฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดได้ นั่นหมายความว่าตอนนี้นายไม่ใช่ระดับล่างของโลกผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงเรียงนามอีกต่อไปแล้ว ”
“ตอนนี้นายต้องระวังตัวหน่อย บางเรื่องก่อนที่ยังหาคำตอบไม่ได้ หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง จิตใจมนุษย์ยากจะคาดเดา แม้ทุกคนจะมีศัตรูคนเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะคิดเหมือนกัน ถึงจะเป็นพวกถ้ำ ก็มีวิธีรับมือกับศัตรูไม่เหมือนกัน บางคนออกคำสั่งให้จู่โจมกำราบพวกใต้ดิน บางคนสั่งการให้ถ่วงเวลาเพื่อให้คนรุ่นหลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะได้ทำเรื่องมั่นคงมากยิ่งขึ้น ทั้งมีบางคนคิดว่าพอจะสื่อสารกันได้หรือไม่ เจรจาเพื่อรักษาความสงบ…สรุปแล้วไม่ว่าจะกลยุทธ์ร้อยแปดพันเก้าต่างมีคนให้การสนับสนุน ฉันพูดเรื่องพวกนี้คิดว่านายน่าจะเข้าใจความหมายของฉัน”
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนกลางคนหนึ่ง เคล็ดวิชาต่อสู้ธรรมดากลับสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุด นายต้องเข้าใจว่าขั้นสามตอนกลางและสูงสุดมีความห่างชั้นขนาดไหน แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ก็ยังไม่ทำให้คนตกใจเท่ากับเรื่องนี้เลย ขั้นสามตอนกลางและขั้นสามสูงสุด เป็นคนละเรื่องเลย เข้าใจหรือเปล่า? การจัดอันดับขั้นสามครั้งหน้า นายอาจจะอาศัยฐานะขั้นสามตอนกลางขึ้นไปอยู่ในอันดับ นี่ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ต้นไม้สูงเด่นมักจะถูกโค่นได้ง่าย ดังนั้นบางปัญหา นายต้องพยายามแก้ไขให้เร็วที่สุด อาจารย์ของนายอาจจะประวิงเวลาให้ช่วงหนึ่งได้ แต่ตามหลักความจริง อาจารย์ของนายไม่อาจช่วยนายต้านได้ตลอดไป นอกเสียจากนายจะเป็นลูกชายหรือลูกเขยของเธอ น่าเสียดาย ลูกสาวของอาจารย์นายตายไปแล้ว…แน่นอน นายอาจจะครุ่นคิดเรื่องแต่งงานกับอาจารย์ของนาย…”
ฟางผิงอ้าปากค้าง ให้ตายเถอะ คำพูดบ้าบออะไรกัน!
คำพูดนี้นายก็กล้าพูดออกมา!
คิดว่าฉันเป็นบ้าหรือคิดว่าฉันอยากตายตั้งแต่ตอนนี้?
‘ราชาอสรพิษ’ ยังมีชีวิตอยู่เถอะ!
ยิ่งไปกว่านั้นหลู่เฟิ่งโหรวอายุเท่าไหร่แล้ว ห้าสิบกว่าปี!
เหล่าหวังอิจฉาฉันที่โดดเด่นเกินไปเลยคิดจะส่งไปตายสินะ?
คำแนะนำเลือดเย็นเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดออกมา!
หวังจินหยางดื่มกาแฟอย่างสบายๆ “แน่นอนนั่นเป็นแค่เรื่องลมๆ แล้งๆ ไม่จำเป็นต้องมองฉันขนาดนั้น ไม่แน่ว่านายอาจจะสำเร็จก็ได้”
“ฮ่าๆ…งั้นพี่หวังลองดูสิ…”
“ฉันไม่ได้มีอันตราย ทำไมต้องสร้างปัญหาให้ตัวเองด้วยล่ะ?”
หวังจินหยางพูดอย่างมีเหตุผล ฟางผิงมุมปากกระตุกไม่หยุด งั้นนายเลยพ่นคำพูดที่ไม่คิดจะรับผิดชอบแบบนี้ออกมาสินะ?
หวังจินหยางไม่คิดยุ่งกับประเด็นนี้อีกแล้ว “อันที่จริงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ถึงขั้นให้นายไปตาย แค่เฉือนเนื้อ เลื่อยกระดูก สูบเลือดสักหน่อย อย่างมากแค่หั่นเอาสมองนายมานิดเดียว…ไม่แน่ว่ารัฐบาลอาจจะสามารถทุ่มเทบ่มเพาะอัจฉริยะอย่างนายออกมาอีกคนก็ได้ จะกลัวอะไร”
พูดตัดกำลังใจชัดๆ!
ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก!
ยังจงใจยั่วยุเขาอีก
ฟางผิงใบหน้าซีดเผือด กัดฟันว่า “ผมหลอมไขกระดูกสำเร็จแล้ว นี่เป็นเรื่องจริง เหมือนกับพี่หวังนั่นแหละ หากต้องถูกหั่นก็ต้องเป็นพี่ก่อน!”
หวังจินหยางเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “อันที่จริงฉันถูกดึงไขกระดูกไปแล้ว แต่พบว่าไม่ได้ดีไปกว่าปรมาจารย์เท่าไหร่ ทั้งไม่ได้จะคิดวิจัยจริงจังอะไร สุดท้ายจึงถูกละทิ้งไป ไม่แน่ว่าไขกระดูกของนายจะมีคุณภาพดีกว่า ทำให้พวกเขาอยากทดลองขึ้นมาอีกครั้ง?”
ฟางผิงไร้คำจะพูดอย่างถึงที่สุด ตกลงเหล่าหวังต้องการอะไรกันแน่?
จำเป็นต้องขู่ขวัญฉันขนาดนี้เลยหรือไง?
———————-