ตอนที่ 270 เล็กเกินไป ต่อยไม่ถึง (2)
ผู้แข็งแกร่งพวกนี้ทำได้เพียงอาศัยการมีอยู่ของพลังข่มขวัญคนอื่น ไม่อาจใช้พลังมาต่อสู้อย่างคนทั่วไปได้
เว้นเสียแต่…เว้นเสียแต่ว่าตอนนี้จะเริ่มสงครามตัดสินครั้งสุดท้าย ยอดฝีมือพวกนี้ล้วนต้องลงมือ แค่เจ้าเมืองเทียนเหมินคนหนึ่ง ในระดับขั้นเก้าไม่นับว่าแข็งแกร่งมาก ภายใต้สงครามที่ต่อสู้กันวุ่นวาย พลั้งมือฆ่าไป ใครยังจะสนใจ
ชายชราครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ก็ยิ้มตาหยีว่า “ดังนั้นมนุษยชาติถึงต้องบ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ์แนวหน้าระดับกลางพวกนี้ออกมา ทำไมต้องให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นท่ามกลางผู้คนที่แข็งแกร่งอีก? เพราะคนพวกนี้ถึงจะเป็นอนาคตของพวกเรา! พวกเขาไร้ศัตรูในขั้นสาม ไร้ศัตรูในขั้นสี่ ไร้ศัตรูจนถึงขั้นเจ็ดขั้นแปด เมื่อเข้าสู่ขั้นเก้าก็จะเป็นระดับสูงสุดในนั้น พวกเขาลงมือครั้งแรกอาจจะสังหารยอดฝีมือขั้นเก้าได้เป็นกอง สังหารได้ก่อนที่พวกผู้แข็งแกร่งในส่วนลึกถ้ำใต้ดินจะรู้ตัวซะอีก เวลานั้นแม้จะรู้ตัวแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขา! พวกเขาความรู้สึกช้าเอง จะโทษคนอื่นได้ยังไง หากจะสู้จริงๆ งั้นก็สู้! ไม่ได้ล้อมฆ่าระดับสุดยอดของพวกเขาสักหน่อย สู้จนถึงขั้นนั้น มนุษยชาติก็ไม่กลัวตายเช่นกัน! นี่เป็นกฎที่ยอมรับทั่วกันระหว่างมนุษยชาติและมนุษย์ถ้ำ”
เฉินอวิ๋นซีได้ฟังก็เอ่ยเสียงเบา “งั้นหนูก็อยากเป็นยอดฝีมือแบบนั้นเหมือนกัน…”
ชายชราหัวเราะเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
พูดออกมานั้นง่าย แต่จะมีกี่คนที่ทำได้กัน?
หากคนแบบนี้มีเยอะจริงๆ มนุษยชาติย่อมไม่ต้องกลัวพวกถ้ำ เปิดสงครามกันไปตรงๆ เลย พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินฆ่าเขาแล้วค่อยว่ากัน!
เฉินอวิ๋นซีถามอีกครั้ง “งั้นทำไมเจ้าเมืองเทียนเหมินถึงฆ่าลูกสาวของอาจารย์ได้…”
ชายชราถอนหายใจ “ผู้แข็งแกร่งไม่ฆ่าผู้อ่อนแออย่างส่งเดช แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ฆ่าผู้อ่อนแอเลย! พวกเราเป็นแบบนี้ อีกฝ่ายก็เช่นกัน ปรมาจารย์บางส่วนของพวกเราข้ามผ่านเขตแดนของพวกเขาก็สังหารผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างระดับกลางไปบางส่วนเหมือนกัน ขอแค่ไม่ทำเกินไป ย่อมไม่มีใครว่าอะไร ทั้งปรมาจารย์ไม่ได้ตายง่ายๆ ขนาดนั้น แม้ขั้นเจ็ดจะเจอกับขั้นเก้าก็ไม่อาจถูกฆ่าในชั่วพริบตา เวลานั้นขั้นเก้าทั้งสองฝ่ายจะรับรู้ได้ ดังนั้นยอดฝีมือขั้นเก้าที่พยายามฆ่าขั้นเจ็ดขั้นแปดจึงจะถูกสกัด แต่ยอดฝีมือขั้นเก้าพลั้งมือฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างระดังกลางสองสามคน เดิมทีพวกเขาก็ไม่อาจรับรู้ เวลานั้นอธิการอู๋เป็นปรมาจารย์ ทั้งถือว่าโชคร้าย บังเอิญพบกับอีกฝ่ายพอดี หากพูดให้เห็นภาพหน่อย ลูกสาวของอธิการอู๋ไม่ได้ต่อสู้จนตัวตาย แต่เพราะโดนลูกหลงจากการต่อสู้ นี่ทำให้เธอตาย…”
ตาเฒ่าหลี่ที่อยู่ด้านข้างแค่นเสียงว่า “เดรัจฉานนั่นตั้งใจต่างหาก! เขาอยากฆ่าอธิการอู๋ จงใจซุ่มโจมตีพวกเรา! บอกว่าเพราะลูกหลง อันที่จริงก็เป็นความตั้งใจ อยากจะฆ่าพวกเราเพื่อให้กระทบกระเทือนกับความรู้สึกอธิการอู๋ ตอนนั้นอธิการอู๋เพิ่งจะกลายเป็นปรมารจารย์ไม่นาน ทำได้แค่ฝืนรับการต่อสู้ เดิมทีก็ไม่อาจแบ่งสมาธิมาสนใจพวกเราได้ แม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางอย่างพวกเราจะบาดเจ็บหนัก แต่ก็ไม่ได้ถูกฆ่าตายในทันที โต่วโต่วที่น่าสงสารนั้น…”
ตาเฒ่าหลี่เผยใบหน้าหม่นหมอง พวกเขาปกป้องคนอื่นไว้ไม่ได้
คนที่ปกป้องเธอได้ มีแค่อู๋ขุยซาน
แต่อู๋ขุยซานเองแทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ด ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของขั้นเก้าอยู่ดี
ปะทะกันแค่ครู่เดียว ขั้นเก้าจากเมืองความหวังก็เข้ามาช่วยเหลือ
แต่เวลาสั้นๆ แค่นั้นก็เปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิตของใครหลายคนแล้ว
โต่วโต่วจากไป หลู่เฟิ่งโหรวพังทลาย หลี่ฉางเซิงตัวเขาเองก็กลายเป็นคนไม่สมบูรณ์ ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างระดับกลางตายไปบางส่วน ได้รับบาดเจ็บหนักอีกบางส่วน และส่วนใหญ่ล้วนถูกทำลายพลังจิตใจ…
หลู่เฟิ่งโหรวกล่าวโทษอู๋ขุยซาน อันที่จริงในความคิดของหลายคนจะโทษอู๋ขุยซานไม่ได้
เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดคนหนึ่ง ฝืนต้านอีกฝ่ายไว้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว เวลานั้นเขาแทบไม่สามารถแบ่งสมาธิมาสนใจเรื่องอื่น
น่าเสียดายที่หลู่เฟิ่งโหรวไม่คำนึงถึงเรื่องพวกนี้ บางทีอาจเพราะไม่อยากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา หรืออาจคิดว่าหากอู๋ขุยซานสู้สุดตัว ลากอีกฝ่ายออกมาต่อสู้ให้ห่างไกลจากคนพวกนี้หน่อย ลูกสาวของเธอก็จะมีชีวิตรอด
ในสายตาของหลู่เฟิ่งโหรว อู๋ขุยซานตายในสนามรบดีกว่าลูกสาวตายเป็นไหนๆ บางทีเธออาจจะกล่าวโทษเพียงเพราะว่าอู๋ขุยซานไม่กล้าเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก
แต่ตกลงอู๋ขุยซานไม่กล้าเสี่ยงชีวิตหรือปลีกตัวออกมาไม่ได้ จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน
ทว่าลูกสาวของพวกเขาตายในถ้ำใต้ดินกลับเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
—
ตาเฒ่าหลี่ถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้นึกถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา นอกจากขุ่นเคืองเคียดแค้นแล้ว ก็เหลือแต่ความจนใจและไม่อยากยอมรับเท่านั้น
ไม่กลายเป็นขั้นเก้า จะมีหวังล้างแค้นได้ยังไง
หลู่เฟิ่งโหรวมุ่งมั่นจะแก้แค้น แม้เธอกลายเป็นปรมาจารย์ จะยังเป็นคู่ต่อสู้อีกฝ่ายงั้นเหรอ?
ไปครั้งแรก ยอดฝีมือมนุษยชาติอาจช่วยเธอได้
ครั้งที่สองก็อาจช่วยเหลือทัน
ครั้งที่สามครั้งที่สี่ ยั่วยุขั้นเก้าอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน หรือจะให้ขั้นเก้าของมนุษย์ปกป้องทุกครั้งได้?
พลังต่อสู้ของปรมาจารย์แนวหน้า สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือพลังสั่นสะเทือนขวัญ
ก่อสงครามขั้นเก้าบ่อยๆ สงครามใหญ่ทั้งโลกคงใกล้เข้ามาเร็วๆ นี้
ไม่ว่าจะเป็นหลู่เฟิ่งโหรวตาย รวมถึงพ่อของเธอ หรือกระทั่งอธิการอู๋ ล้วนถือเป็นความสูญเสีย
สำหรับหลู่เฟิ่งโหรว ทุกคนต่างรู้สึกซับซ้อนอย่างมาก
ด้านหนึ่งหวังให้เธอทะลวงด่านได้ มนุษยชาติจะได้มีปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกคน
อีกด้านกังวลว่าเธอทะลวงด่านแล้ว จะไม่มีใครจำกัดความเคลื่อนไหวของปรมาจารย์ผู้นี้ได้ง่ายๆ อีก
ทั้งสามคนไม่พูดอะไรอีก ด้านล่างนั้นมีเสียงเชียร์ดังขึ้นแล้ว
—
ในมือฟางผิงถือดาบยาว สวมเสื้อตัวนอกที่ปักอักษรหยวนฟาง สาวเท้าเดินเข้ามา
ฝูงชนเป็นฝ่ายแหวกทางออก ไม่มีใครกล้าเข้าไปเบียดข้างหน้า
อีกด้านหนึ่งหลิงอีอีถือขวานยาว ขวานนั้นขนาดไม่เล็กไปกว่าเธอ ถึงกระทั่งใหญ่กว่าด้วยซ้ำ
หานซวี่เรียกเธอว่าคนบ้าพลัง อาจเกี่ยวข้องกับอาวุธด้วยเช่นกัน
ฝูงชนแหวกทางออกให้เธอเหมือนกัน
หลิงอีอีชำเลืองมองฟางผิงแวบหนึ่ง รอจนเห็นฟางผิงหันกลับมา จู่ๆ ก็ยืดหน้าอกยั่วยุ
ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของฟางผิง เธอรู้เรื่องเช่นกัน ไม่ใช่คนดีอะไร
ฟางผิงหางตากระตุกเล็กน้อย อ้าปากส่งเสียงเบาๆ ทว่าหลิงอีอีกลับโมโหอย่างยิ่ง!
ผู้ฝึกยุทธ์หูดีกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
“เล็กเกินไป ต่อยไม่ถึง!”
นี่คือสิ่งที่ฟางผิงพูด
“ฟางผิง!”
หลิงอีอีกัดฟันกรอด ถลึงตามองฟางผิงอย่างดุดัน ยึดเอาคำพูดนี้แหละ วันนี้หากไม่ต่อยตีฟางผิงจนคุกเข่าร้องขอชีวิต เธอจะไม่เลิกราเด็ดขาด!
หานซวี่ที่อยู่ด้านข้างเผลอชำเลืองหน้าอกเธอไปแวบหนึ่ง
‘พลั่ก!’
หลิงอีอีฟาดมือเข้าที่หัวของเขาทันที แค่นเสียงว่า “เทอมหน้าฉันยังอยู่แค่ปีสามเท่านั้น ยังมีเวลาอีกสองปี ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะฉันได้ ก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวหน่อย!”
หานซวี่แทบจะกระอักเลือดออกมา ฉันไม่ได้เป็นคนพูดสักหน่อย?
แค่มองดูเท่านั้น ทั้งยังเล็กจริงๆ ด้วย จำเป็นต้องร้อนตัวออกมาก่อนด้วยหรือไง?
หลี่หานซงปวดหัวอย่างยิ่ง ตำหนิว่า “หุบปากให้หมด!”
หานซวี่กระอักเลือดอีกครั้ง เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ฉันยังไม่ได้อ้าปากเลยเถอะ!”
นายไปเอาหูจากไหนมาได้ยินคำพูดของฉันกัน?
หลิงอีอีตบฉัน ทำไมนายไม่เปิดปากพูด!
ปักกิ่งนับวันก็ยิ่งไม่เป็นท่าขึ้นเรื่อยๆ รู้แบบนี้ไปเซี่ยงไฮ้ยังจะดีกว่า ฟู่ชางติ่งหมอนั่นขลุกตัวใช้ชีวิตในเซี่ยงไฮ้ได้เป็นอย่างดี…
ไม่ได้เหมือนกัน!
ตัวปัญหาในเซี่ยงไฮ้ก็มีเยอะ ได้ยินว่าฉินเฟิ่งชิงเอาแต่ไล่ฟันคนทุกวัน ฟางผิงก็ไม่ได้รับมือง่ายๆ ยังมีพวกผู้หญิงบ้าคลั่งที่ตีเขาก่อนหน้านี้อีก…
คนที่อยู่อย่างสงบเสงี่ยมสมควรจะถูกรังแกหรือไง?
หรือฉันควรจะเป็นตัวสร้างปัญหาบ้าง?
หานซวี่เริ่มตั้งคำถามกับชีวิตตัวเองขึ้นมา ต้นปีนี้คนที่ทำตัวสงบเสงี่ยมมีชีวิตที่ไม่ดีนัก เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกสามครั้ง อยู่ในปักกิ่งกลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ บางทีอาจต้องเปลี่ยนสไตล์ใหม่แล้ว
ฟางผิง หมอนั่นรุ่งเรืองได้เพราะชอบต่อยตีผู้หญิง หรือเขาจะลองบ้างดี?
—
ฟางผิงที่อยู่ด้านหน้า เดินมาถึงพื้นที่โล่งที่มีการตระเตรียมให้นานแล้ว ตะโกนว่า “หลิงอีอี มาแล้วก็ออกมาประลองสิ หลบทำไมกัน!”
“ฉันหลบ?”
หลิงอีอีมีโทสะขึ้นมา กระโดดขึ้นในอากาศชั่วพริบตา ทุบขวานลงกับพื้นอย่างแรง พื้นดินนั้นแยกออกทันที!
“ฟางผิง นายไม่มีค่าพอที่จะประลองกับฉันด้วยซ้ำ คู่ต่อสู้ของฉันไม่ใช่นาย! แต่นายเป็นฝ่ายเดินมาหาถึงหน้าประตู รอต่อยตีจนพิการจนตายแล้ว อย่ามาโทษฉันว่าไม่ออมมือละกัน!”
“ตัวไม่ใหญ่ แต่วาจาเก่งกล้าดีนี่”
“นายกำลังยั่วโมโหฉัน!”
หลิงอีอีเผยใบหน้าเยือกเย็นขึ้นมา สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือคนอื่นล้อเลียนเรื่องร่างกาย ครั้งนี้ไม่ตีฟางผิงจนร้องหาแม่ อย่ามาเรียกเธอว่าหลิงอีอี!
ฟางผิงที่อยู่ตรงข้ามมีความมั่นใจเช่นกัน!
นอกจากกะโหลก ไขกระดูกทั่วร่างกายหลอมสำเร็จเป็นส่วนใหญ่แล้ว
เอาชนะหลิงอีอีไม่ได้ เรียกฉันว่าเป็นอัจฉริยะยังจะเปลืองน้ำลายเสียเปล่า!
——————–