บทที่ 139 คุกเข่าครั้งหนึ่ง (ต้น)
บทที่ 139 คุกเข่าครั้งหนึ่ง (ต้น)
เมื่อหลิงอวิ๋นผู้อยู่ด้านข้างเห็นว่าหญิงชราถึงขั้นหยิบเหรียญตราของสำนักรุ่งอรุณออกมา นางพลันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
หญิงชราผู้นี้คือบรรพชนเสวียนแห่งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ การที่นางกลายเป็นบรรพชนเสวียนได้ เหตุผลหลัก ๆ ก็เพราะนางครอบครองเหรียญตราของสำนักรุ่งอรุณเอาไว้นั่นเอง!
ส่วนเหรียญตรานี้ก็มีความพิเศษยิ่งนัก มันถูกเรียกว่าประกาศิตรุ่งอรุณ เป็นหนึ่งในสิบเหรียญตราผู้อาวุโสที่สำนักรุ่งอรุณเผยให้ประจักษ์สู่สายตาแผ่นดินหลัก
ในแผ่นดินนี้ ผู้ที่สามารถได้เหรียญตรานี้มาครอง จะได้เป็นผู้อาวุโสของสำนักรุ่งอรุณ พวกเขาสามารถดื่มด่ำกับทรัพยากรของสำนัก ได้รับการปกป้องจากสำนัก และในเวลาเดียวกัน ทางสำนักรุ่งอรุณจำเป็นต้องเข้ามาควบคุมการใช้งานเช่นกัน
นับตั้งแต่มีประกาศิตรุ่งอรุณ ทางสำนักรุ่งอรุณนั้นเคยเรียกระดมกำลังคนเพียงหนึ่งครั้ง มันคือช่วงเวลาเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ไม่ได้รับการหนุนหลังจากกองกำลังแก่กล้า ย่อมไม่อาจเพิกเฉยการปรนนิบัติและทรัพยากรที่ได้รับจากเหรียญตรานี้ได้!
ดังนั้น ทันทีที่ประกาศิตรุ่งอรุณปรากฏขึ้นมา ไม่อาจทราบได้ว่ามีกี่คนที่ต้องการแย่งชิงมัน!
ตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว เจ้าของประกาศิตรุ่งอรุณยังเป็นคนเดิม ไม่แปรเปลี่ยนมาเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี
หากตกไปอยู่ในมือของบุตรศักดิ์สิทธิ์วันนี้ เช่นนั้นเขาก็จะเป็นผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุด อีกทั้งยังเป็นผู้ครอบครองประกาศิตรุ่งอรุณที่อายุน้อยที่สุดเช่นกัน
หลิงอวิ๋นไม่คิดว่านี่เป็นของดีสำหรับลู่หยวน
ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด
ถึงแม้เขาจะเป็นคุณชายแห่งตระกูลลู่ เป็นนายน้อยแห่งสำนักอักขระสวรรค์ รากฐานการบ่มเพาะก็ยังอยู่แค่เทียมเซียน หากของเช่นนั้นตกอยู่ในมือ จะมีกี่คนที่หมายหัวเขากัน
ถึงตอนนั้น ย่อมต้องมีใครบางคนฉวยโอกาสสังหารเขา และช่วงชิงประกาศิตรุ่งอรุณมาครอง
สิ่งนี้จะทำให้สามารถเพลิดเพลินกับทรัพยากรจำนวนมากของสำนักรุ่งอรุณได้ แถมยังได้รับการปกป้องจากสำนักรุ่งอรุณอีกด้วย
สำนักรุ่งอรุณคือสำนักอันดับหนึ่งในแผ่นดินหลัก ภูมิหลังไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลลู่
หากลู่หยวนตายเพราะเหตุนี้ขึ้นมา มันจะนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างสำนักรุ่งอรุณกับตระกูลลู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงตอนนั้น หลายคนในแผ่นดินหลักจะต้องตายอย่างแน่นอน!
หลิงอวิ๋นกำลังจะส่งกระแสจิต เพื่อขอให้ชายหนุ่มปฏิเสธเหรียญตรา
ทว่าจากนั้น นางก็ได้ยินลู่หยวนถามหญิงชรา “ข้าได้ยินมาว่า เจ้ามีกระดานความเป็นความตายใช่หรือไม่?”
เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมา บรรพชนเสวียนพลันรู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์หมายความว่าอย่างไร
คุณชายลู่ไม่เพียงต้องการรับประกาศิตรุ่งอรุณเท่านั้น แต่ยังต้องการกระดานความเป็นความตายด้วย!
สิ่งที่บรรพชนเสวียนครอบครองคือความลับแห่งสวรรค์
ใช้วัดค่าชะตาของโลก คอยสังเกตสิ่งต่าง ๆ ในแผ่นดิน แล้วทำการฝึกฝนตามหลักการของธาตุทั้งห้า รวมถึงตัดสินดีชั่วในโลกหล้า
บรรพชนเสวียนเกิดมาพร้อมกับเส้นชีพจรอันลึกล้ำ ดังนั้นจึงสามารถสอดแนมความลับแห่งสวรรค์ได้หนึ่งถึงสองอย่าง ส่งผลให้นางเดินบนวิถีนี้ได้อย่างราบรื่น ส่วนกระดานความเป็นความตายคืออาวุธวิเศษที่นางหลอมผ่านการบ่มเพาะของตัวเองทีละขั้น
อาวุธวิเศษชิ้นนี้มีชีวิต เหนือกว่าของธรรมดาทั่วไป ต่อให้เป็นอาวุธระดับจักรพรรดิก็ไม่อาจเทียบเคียงได้!
บรรพชนเสวียนรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ นางพยายามอย่างหนักเพื่อหลอมกระดานความเป็นความตายนี้ขึ้นมา หากเสียมันไปตอนนี้ เช่นนั้นความพยายามแสนสาหัสหลายปีของนางจะเท่ากับสูญเปล่า!
ลู่หยวนยิ้มหยันออกมา “นี่คือความจริงใจของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
บรรพชนเสวียนเงียบไปสักพัก ในที่สุดก็หยิบกระดานความเป็นความตายออกมาส่งให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ด้วยหัวใจแทบหลั่งโลหิต ในอกเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่นางกล้ำกลืนฝืนทนไว้อย่างรวดเร็ว
หญิงชราใช้ชีวิตมาหลายปี นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งที่สามารถก้าวเข้าสู่ขั้นนี้ได้ด้วยความมุมานะ จนผู้อื่นคอยมอบของต่าง ๆ ให้อยู่เสมอมา แต่แล้วมาวันนี้ นางกลับต้องมอบของให้ผู้อื่นด้วยความนอบน้อม แถมยังต้องเค้นของเกือบทั้งหมดที่อยู่ก้นหีบออกมาให้อีก
นางย่อมโกรธเป็นธรรมดา แต่ไม่กล้าปฏิเสธ
หลังจากใช้ชีวิตมาจนปูนนี้ สิ่งที่กลัวมากที่สุดคือความตาย!
ด้วยรากฐานการบ่มเพาะในตอนนี้ ขอเพียงต้องการ แน่นอนว่าสามารถตบตีลู่หยวนจนตายได้ ต่อให้หลิงอวิ๋นขัดขวางนางในวันนี้ ก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้
แต่หลังจากฆ่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่แล้วจะเกิดอะไรขึ้น?
กลายเป็นผู้ลี้ภัยหรือ?
อย่าคิดให้เหนื่อยเลย ภายในสองก้านธูป นางจะต้องถูกตระกูลลู่พบตัว แล้วถูกเล่นงานจนตายอย่างแน่นอน!
เทียบกับความตายแล้ว ความมุมานะอุตสาหะเหล่านั้นไม่ได้สลักสำคัญแต่อย่างใด
ลู่หยวนสะบัดแขนเสื้อ เก็บของทุกชิ้นที่บรรพชนเสวียนมอบให้เมื่อครู่ไป
“แหม บรรพชนเสวียนช่างใจกว้างเสียจริง”
ไอเย็นเยือกบนใบหน้าของชายหนุ่มจางหายไปในที่สุด เขากลับมามีทีท่าเกียจคร้านดังเดิม
บรรพชนเสวียนรู้สึกโล่งอกเช่นกัน
ในที่สุดเจ้าเด็กนี่ก็พอใจแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าได้ข้อยุติเสียที
ทว่า… นี่มันแค่เรื่องเล็กน้อย ของของข้าใช่ว่าจะยอมรับผู้ถือครองใหม่โดยง่าย ต่อให้เจ้าเก็บไว้ ก็ต้องมีพลังมากพอจึงจะทำให้พวกมันยอมรับได้!
บรรพชนเสวียนฝืนยิ้มออกมา “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบบุตรศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่สามารถทำอะไรให้ได้มาก ของเล็กน้อยพวกนี้ หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจพวกมันจนเกินไป”
หากคนอื่นมาได้ยินคำพูดของหญิงชราเข้า พวกเขาทุกคนต้องพากันจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้างแน่นอน
ประกาศิตรุ่งอรุณเป็นของเล็กน้อย?!
กระดานความเป็นความตายเป็นของชวนรังเกียจ?!
สองสิ่งนี้ ไม่ว่าชิ้นไหนไปอยู่บนแผ่นดินหลัก ย่อมดึงดูดผู้คนมากมายให้มาช่วงชิงอย่างแน่นอน!
“หึ”
ลู่หยวนเก็บหอกยาวในมือ กลับมายืนเอามือไพล่หลัง ไม่คิดมีเรื่องกับบรรพชนเสวียนอีก “ในเมื่อเจ้าเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว เรื่องในวันนี้ ขอแค่คุกเข่าหนึ่งครั้ง ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน”
พอหญิงชรากำลังจะผ่อนคลาย นางกลับตึงเครียดขึ้นมาในฉับพลัน พร้อมกับสีหน้าเคร่งขรึม
คุกเข่าหนึ่งครั้งหรือ?!
นางเป็นคนใหญ่คนโต นอกจากสวรรค์กับครอบครัวแล้ว นางไม่เคยคุกเข่าให้ผู้ใดมาก่อน!
ลู่หยวนผู้นี้กล้าดีอย่างไร!
จิตสังหารก่อตัวขึ้นในใจของบรรพชนเสวียน
หลังจากปล้นของไปมากขนาดนี้มันก็ควรจบแล้วไม่ใช่หรือ?
นี่ยังจะมาทำให้นางดูเหมือนคนโง่ต่อหน้าผู้คนมากมายอีก?!
ใช่ นางกลัวตาย ถึงต้องยอมจำนนต่อเจ้าหนุ่มผู้นี้… ยอมประจบสอพลอลู่หยวน!
ทว่าหากต้องมาคุกเข่าต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ มันแย่ยิ่งกว่าความตายเสียอีก!
“ลู่หยวน ข้าปฏิบัติกับเจ้าเป็นอย่างดีขนาดนี้ หวังว่าจะรู้จักผิดชอบชั่วดีบ้าง!”
ทุกคำพูดของบรรพชนเสวียนทั้งสงบและเดือดดาล เปี่ยมด้วยจิตสังหาร ราวกับพร้อมที่จะสังหารอีกฝ่ายทุกเมื่อ
หลิงอวิ๋นผู้อยู่ด้านข้างบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเช่นนี้ รูม่านตาก็หดลงเช่นกัน นางไม่เข้าใจ เขาได้ของไปมากมายขนาดนี้แล้วน่าจะผ่อนปรนบ้าง ทำไมครั้งนี้ถึงได้ขออะไรแบบนั้นกัน?!
การทำเช่นนี้มีแต่จะกระตุ้นจิตสังหารของบรรพชนเสวียน หาใช่เรื่องที่ดีต่อเขาไม่!
พลังรอบข้างกำลังพวยพุ่ง ค่อย ๆ แผ่มาทางลู่หยวน
ทว่าชายหนุ่มไม่หวาดกลัว ยังคงยืนเอามือไพล่หลัง มองบรรพชนเสวียนด้วยสายตาเฉยชา
ครั้งนี้หลิงอวิ๋นก้าวมาข้างหน้า ยืนอยู่เบื้องหน้าบุตรศักดิ์สิทธิ์ และขัดขืนจิตสังหารของบรรพชนเสวียนแทนเขา
บรรพชนหอกยกมือขึ้นคารวะ “บรรพชนเสวียน ข้าเองก็นับว่าเป็นอาจารย์สำนักของลู่หยวนเช่นกัน หลังจากเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาจะต้องเชื่อฟังข้า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดระหว่างท่านกับเขา”
“ต้องขอขอบคุณบรรพชนเสวียนที่มอบความเมตตายิ่งใหญ่ให้ แถมยังมอบของหลายสิ่งหลายอย่างให้ ตอนนี้ความเข้าใจผิดได้รับการคลี่คลายแล้ว ทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อย เชิญบรรพชนเสวียนไปพักผ่อนเถอะ!”