บทที่ 302 ชิวเฟิงจู้สูญเสียอย่างใหญ่หลวง
บทที่ 302 ชิวเฟิงจู้สูญเสียอย่างใหญ่หลวง
คำพูดของฮ่วนซิงไป๋ลอยเข้าหูของชิวเฟิงจู้
มุมปากของนางที่ยกยิ้มเมื่อครู่พลันโค้งต่ำ ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นด้วยสายตาเย็นเยือก
เจ้าเด็กคนนี้หลอกข้างั้นหรือ?!
ฮ่วนซิงไป๋ยังคงเผยรอยยิ้มหยันขณะก้าวถอยหลัง แล้วจงใจเอ่ยด้วยเสียงอันดัง “เจ้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
“เจ้ายังอยากจะเอาชนะข้างั้นหรือ?!”
ไม่ไกลนัก ทหารรักษาการณ์ในพระราชวังหลายคนที่ติดตามฮ่วนซิงไป๋มา สะบัดง้าวขณะที่จับจ้องด้วยสายตาดุดัน ราวกับพวกเขาจะเข่นฆ่าโดยไม่สนความปลอดภัยของตัวเองทันทีที่ได้รับคำสั่ง
ชิวเฟิงจู้ย่อมไม่ใส่ใจรากฐานการบ่มเพาะของทหารรักษาการณ์เหล่านี้ ต่อให้พวกเขาร่วมมือกัน นางก็ยังบดขยี้จนตายได้ในชั่วพริบตา
แต่นางทำเช่นนั้นไม่ได้!
คนเหล่านี้คือทหารรักษาการณ์แห่งวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม!
การสังหารพวกเขาเท่ากับเป็นการตบหน้าฉวนจงจนนำไปสู่การยั่วยุทั่วทั้งแดนมัชฌิม!
ชิวเฟิงจู้เชื่อว่าตระกูลชิวไม่มีกำลังมากพอที่จะต่อกรกับแดนมัชฌิม!
นางสูดหายใจเข้าแล้วสะกดความกังวลทั้งหลายไว้ภายในใจ “ฝ่าบาทเข้าใจผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันจะกล้าอาจหาญกับท่านได้อย่างไร?”
ฮ่วนซิงไป๋ปฏิเสธที่จะให้อภัย “เช่นนั้นสายตาเมื่อครู่ของเจ้าคืออะไร?”
ทหารรักษาการณ์ที่เหลือต่างถือง้าวแล้วเดินมาหาอีกฝ่าย
มุมปากของชิวเฟิงจู้กระตุกสองครั้งพลางอธิบาย “หม่อมฉันแก่แล้ว สายตาก็เลยไม่ดี ฝ่าบาทเข้าใจผิดแล้ว”
“แก่งั้นหรือ?”
ฮ่วนซิงไป๋หรี่ตาขณะมองชิวเฟิงจู้
แม้นางจะแก่ชราตามที่กล่าวอ้างจริง แต่ก็ยังนับว่ามีเสน่ห์ไม่เบา
หากมองแวบแรก นางก็คล้ายมีอายุไล่เลี่ยกับป้าของฮ่วนซิงไป๋ จึงไม่ดูแก่ขนาดนั้น
เขามองรูปลักษณ์ของชิวเฟิงจู้ราวกับกำลังตรวจสอบทุกซอกทุกมุม
เขาเดาะลิ้นแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “แก่ไปหน่อย”
จากนั้นเขาก็จ้องมองไปยังชิวเฟิงจู้แล้วส่ายหน้า ราวกับยังมีความเห็นอีกมากมายอยู่ในใจ
เนื่องจากชิวเฟิงจู้สะสมโทสะไว้ในใจ นางจึงต้องหลับตาเพื่อปกปิดอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้
นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง จึงเป็นธรรมดาที่จะให้ความสนใจกับรูปลักษณ์ แต่เพราะเมื่อครู่รีบเร่งเกินไป จึงไม่ทันใคร่ครวญให้ถ้วนถี่
เดิมที นางคิดว่าฮ่วนซิงไป๋จะไม่ต่อบทสนทนา แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้จะถึงกับออกความเห็นเช่นนั้น
เมื่อชิวเฟิงจู้หลับตา มุมปากของนางก็โค้งต่ำขณะที่มองนางด้วยสายตาสงบยิ่ง
แต่เพียงชั่วครู่ ริมฝีปากของฮ่วนซิงไป๋ก็ปรากฏรอยยิ้มประชดประชัน
ตอนนี้เอง!
มือขวาของฮ่วนซิงไป๋ซึ่งอยู่ในชุดคลุมพลันสั่นไหว บางสิ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
เขานำออกมาดูเล็กน้อยจนรับรู้ว่ามันคือยันต์ ซึ่งลายมือที่เขียนอยู่ในนั้นไม่สม่ำเสมอนัก แต่พอจะสัมผัสได้ถึงคำว่า “กลับ” ดังนั้นจึงกำฝ่ามือแล้วเก็บมันไป
ผ่านไปหลายอึดใจ ชิวเฟิงจู้ก็เงยหน้าขึ้น โทสะของนางถูกสะกดเอาไว้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนฮ่วนซิงไป๋ก็กลับมามีรอยยิ้มอย่างคนมีภูมิฐาน “เจ้ายังมีอะไรจะถามอีกหรือไม่?”
ชิวเฟิงจู้ทราบว่าวันนี้ไม่อาจถามอะไรเพิ่มได้อีกแล้ว จึงส่ายหน้าแล้วยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเงียบงัน
ฮ่วนซิงไป๋ส่งเสียงอื้มแล้วสะบัดแขนเสื้อ “ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องขอตัวก่อน”
เมื่อสิ้นคำ เขาก็ไม่รอช้าอีกต่อไป ก่อนจะนำกลุ่มทหารรักษาการณ์พระราชวัง ตรงไปที่ลานบ้าน
เมื่อมาถึงด้านนอก ฮ่วนซิงไป๋เข้าสู่รถม้าหยกทันทีแล้วสะบัดมือ “ไป!”
ทหารรักษาการณ์ตอบรับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
สัตว์ประหลาดทั้งเก้าตัวขยับร่างกาย สะบัดหางแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
ผ่านไปสักพัก ร่องรอยก็อันตรธานหายไป
ชิวเฟิงจู้สับสนเล็กน้อย เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงรีบร้อนจากไป?!
ผู้ชมด้านนอกย่อมไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่วนซิงไป๋ถึงรีบจากไป ราวกับเกรงว่าตระกูลชิวจะไล่ตามทัน!
ผ่านไปหลายอึดใจ ชิวเฟิงจู้จึงก้าวออกจากบ้าน เพิ่งพ้นประตูไม่ทันไร ทั่วทั้งร่างของนางก็แข็งทื่อ
เดี๋ยวนะ!
นางเพิ่งเรียกฮ่วนซิงไป๋ให้มาดูดาบยาวมังกรพลัดถิ่นไม่ใช่หรือ?!
แล้วดาบยาวอยู่ไหน?!
ชิวเฟิงจู้พลันหันกลับไปขณะที่กระจายพลังไปทั่วทุกซอกทุกมุมของบ้าน แต่กลับไม่มีร่องรอยของดาบยาวมังกรพลัดถิ่น!
นางแน่นิ่งสักพัก พลันหันหลังกลับแล้วเงยหน้ามองไปทางที่อีกฝ่ายหายไป
“ฮ่วนซิงไป๋!”
ชิวเฟิงจู้กัดฟัน!
ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดฮ่วนซิงไป๋ถึงได้รีบจากไป!
เพราะเจ้าเด็กคนนี้ชิงดาบยาวมังกรพลัดถิ่นไป!
รวมถึงยันต์เมฆาม่วง!
ชิวเฟิงจู้ครุ่นคิดอย่างถ้วนถี่ นี่ไม่เท่ากับขโมยไก่ไม่ได้ แต่ยังเสียข้าวสารอีกกำมือหรอกหรือ!
ไม่เพียงไม่ได้ข่าวคราวเท่านั้น แต่ยังสูญเสียดาบยาวระดับจักรพรรดิกับยันต์เมฆาม่วงที่หาได้ยากในรอบศตวรรษ!
หลังจากชิวหลิงจัดการทุกอย่างเสร็จก็กลับมาหาชิวเฟิงจู้ นางพบว่าอีกฝ่ายยืนตัวสั่นอยู่ที่ด้านหนึ่งของบ้าน สีหน้าไม่ต่างจากคนจมน้ำ ทั้งหมองหม่นและน่าสะพรึงกลัว
ชิวหลิงหยุดนิ่ง คำพูดยังติดอยู่ที่ลำคอ
เมื่อเข้าใกล้ชิวเฟิงจู้ นางก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นเยือกรอบข้าง ทำให้ลำคอตีบตันจนต้องลอบกลืนน้ำลาย
ชิวเฟิงจู้ชำเลืองมองมาพลางเค้นคำพูดออกมาจากลำคอ “มีอะไร?”
สิ้นคำพูด พลังแห่งวิถีคุณธรรมจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นข้างกายของชิวเฟิงจู้ โดยก่อตัวเป็นกระบี่ยาวอยู่รอบข้าง ทำให้ทั่วทุกพื้นที่ถูกสะกดเอาไว้
ชิวหลิงถูกพลังนี้กดทับจนต้องก้มลง ซึ่งทะเลลมปราณในร่างเริ่มโคจรไปมาอย่างรวดเร็วเพื่อต้านทานแรงกดดันของอีกฝ่าย
แต่เมื่อเทียบระดับการบ่มเพาะของชิวเฟิงจู้กับชิวหลิง ย่อมไม่ต่างจากเมฆาและโคลนตม
ชิวหลิงเริ่มไร้เรี่ยวแรงจนเหงื่อเย็นผุดซึมที่หน้าผาก เมื่อกำลังจะต้านไม่ไหว นางจึงเค้นเรี่ยวแรงที่เหลือออกมาแล้วตะโกน “ท่านอาเฟิงจู้!”
ในที่สุดชิวเฟิงจู้ก็กลับมามีสติก่อนจะคลายแรงกดดัน ทำให้ชิวหลิงหายใจได้สะดวก
ชิวหลิงนั่งนิ่งอยู่บนพื้น หลังจากหายใจอยู่พักใหญ่ จึงเริ่มรายงานสิ่งที่เพิ่งจัดการให้อีกฝ่ายฟัง
“ตัวหมากแต่ละคนที่ถูกวางเอาไว้ได้รับแจ้งแล้ว กลุ่มที่ถอนตัวได้กำลังเตรียมการอยู่ ส่วนกลุ่มที่ฝังตัวลึกเข้าไปแล้ว หากถอนตัวตอนนี้จะยิ่งทำให้น่าสงสัย ข้าจึงตัดสินใจให้ประจำการไปก่อน พวกเขาต่างน้อมรับแต่โดยดี เพียงท่านอาสั่งการด้วยตัวเองเท่านั้นจึงจะถอนตัวได้!”
“ส่วนกลุ่มที่มาจากตระกูลหลิง…”
ชิวหลิงลังเลที่จะเอ่ย
“พูดมา”
ชิวเฟิงจู้เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
ชิวหลิงสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนกัดฟันแล้วบอกเล่าเรื่องราว “ข้าติดต่อคนที่ตระกูลหลิงไม่ได้!”
“หมายความว่าอย่างไรที่ว่าติดต่อไม่ได้?!”
ชิวเฟิงจู้เบือนหน้าหนีด้วยสายตาเย็นชา “คราวที่แล้วตอนมอบหมายงานให้ทำ เจ้าตกปากรับคำ แต่ตอนนี้กลับบอกว่าติดต่อไม่ได้งั้นหรือ?!”
ตัวหมากที่ฝังอยู่ในตระกูลหลิงสำคัญยิ่ง จะเกิดความผิดพลาดขึ้นไม่ได้!
“ข้าเพิ่งส่งคนไปสอบถาม จึงทราบว่าตระกูลหลิงปิดประตูสนิท ไม่ยอมให้ใครเข้าออก!”
“ว่ากันว่า… เป็นหลิงอวิ๋นที่กลับมาตระกูลหลิง และดูเหมือนว่าตระกูลเจียงบางส่วนจะอยู่กับตระกูลหลิงด้วย”
ชิวเฟิงจู้หรี่ตา
ตระกูลเจียงกับตระกูลหลิงทะเลาะกันมาเนิ่นนานเพราะเรื่องพิธีหมั้นหมาย
เรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่มันใหญ่โตกว่าที่ผ่านมา
“เช่นนั้นก็ปล่อยไปก่อน แล้วส่งคนไปจับตาดู ทันทีที่ตระกูลหลิงเปิดประตู ก็หาทางแจ้งคนในนั้นให้ทราบ!”
“น้อมรับเจ้าค่ะ!”
ชิวหลิงประสานมือตอบก่อนจะรีบถอยกลับไป