ตอนที่ 242 มืดแล้วหลับตาเถอะ (2)
พวกมนุษย์ถ้ำไม่ใช่คนโง่เช่นกัน ฟางผิงจำเป็นต้องป้องกันหลุมพรางจากสามคนนี้
ผลปรากฏว่าตามไปอีกทาง ฟางผิงไม่อาจรับรู้ได้ถึงอนุภาคพลังงาน
“ไอ้พวกเวร! วางหลุมพรางฉันจริงๆ ด้วย แกล้งทำเป็นหลอกล่อสินะ!”
ฟางผิงลอบด่า ไม่จำเป็นต้องเดา คนที่สองน่าจะอยู่ห่างกับผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือดาบไม่เกินร้อยเมตร
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ไปหาคนที่อยู่คนเดียวแล้วกัน”
ฟางผิงไม่ลังเลอีก รีบไล่ตามไปยังทิศทางที่รับรู้ได้ถึงพลังงานก่อนหน้านี้
—
สามนาทีต่อมา ฟางผิงไล่ตามมาถึงแล้ว อยู่ห่างจากอีกฝ่ายประมาณหนึ่งร้อยเมตร
ที่นี่อยู่ห่างจากที่ก่อนหน้านี้เกือบพันเมตรแล้ว
กลางคืนเงียบสงัดแบบนี้ กว่าสองคนนั้นจะได้ยินเสียงตามเข้ามา น่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองนาทีอยู่ดี
“หนึ่งถึงสองนาที…หนึ่งวินาทีสี่ดาบ เพียงพอให้ฉันฟันออกไปห้าร้อยดาบแล้ว น่าจะฆ่าตายสินะ?”
ฟางผิงวางแผนอยู่ในใจ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่แข็งแกร่งกว่าขั้นสาม นั่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
อีกฝ่ายระเบิดปราณได้เช่นกัน ทั้งอานุภาพยังแข็งแกร่งกว่าตัวเอง
ขอแค่ระวังตัวไม่ถูกการโจมตีกระบวนท่าใหญ่จากอีกฝ่าย อีกฝ่ายย่อมผลาญปราณสู้เขาไม่ได้แน่
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่หลอมอวัยวะภายในแล้ว ปราณแข็งแกร่งกว่าฉัน ความได้เปรียบนี้ไม่มีประโยชน์ แต่ร่างกายแข็งแกร่งกว่าฉัน…ก็แข็งแกร่งอย่างมีข้อจำกัด ยังไม่ถึงขั้นร่างทองของขั้นหก”
“พวกฉินเฟิ่งชิงต่างเคยสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ นั่นหมายความว่าแม้ขั้นสี่จะแข็งแกร่ง แต่ท้ายที่สุดยังถูกฆ่าได้อยู่ดี”
คำนึงถึงข้อดีและข้อเสียอย่างละเอียดแล้ว ฟางผิงจึงตัดสินใจทันที
ไม่คิดโจมตีด้านหลัง ฟางผิงอ้อมไปข้างหน้า ห่างจากผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นไม่เกินหนึ่งร้อยเมตร หลบใต้ต้นไม้ใหญ่ เปล่งเสียงเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน
ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำสัมผัสได้ถึงอนุภาคพลังงาน ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เดินมาทางฟางผิง
ระยะห่างประมาณสามสิบเมตร อีกฝ่ายน่าจะมองเห็นฟางผิงอย่างชัดเจน เขาเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง
ระยะสามสิบเมตรในตอนกลางคืน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามไม่อาจมองเห็น นี่เป็นประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปีของทุกคน
ฟางผิงไม่มองเขา หันหลังให้อีกฝ่าย ทว่ากลับใช้พลังงานจิตใจรับรู้
พลังจิตใจของเขาไม่อาจปลดปล่อยออกมา ทำได้แค่สร้างเส้นพลังบางๆ ออกไปหยั่งเชิงกับพลังงาน
“ผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือหอกคนนั้น…”
ฟางผิงวิเคราะห์ออกมา อาวุธคล้ายหอกในมือของอีกฝ่าย ตอนนี้เริ่มกักเก็บพลังงาน อนุภาคพลังงานลอยอยู่บนนั้น
“มือธนูและมือดาบเฝ้าอยู่กับที่ หมอนี้มีฝีมือโดดเด่นเลยออกมาล่าฉันคนเดียวสินะ…”
ฟางผิงนึกถึงเรื่องพวกนี้ มือก็จับอยู่ในจุดที่เหมาะจะโจมตีที่สุดของดาบยาวแล้ว
อีกฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ มาทางนี้ เห็นได้ชัดว่าคิดจะสังหารฟางผิงอย่างสบายๆ
ส่วนฟางผิงรออีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัวเองเกือบสิบเมตร จู่ๆ ก็ขยับฝีเท้า ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศทันที
ในเวลาเดียวกันหอกยาวของอีกฝ่ายก็แทงไปที่กิ่งไม้อย่างรวดเร็ว แกนต้นไม้ใหญ่หักโค่นลง
ฟางผิงรอโอกาสนี้อยู่พอดี ฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายดึงหอกออกมา ดาบยาวประกายแสงสีแดงวูบวาบ พุ่งเข้าโจมตีกะโหลกของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
อีกฝ่ายคำรามเสียงดัง ชักหอกกลับมาโจมตีกลับ
ฟางผิงไม่สนใจว่าเขาจะปัดป้องหรือโต้กลับ ดาบยาวเปล่งแสงสว่างไสว ไม่สนใจว่าฟันถูกหัวเขาหรือหอกยาว รู้แค่ว่าฟันออกไปอย่างไม่หยุดพัก!
อีกฝ่ายถูกดาบเร็วของฟางผิงฟันติดต่อกันจนไร้เรี่ยวแรงจะโต้กลับ ทำได้เพียงตั้งรับอยู่ตลอด
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็มีขีดจำกัดอยู่ดี สิบดาบฟันเขาไม่ตาย ฟางผิงคงไม่อาจหนีไปง่ายๆ เช่นกัน!
ผลปรากฏว่าฟางผิงฟันกว่าสิบดาบแล้ว อีกฝ่ายกลับชะงักไปเล็กน้อย
และช่วงเวลาสั้นๆ นี้ก็เป็นโอกาสที่ฟางผิงรอมาโดยตลอด
ชั่วพริบตาที่อีกฝ่ายตกใจ ฟางผิงจึงพ่นเกาทัณฑ์เลือดออกมา พุ่งเข้าหาดวงตาของอีกฝ่าย!
ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังป้องกันกระบวนท่าใหญ่จากฟางผิง เห็นเกาทัณฑ์เลือดตรงดิ่งเข้ามา ก็เอียงหัวเล็กน้อย หลบเกาทัณฑ์เลือดที่พุ่งมาบดบังทัศนวิสัยของเขา
การหลบครั้งนี้ทำให้ตำแหน่งโจมตีถูกเปลี่ยนเป็นที่แก้มแทน อีกฝ่ายคิดว่าไม่จำเป็นต้องล่าถอยจากการโจมตีของเกาทัณฑ์เลือดถึงขนาดนั้น
นั่นเป็นตัวเลือกที่ผิดมหันต์ ครู่ต่อมาเกาทัณฑ์เลือดก็คมดั่งใบมีด ทะลุแก้มของเขา ก่อนจะพุ่งเข้าไปในหัวอีกฝ่าย!
“อ๊าก!”
เสียงร้องระงมด้วยความเจ็บปวด หอกยาวในมืออีกฝ่ายนิ่งค้างไป ฟางผิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย คำรามเสียงดัง แกว่งใบมีดอย่างว่องไว ฟันคออีกฝ่ายในชั่วพริบตา!
‘ฉับ!’
ในความมืด วัตถุทรงกลมกระเด็นลอยออกไป
ฟางผิงรีบคว้าหอกยาวไว้ เริ่มค้นตัวของอีกฝ่าย รอจนคลำหากระเป๋าเล็กๆ ได้ ก็รีบยัดเข้าไปในเสื้อตัวเอง ทั้งไม่ลืมดึงป้ายสถานะของอีกฝ่ายมาด้วย นี่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าฆ่าศัตรูได้
กำลังเตรียมจะปลีกตัวออกไป จู่ๆ เขาก็รีบสาวเท้าไปตรงจุดที่หัวของอีกฝ่ายหล่นอยู่ กัดฟันใช้เท้าเหยียบแรงๆ จนเกิดเสียงแตกดังสนั่น
วิชาเกาทัณฑ์เลือดเป็นเคล็ดวิชาลับของเขา ไม่อาจให้สองคนที่เหลือรู้ได้ว่าหมอนี่ตายยังไง
ครู่ต่อมาฟางผิงรีบปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว หายวับไปจากที่เดิมทันที
ช่วงเวลาที่เขาเพิ่งไปได้ไม่นาน ผู้ฝึกยุทธ์ชายและหญิงสองคนนั้นก็กระโดดเข้ามา
รอจนเห็นว่าเป็นร่างที่ไร้หัว ทั้งสองคนจึงหน้าเปลี่ยนสี หันหลังชนกัน สำรวจทั่วทิศทางอย่างระแวดระวัง
—
ฟางผิงไม่คิดจะสนใจปฏิกิริยาของทั้งสองคน
หาสถานที่ใหม่ ก่อนจะสำรวจรอบๆ ใช้ดาบกรีดบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งจนเป็นรอยแล้ว ก็รีบแหวกกองใบไม้ที่ร่วงยัดกระบี่และหอกที่ชิงมาได้ก่อนหน้านี้เข้าไป
“หวังว่าจะไม่หลงทาง หวังว่าจะหาที่นี่เจอ อย่าได้หายไปเลย”
ฟางผิงสวดพึมพำ กระบี่ยาวหายยังพอว่า แต่หอกเล่มนี้ ฟางผิงดูแล้ว คงเป็นโลหะผสมระดับ D เป็นอย่างต่ำ ความแข็งแกร่งอาจจะแตะถึงมาตรฐานโลหะผสมระดับ C เลยด้วยซ้ำ
ด้ามหอกสร้างจากโลหะทั้งหมด หนักสิบห้ากิโลกรัมเป็นอย่างต่ำ
นี่ถึงจะเป็นของที่มีมูลค่าอย่างแท้จริง บางทีอาจจะแพงกว่าดาบเฟิ่งจุ่ยของเขาด้วยซ้ำ หากทำหาย ฟางผิงคงหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดแล้ว
ฝังกลบหอกและกระบี่ดีแล้ว ฟางผิงจึงกัดฟันว่า “ฉันฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่แล้ว ครั้งนี้ดูสิว่าพวกนายจะพูดยังไงอีก!”
ทิ้งคำพูดนี้ ก่อนเขาจะหมุนตัวพุ่งไปยังทางที่เพิ่งจากมา
ตอนนี้ทั้งสองคนมีเปอร์เซ็นต์ที่จะแยกทางกันต่ำมาก ในป่าตอนกลางคืนมือธนูจะแสดงฝีมือได้อย่างจำกัด ผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือดาบก็สูญเสียปราณไปไม่น้อยแล้ว อยากจะฆ่าพวกเขาสองคน มีเพียงต้องลงมือในคืนนี้เท่านั้น พอถึงตอนกลางวันแล้ว ความได้เปรียบของฟางผิงจะลดน้อยลงทันที
—
ไม่นานฉากสงครามไล่ล่าในป่าก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ฟางผิงราวกับแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย เอาแต่ลอบโจมตีทั้งสองคนไม่หยุดหย่อน โจมตีทีเดียวไม่เข้า ก็รีบหลบไปอย่างรวดเร็ว หายไปจากกลางป่าในชั่วพริบตา
แม้ว่าจะถูกอีกฝ่ายสู้ประกบอยู่หลายครั้ง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แผลภายนอกไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมาก รอจนโรมรันกันสองสามชั่วโมง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ทั้งสองคนปราณแทบจะเกลี้ยงแล้ว
เวลานี้ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำมีความคิดเพียงอย่างเดียว ต้องออกไปจากป่าแห่งนี้!
เจอกับปัญหาใหญ่แล้ว
ฟางผิงเจอพวกเขาก็เล่นใหญ่ทันที ทั้งหมดทั้งมวลแล้วพวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าฟางผิงโจมตีไปกี่ครั้ง
แต่ทุกครั้งที่เจออีกฝ่ายปราณกลับมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
ทั้งสองตะโกนอะไรบางอย่าง แม้ฟางผิงจะไม่เข้าใจ แต่ยังคงเดาว่าน่าจะพูดประมาณว่า ‘ขี้โกง’
แน่นอน เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น
เกรงว่าพวกเขาจะตกใจกลัวจริงๆ แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกใช้ปราณจนหมดก็ยังไม่อาจฟื้นฟูปราณได้เร็วถึงขนาดนี้
—
ฉากไล่ล่านั้นดำเนินอยู่ทั้งคืน จากที่ฟางผิงคาดการณ์ ฟ้าใกล้จะสว่างเร็วๆ นี้แล้ว
ตอนนี้ใบหน้าฟางผิงเผยความเหนื่อยล้าเช่นกัน เนื้อตัวมีแต่บาดแผล อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สองคนไม่ได้ปล่อยให้เขาลอบโจมตีง่ายๆ เช่นกัน มีหลายครั้งที่อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นไม่รู้ ครั้งที่อันตรายที่สุดคือมือธนูหญิงคนนั้นเกือบใช้กริชแทงทะลุหัวใจฟางผิงแล้ว
ดีที่เขาสวมเสื้อเกราะจึงป้องกันได้ส่วนหนึ่ง แม้จะเป็นแบบนี้เสื้อเกราะของฟางผิงก็ถูกแทงทะลุอยู่ดี หน้าอกเป็นแผลลึกเล็กน้อย
—
“แฮ่กๆ!”
ฟางผิงหอบหายใจเสียงดัง พึมพำว่า “ต้องฆ่าพวกเขาในตอนกลางคืนให้ได้ ตอนกลางวันอาจมีพวกถ้ำเข้ามาเยอะกว่านี้…ฉันอาจจะเข้ามาสู่ฐานที่มั่นของอีกฝ่ายแล้วจริงๆ”
“ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สามคน…สังหารข้ามขั้น รอหัวสิงโตฆ่าปรมาจารย์ตายสามคนแล้วถึงจะสามารถดูถูกฉันได้!”
ฟางผิงยังคงโมโห เห็นได้ชัดว่ายังรู้สึกไม่พอใจเรื่องตอนกลางวัน ทำให้เขาต้องมาหนีตายเกือบทั้งวัน…เรื่องนี้ยังไม่เท่าไหร่ ประเด็นอยู่ที่สิ้นเปลืองค่าทรัพย์สินอย่างน่าตกใจ!
พลังจิตใจและปราณต้องเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ใช้ปราณและพลังจิตใจไป นั่นเป็นค่าทรัพย์สินเกือบหนึ่งล้านห้าแสนแล้ว
ค่ำคืนนี้ฟางผิงเพิ่มไปแปดครั้งเต็มๆ
รวมกับที่ใช้ไปก่อนหน้านี้ สิ้นเปลืองไปกว่าสิบสามล้านแล้ว
ครั้งก่อนที่เสียปราณจำนวนมาก เป็นเพราะสังหารผู้นำลัทธิคนนั้น
แน่นอน ฟางผิงคิดว่าไม่นานก็สามารถได้ส่วนต่างคืนมาแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สามคน ต้องมีของดีติดตัวไม่น้อย แค่อาวุธ น่าจะเพียงพอชดใช้ความเสียหายให้เขาแล้ว
“ฆ่าพวกเขาสองคนแล้ว ต้องพยายามกลับเมืองความหวังให้เร็วที่สุด ตอนนี้กลับไปก็ไม่อายคนแล้ว…กลัวก็แต่ว่า…”
ฟางผิงเผยแววตาเป็นกังวล กลัวอะไรอีกล่ะ กลัวว่าจะหาทางกลับไม่ได้น่ะสิ!
เหมือนว่าเขาจะเข้ามาในป่าลึกอยู่บ้าง กลางค่ำกลางคืนวิ่งไปทั่วแบบนี้ จะแยกแยะทิศทางออกหรือไง?
——————