บทที่ 164 สมาพันธ์ทะเลคราม
บทที่ 164 สมาพันธ์ทะเลคราม
ลู่หยวนและอวี๋ฉู่พุ่งทะยานผ่านท้องฟ้า ผ่านไปสักพัก พวกเขาก็เข้าสู่ยอดเขา ครั้งนี้ไม่ทราบว่าเฉิงไท่ไปอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มจึงพาอวี๋ฉู่ไปที่ลานบ้านขนาดเล็กของฉินอี่หาน
หลังจากนางสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของบุตรศักดิ์สิทธิ์มาถึงยอดเขาแล้ว นางจึงเริ่มทำอาหาร
ลู่หยวนและอวี๋ฉู่นั่งลงในลานบ้าน
ทันทีที่นั่งลง บุตรศักดิ์สิทธิ์ถามว่า “สืบเรื่องของลูกน้องหลี่เจียงหนานไปถึงไหนแล้ว?”
อวี๋ฉู่ลอบกลอกตาอยู่ในใจ เจ้าเด็กคนนี้ไม่มีความสุภาพเอาเสียเลย เขามองตนเป็นผู้พิทักษ์จริง ๆ!
เมื่อไม่ได้ยินคำตอบในทันทีของคู่สนทนา ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วขึ้นแทนการถามย้ำ อวี๋ฉู่จึงตอบว่า “ตรวจสอบมาแล้ว คนเหล่านี้ไปทำธุระในแดนมัชฌิม”
“ทำธุระหรือ?”
ลู่หยวนพลันยิ้มออกมา “ฉลาดไม่เบา ถึงกับรู้วิธีรวมตัวตนเข้ากับแดนมัชฌิม เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา”
อวี๋ฉู่นิ่งสักพัก จากนั้นกล่าวว่า “แต่ข้าเกรงว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าว่า พวกเขาไม่ใช่แค่ลูกน้องของตระกูลขนาดเล็ก”
“โห? แล้วท่านได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพวกเขามาล่ะ?”
“ไม่มี”
อวี๋ฉู่ส่ายหน้า “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าพวกเขาไปทำธุระที่ไหน?”
แน่นอนว่าลู่หยวนไม่ทราบ
ผู้มีสมญาพระพุทธองค์กล่าวว่า “พวกเขาพากันเข้าไปในสำนักของสมาพันธ์ทะเลคราม ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะทำงานแค่พอถูไถเท่านั้น แต่เท่าที่ข้าสังเกตดู หนึ่งในพวกเขาอาจจะกำลังเข้าสู่สมาพันธ์ทะเลครามเพื่อรับหน้าที่บางอย่าง”
เมื่อเห็นชายหนุ่มสับสน อวี๋ฉู่ก็รู้ในทันที เจ้าเด็กคนนี้รู้เรื่องแดนมัชฌิมไม่มากนัก
“สมาพันธ์ทะเลครามนี้คือกองกำลังในเมืองหลวงแดนมัชฌิม ตั้งแต่ก่อตั้งมาจนถึงตอนนี้ เวลาก็ล่วงเลยมาหนึ่งร้อยปี ถึงแม้เทียบกับตระกูลสำนักที่ฝังรากลึกบางส่วนแล้ว พวกเขาจะไม่สะดุดตาเท่าไหร่ แต่พวกเขาสามารถรวมกองกำลังกันทางส่วนตะวันออกของแดนมัชฌิม ซึ่งมีกองกำลังมากมายรวมตัวกันอยู่ได้”
“แม้วันนี้พวกเขาจะไม่ใช่กองกำลังอันดับหนึ่งของแดนตะวันออก แต่ก็ยังทรงพลัง คาดว่าในอีกสิบปีข้างหน้า พวกเขานี่แหละจะเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งในแดนมัชฌิม”
“ยิ่งกว่านั้น ข้ายังพบอีกว่าเมื่อหลายปีก่อน มีกองกำลังจำนวนมากหนุนหลังสมาพันธ์ทะเลครามแห่งนี้ด้วย”
“กองกำลังที่เป็นผู้นำคือตระกูลหลิงแห่งแดนมัชฌิม!”
เมื่อลู่หยวนได้ยินดังนี้ เขาก็อดที่จะหรี่ตาไม่ได้
ตระกูลหลิงแห่งแดนมัชฌิมหรือ?
นี่มันตระกูลของหลิงอวิ๋นไม่ใช่หรือไง?
ชายหนุ่มถามว่า “ปกติแล้วกองกำลังนี้ทำอะไร?”
สีหน้าของคนฟังแข็งทื่อ จากนั้นกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ดูเหมือนจะเป็นการค้าบางอย่าง รายได้น้อย ยอดขายสูง ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
ชายหนุ่มจับทุกการเคลื่อนไหวของอวี๋ฉู่เมื่อครู่ได้ เขายืดหลังขึ้น นั่งขัดสมาธิ พลางเผยสีหน้าเกียจคร้านออกมา “ตามที่ท่านว่ามา สมาพันธ์ทะเลครามแห่งนี้คือหอการค้าใช่หรือไม่?”
อวี๋ฉู่พยักหน้า
“หอการค้าเป็นเพียงแค่ฉายาเท่านั้น หากเทียบความสามารถของสมาพันธ์ทะเลครามในการเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งทางตะวันออกของแดนมัชฌิม มันก็เป็นเพียงหอการค้าขนาดเล็กไม่ใช่หรือ?”
ลู่หยวนพยักหน้า ครุ่นคิดสักพัก จากนั้นกล่าวว่า “กองกำลังจำนวนมากคอยหนุนหลัง แต่ถ้าพวกเขาไม่ทำให้มันใหญ่ขึ้น จนถึงขั้นกลายเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งทางตะวันออกของแดนมัชฌิม ข้าเกรงว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากดึงดูดความสนใจของใคร”
“ในสมาพันธ์ทะเลครามแห่งนี้ ทุกคนต่างทำเรื่องสกปรกที่จะให้ใครเห็นไม่ได้”
ชายหนุ่มยิ้มอ่อน มองอวี๋ฉู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ท่านเพิ่งบอกว่า ในบรรดาคนที่อยู่กับหลี่เจียงหนาน มีอยู่คนหนึ่งที่จะก้าวเข้าประตูของสมาพันธ์ทะเลครามสินะ”
“ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังอะไร ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะเปิดประตูแล้วแทรกซึมเข้าไปได้เร็วขนาดนั้น ถึงอย่างไรสำหรับกองกำลังแล้ว ส่วนใหญ่แล้วคนนอกเชื่อใจไม่ได้ การให้คนนอก เข้ามาแทรกซึมเร็วขนาดนี้ สำหรับพวกเขา มันเป็นผลเสียมากกว่าผลดีด้วยซ้ำ”
“แต่ว่า กองกำลังแบบนั้นมันก็มีอยู่ ไม่ว่าจะสถานะ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ขอเพียงทำภารกิจสำเร็จมากเพียงพอ ก็สามารถก้าวเข้าสู่ประตูดังกล่าวได้”
“ที่นี่จะต้องเป็นแหล่งกบดานของพวกลอบสังหารแน่นอน!”
อวี๋ฉู่เงยหน้าขึ้น มองมาทางลู่หยวนด้วยแววตาซับซ้อน เจ้าเด็กน้อยคนนี้ ทั้งที่อายุอานามก็น้อยแท้ ๆ แต่กลับมีความคิดความอ่านไม่เลว
ถึงแม้จะอายุแค่สิบเจ็ดปี แต่กลับสงบนิ่งและมีจิตใจที่คนทั่วไปยากจะมีได้
อดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ปกปิดความคิดทั้งหมดในแววตาไว้ “บางครั้งข้าก็คิดว่า เจ้าไม่น่าจะอายุสิบเจ็ดปี แต่เป็นเจ็ดร้อยปีมากกว่า”
“ข้าพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยค ก็ตีความได้ขนาดนี้แล้ว”
“เป็นความจริงอย่างที่เจ้าว่า แก่นแท้ของสมาพันธ์ทะเลคราม คือสมาพันธ์ลอบสังหาร ผู้ที่เข้าร่วมกองกำลังดังกล่าวล้วนเป็นยอดฝีมือที่รับภารกิจลอบสังหาร พวกเขาหลายคนจึงอยู่ในสมาพันธ์ทะเลครามสักพักเพื่อความสะดวกสบาย ถือว่าเป็นการหาฉากหน้ามาช่วยปกป้องตัวเองนั่นแหละ”
อวี๋ฉู่พลันยิ้มออกมา “เรื่องนี้ ข้ามาพบเข้าตอนประจำตำแหน่งเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมองออกง่ายดายขนาดนี้”
ลู่หยวนขมวดคิ้วพลางมองคู่สนทนา “เรื่องแบบนี้ถึงขั้นต้องเค้นสมองเชียวหรือ?”
มุมปากของคนฟังกระตุก เขากำลังจะชมอีกฝ่าย แต่คาดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะเย้ยหยันถึงเพียงนี้!
อวี๋ฉู่สูดหายใจเข้าหลายครั้ง ก่อนจะระงับโทสะที่เพิ่งก่อตัวขึ้นในใจลงได้
“แต่มีหลายสิ่งที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้ ตระกูลหลิงนับว่าเป็นตระกูลโดดเด่นในแดนมัชฌิม หากพูดในแง่ทรัพยากรแล้วพวกเขาน่าจะเพียงพอ เช่นนั้นทำไมพวกเขาต้องไปรวมกับกองกำลังอื่น เพื่อทำการสนับสนุนสมาพันธ์ลอบสังหารด้วย?”
ความจริงที่ตระกูลหลิงเป็นผู้ก่อตั้งสมาพันธ์ลอบสังหาร ในสายตาของลู่หยวน มันดูไม่คุ้มเท่าไหร่นัก
ถึงอย่างไรหากเสียตัวตนนี้ไป มันจะเป็นที่สะดุดตาของผู้คนในโลก
อดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ว่ามีรายชื่อลอบสังหารกี่คนถูกแปะไว้ในสมาพันธ์ทะเลคราม เขาไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ตายเพราะกองกำลังนั้น
หากสมาชิกตระกูลของผู้ถูกสังหารทราบว่าเหตุทั้งหมดเป็นเพราะสมาพันธ์ทะเลครามที่ก่อตั้งโดยตระกูลหลิง พวกเขาอาจจะจับกระบี่ขึ้นมา แล้วพร้อมเทหมดหน้าตัก
ยิ่งกว่านั้น สมาพันธ์ลอบสังหารทำแต่เรื่องลับ ดังนั้นชื่อเสียงจึงไม่สู้ดีมากเช่นกัน อย่างมากก็ได้เพียงทรัพยากรจำนวนมากเท่านั้น
ด้วยสถานะของตระกูลหลิง พวกเขาจะมาเสี่ยงเพื่อทรัพยากรแค่นี้ไปทำไม?
สายตาของอดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์หลุบต่ำก่อนจะยกมือ ชั้นโล่สีทองปรากฏขึ้นมาล้อมรอบพวกเขาทั้งสองเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ชนิดที่เสียงไม่มีทางเล็ดลอดออกไปข้างนอกได้
น้ำเสียงของอวี๋ฉู่จริงจังยิ่ง “เจ้าน่าจะรู้ว่า มีเพียงสามคนที่อยู่ในตระกูลหลิงสายหลัก ซึ่งประกอบไปด้วยบรรพชนเฒ่าตระกูลหลิงที่เก็บตัวมาสามร้อยปี ประมุขตระกูลหลิงคนปัจจุบัน และสุดท้ายก็อาจารย์สำนักของเจ้า หลิงอวิ๋น!”
“บรรพชนเฒ่าตระกูลหลิง ตามที่ข้าคาดเดา น่าจะอยู่ในสภาพตายไปครึ่งหนึ่ง เกรงว่าคงไม่สามารถก้าวเข้าสู่การเก็บตัวได้อีก หรือก็คือ เขาได้ล่วงลับไปแล้ว”
“เส้นชีพจรหลักของตระกูลหลิงเหือดแห้งถึงเพียงนี้ ก็เพราะตระกูลหลิงคือตระกูลที่สืบทอดชะตาของบรรพชนหอกจากมหาสงครามเมื่อสามแสนปีก่อน”
อวี๋ฉู่เม้มริมฝีปาก ดวงตาหลุบต่ำก่อนถอนหายใจ
“ที่จริงในช่วงสงครามเมื่อสามแสนปีก่อน ข้ารู้สึกว่า มันไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่โลกจดจำไว้ ตอนนี้ข้ารู้เพียงแค่ว่า บนแผ่นดินนี้ กองกำลังของตระกูลหลายคนได้สืบทอดชะตาของยอดฝีมือจำนวนมากในช่วงสงครามเมื่อสามแสนปีก่อน”