บทที่ 230 ตระกูลชิว
บทที่ 230 ตระกูลชิว
ลู่หยวนไม่รู้จักชายผู้นี้ ขณะที่ลูกแก้วส่องสวรรค์หมุนช้าลง เงาดังกล่าวก็เลือนหายไปทีละน้อย
ผู้นั่งขัดสมาธิคล้ายกับสัมผัสบางสิ่งได้ จึงเงยหน้าขึ้น…
ใบหน้าประหนึ่งท่อนไม้ที่ตายแล้วปรากฏในเงามืด มันเต็มไปด้วยรอยแผลยาวดูน่าสยดสยอง
ดวงตาคู่นั้นเป็นสีขาวโพลน ไม่มีร่องรอยนัยน์ตาดำ
“ชิวสิง! มันคือชิวสิง มันยังไม่ตาย!”
น้ำเสียงเดือดดาลดังขึ้นภายในจิตเทวะของลู่หยวน… มันมาจากเจิ้งชิงเทียน!
บุตรศักดิ์สิทธิ์หรี่ตามองคนตรงหน้า… ชิวสิงคือคนจากเมื่อสามแสนปีก่อน!
แม้แต่ผู้ที่อยู่ขั้นเทพยุทธ์ก็ไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวได้ขนาดนั้น!
หากก้าวเข้าสู่ขั้นเทพยุทธ์แล้วทะลวงขั้นสู่สวรรค์ได้ ย่อมสามารถออกจากแผ่นดินนี้และมุ่งสู่แดนเซียนได้ เหตุใดเขาถึงยังอยู่กับตระกูลชิว?!
ความสงสัยทั้งหลายเกาะกุมหัวใจของลู่หยวน
ขณะเงาสลายไปทีละน้อย เสวียนเทียนชวนนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็นด้วยใบหน้าซีดเซียว หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อไหล
ส่วนร่างของบรรพชนเสวียนสลายไปในการสังเวยเมื่อครู่
ลูกแก้วส่องสวรรค์หยุดหมุนก่อนจะหายไปในอากาศ ทำให้ดาราจักรรอบข้างผันผวน
“นายท่าน” เสวียนเทียนชวนส่งเสียงอย่างยากลำบาก “รีบออกไปกันเถอะ ดาราจักรแห่งนี้กำลังจะสูญสลายในไม่ช้า”
ลู่หยวนสะกดความสงสัยทั้งหลายเอาไว้ในใจ และเดินออกมาพร้อมกับชายบนรถเข็น
หลังออกจากห้องโถงหลัก ยันต์สีทองพลันเคลื่อนไหวไปมา ก่อนทุกสรรพสิ่งจะกลับสู่ความสงบ
การเปิดใช้งานลูกแก้วส่องสวรรค์ต้องใช้พลังมหาศาล บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงปล่อยให้นักพยากรณ์ส่วนตัวได้พักฟื้นร่างกาย จากนั้นจึงมุ่งหน้ากลับยอดเขาหอก
ระหว่างทาง ลู่หยวนอยากสนทนากับเจิ้งชิงเทียน ทว่าหอคอยอสูรสวรรค์อยู่ในสภาวะพักฟื้น ไม่สามารถเข้าไปได้ เขาจึงทำได้เพียงรอให้การพักฟื้นสิ้นสุดพลางคิดเรื่องแผนการต่อไป
…
ลู่หยวนกลับมาถึงห้องโถงหลักของยอดเขาหอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทุกสิ่งที่เห็นเมื่อครู่เหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง เดิมทีเขาเข้าใจว่าตระกูลชิวจะเหมือนกับตระกูลชั้นสูงอื่น
ผ่านมาสามแสนปีจนวิถีคุณธรรมกลายเป็นวังวนแห่งความขัดแย้ง แม้อีกฝ่ายจะมีหน้าตาในตระกูลชิวจากการทรยศ แต่ตระกูลอื่นหาได้ปล่อยให้ลูกหลานคนทรยศเหลือมากมายเช่นนี้
ถ้ามีคนบอกว่า ชิวสิงยังไม่ตาย แถมยังดำรงตำแหน่งอยู่ในตระกูลชิว เช่นนั้นทุกสิ่งที่เขาได้เห็นในวันนี้ก็สมเหตุสมผล
ผู้อยู่ขั้นอมตยุทธ์และขั้นเทพยุทธ์
รวมถึงสัตว์เทพที่ติดตามเด็กทั้งหลาย
บอกได้เลยว่าภูมิหลังของตระกูลชิวนับว่าไม่ธรรมดา!
ยามคิดถึงตรงนี้ ลู่หยวนกะพริบตา พลางยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม หากได้ทุกสิ่งที่ตระกูลชิวครอบครองมา เช่นนั้นภูมิหลังของเขาย่อมต้องแข็งแกร่งขึ้น!
ส่วนวิธีนำมรดกของตระกูลชิวมาเป็นของตนนั้น ชิวชิงหลีกับฉู่เชิ่งคือหนทางที่ดีที่สุด!
ในบรรดาตระกูลชิว ร่างจำนวนมากพุ่งทะยานมุ่งหน้าสู่ยอดเขาที่สูงที่สุด
เพียงไม่กี่อึดใจ ร่างทั้งหลายก็ยืนอยู่นอกถ้ำบนยอดเขา
หัวหน้ากลุ่มคือชายผู้หนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงในเงามืดของตำหนัก
ผู้คนทั้งหลายคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำด้วยความเคารพ โดยไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้น
ผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังมาจากภายในถ้ำ “ชิวเซี่ยวเทียน เจ้าทราบหรือไม่ว่าเมื่อครู่มีใครบางคนตรวจสอบตระกูลชิว”
เสียงน่าเกรงขามลอยเข้าหูของผู้คนทั้งหลาย ผู้ฟังจึงก้มตัวลงให้ต่ำ
ชิวเซี่ยวเทียนผู้เป็นหัวหน้าพลันหลั่งเหงื่อเย็นออกมา และตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ท่านบรรพชนอย่าได้กังวล ข้าได้ออกคำสั่งให้คนปิดล้อมทั่วทั้งพื้นที่ เพื่อทำการสอบสวนอย่างเข้มงวดแล้ว!”
“ไม่จำเป็น” เสียงแหบพร่าดังขึ้นอีกครา “พลังที่เข้ามาตรวจสอบนี้อาจเป็นของอาวุธวิเศษที่แปลกประหลาดมาก หากข้าจำไม่ผิดมันน่าจะชื่อว่าลูกแก้วส่องสวรรค์”
“ลูกแก้วส่องสวรรค์หรือ?”
ชิวเซี่ยวเทียนผงะชั่วขณะ ก่อนจะระดมข้อมูลขึ้นมา “ลูกแก้วส่องสวรรค์เป็นของยอดเขาวิถีเร้นลับแห่งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์! ท่านบรรพชน ท่านอยากตรวจสอบหรือไม่?”
ภายในถ้ำเกิดความเงียบ เวลาผ่านไปทีละน้อย ไม่ทราบได้ว่าผ่านไปนานเพียงใด
ภายหลังเสียงข้างในจึงดังขึ้น “ชิวชิงหลีอยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ?”
ชิวเซี่ยวเทียนพยักหน้า “ขอรับ หลีเอ๋อร์อยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์”
เสียงแหบพร่าดังขึ้น “รับคำสั่งจากข้า จงไปตรวจสอบนางเสีย”
รูม่านตาของผู้ฟังพลันหดลง “ท่านบรรพชน! ชิงหลีไม่มีวันอาจหาญใช้ลูกแก้วส่องสวรรค์ตรวจสอบบรรพชนของตนอย่างแน่นอน!”
ไม่ว่าชิวเซี่ยวเทียนจะเอ่ยเพียงใด ก็ไม่มีเสียงขานรับจากในถ้ำ
ผ่านไปสักพัก คนที่เหลือทยอยลุกขึ้น ใบหน้าของพวกเขาประดับด้วยรอยยิ้ม
หากเรื่องดังกล่าวมีมูลจริง ชิวชิงหลีย่อมไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้สืบทอดแห่งตระกูลชิว!
เมื่อนั้นลูกหลานของพวกเขาย่อมสามารถชิงตำแหน่งดังกล่าวได้!
ชายชุดเทาผู้หนึ่งคลี่ยิ้ม “ท่านประมุข ท่านบรรพชนได้ถ่ายทอดคำสั่งให้ทำการตรวจสอบแล้ว เหตุใดท่านไม่เรียกลูกน้องของตนกลับมา แล้วให้พวกข้าส่งคนไปทำหน้าที่แทนเล่า จะได้หลีกเลี่ยงการลักลอบปกปิดความผิดไปในตัวด้วย ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
ใบหน้าของชิวเซี่ยวเทียนมืดมน เขาลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าพร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะแต่ก็สะกดมันเอาไว้
“น้องสามไม่ต้องห่วง คนของข้าพร้อมใจถอยกลับมาอยู่แล้ว แต่การตรวจสอบคราวนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ทุกตระกูลสาขาจะต้องส่งคนมาทำหน้าที่”
ชายชุดเทาพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว!”
“แต่ว่านะท่านประมุข หากท่านพบอะไรขึ้นมา อย่าได้ใจอ่อนเป็นอันขาด!”
ชิวเซี่ยวเทียนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “แน่นอนอยู่แล้ว!”
สิ้นคำ… เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
คนที่เหลือเหลือบมองแผ่นหลังของท่านประมุขจนลับสายตา พวกเขาพยายามไม่เผยรอยยิ้มออกมา ไม่นานก็จากไปคนแล้วคนเล่า หลายคนมุ่งหน้าลงจากยอดเขา ก่อนจะเริ่มสนทนาเรื่องแผนการ
“ชิวเซี่ยวเทียนจะต้องแอบส่งข่าวเป็นแน่!”
“ทุกท่าน หากพวกเราเจอบางอย่างขึ้นมา ย่อมเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย พวกเราควรพยายามอย่างสุดความสามารถ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
หลายคนขบคิดพักใหญ่ ทันใดนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็เป็นฝ่ายลุกขึ้น แล้วเอ่ยว่า “เกรงว่าหากตรวจสอบชิวชิงหลีโดยตรงจะไม่พบเบาะแสอะไร ถึงอย่างไรสาวน้อยผู้นี้ก็เป็นคนระแวดระวัง นางไม่มีทางทำอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน”
คนที่เหลือพากันพยักหน้า พวกเขาเฝ้ามองสาวน้อยผู้นี้ตั้งแต่เล็กจนโต จึงไม่แปลกที่จะทราบนิสัยใจคอของนาง หากสาวน้อยผู้นี้ทำบางอย่างแล้วต้องการปิดบังจากผู้อื่น ก็ย่อมปกปิดมิดชิดเป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้น พวกเราควรตรวจสอบอย่างไร?”
หลายคนขบคิดอย่างเงียบ ๆ ผ่านไปหลายอึดใจ ผู้อาวุโสสามพลันหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าเคยได้ยินมาว่า ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ มีคนผู้หนึ่งที่นางเคารพศรัทธาอยู่!”
คนที่เหลือชำเลืองมองมา สายตาของพวกเขาเผยความสงสัยใคร่รู้ เรื่องเช่นนั้นพวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นเพียงขยะที่ไม่มีภูมิหลังตระกูล ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงเป็นที่นับถือของสาวน้อยผู้นี้ ในเมื่อพวกเราไม่สามารถหาอะไรจากชิวชิงหลีได้ เหตุใดไม่เพ่งเล็งไปที่เจ้าหนุ่มอีกคนแทนเล่า”
“เด็กน้อยผู้ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ขอเพียงมอบผลประโยชน์ให้เสียหน่อย มีหรือจะไม่ยอมปริปาก?”
สิ้นคำ หลายคนต่างคลี่ยิ้มออกมา “งั้นเริ่มกันเลย!”