บทที่ 314 มหาวิถีสีทอง
บทที่ 314 มหาวิถีสีทอง
เสวียนเทียนชวนมองแผนที่แดนมัชฌิม “เมื่อใดมีความผิดปกติก็ต้องมีสัตว์ประหลาด ในกรณีของชิวเสวียน จะต้องมีบางอย่างผิดปกติไม่ผิดแน่!”
“ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องของเขาในตอนนี้ ข้าจะให้กุ่ยซู่นำกำลังคนไปลอบค้นหาทีหลัง หากคว้าเขามาอยู่ในมือได้ เช่นนั้นตระกูลชิวก็จะมีพันธะเพิ่มขึ้นอีกอย่าง!”
เสวียนเทียนชวนหยิบตัวหมากสีขาวและดำสองสามตัวที่กระจายอยู่ข้างกายมาถือไว้ในมือ จากนั้นเอ่ยกับฉินอี่หานว่า “ครั้งนี้จะต้องมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแดนมัชฌิมไม่ผิดแน่ ข้าอยากทำนายมหาโชคชะตาเสียหน่อย อาจต้องใช้เวลาสองสามวัน”
ฉินอี่หานย่อมเข้าใจว่าเสวียนเทียนชวนหมายถึงอะไร จึงพยักหน้า “เจ้าจัดการได้เลย ตอนนี้ตระกูลชิวติดพันเรื่องอื่นอยู่ ไม่อาจก่อปัญหาได้ ข้าจะจับตาดูพวกเขาให้เอง”
เสวียนเทียนชวนถือตัวหมากเอาไว้ แล้วเริ่มเคลื่อนรถเข็นไปทางห้องมืดที่อยู่ด้านข้าง
สายตาของฉินอี่หานเบนกลับมามองแผนที่บนโต๊ะเพื่อทำการคาดเดาบางอย่างต่อไป
…
ใต้หินหลอมเหลว
ลู่หยวนตามโครงกระดูกขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า เขาไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ทุกสิ่งตรงหน้ายังคงไม่มีการแปรเปลี่ยน
อูโจ้วมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงตามลู่หยวนไปโดยอาศัยกลิ่นอาย
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม โครงกระดูกก็หยุดนิ่ง ลู่หยวนกับอูโจ้วก็หยุดลงเช่นกัน
ปากขนาดใหญ่ของโครงกระดูกประหลาดที่ยังคงมีเนื้อหนังติดอยู่พลันขยับ เพลิงสวรรค์บนร่างของจักรพรรดินีที่อยู่บริเวณหัวใจของมันยิ่งทรงพลัง พลังของพวกมันพวยพุ่งขึ้นขณะพุ่งขึ้นสู่ปาก
เพลิงสวรรค์รวมตัวกันในปากของมัน ทันใดนั้น ของเหลวทั้งหมดที่อยู่เบื้องล่างหินหลอมเหลวก็ม้วนกลับ
วิ้ง!
โครงกระดูกพลันสยายปีก ทำให้หินหลอมเหลวทั้งหมดเริ่มตกลงมาเบื้องล่าง
ทว่าเพียงไม่กี่อึดใจ หินหลอมเหลวส่วนใหญ่ต่างเลือนหาย สรรพสิ่งตรงหน้าจึงไม่ถูกรบกวนอีกต่อไป
ทันทีที่อูโจ้วกลับมามองเห็น เขาก็เห็นโครงกระดูกขนาดใหญ่ตรงหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
แต่เมื่อมองอย่างละเอียด สายตาของเขากลับเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
รูปลักษณ์ของสัตว์ประหลาดตรงหน้าเหมือนกับที่นายท่านอธิบายไว้เลยไม่ใช่หรือ?!
“พาหนะของราชันมารหรือ?!”
อูโจ้วค่อยเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา “แต่ว่า… เป็นไปไม่ได้!”
พาหนะของราชันมารที่อูโจ้วเพิ่งกล่าวถึงเป็นเพียงสิ่งที่เคยได้ฟังมา แต่สิ่งที่มีขนาดใหญ่นี้กลับปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำให้เขาตกตะลึงเล็กน้อย
พูดให้ถูกก็คือหากการต่อสู้เกิดขึ้นทั่วทั้งแผ่นดินหลัก พาหนะของราชันมารย่อมไม่มีโอกาสรอด!
สัตว์เทวะทั้งหลายถูกนำมาประกอบเข้าด้วยกัน ก่อนกลายเป็นพาหนะของราชันมาร มันคือความอัปยศอย่างยิ่งต่อเผ่าสัตว์เทวะทั้งหมด!
เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้ พาหนะตัวนี้น่าจะถูกฝูงสัตว์เทวะเหล่านั้นสังหารจนไม่เหลือร่องรอย
แต่สิ่งนี้กลับปรากฏตรงหน้าในสภาพที่ยังมีชีวิต!
อูโจ้วกลืนน้ำลาย “นายท่าน มันคือของจริงอย่างนั้นหรือ?!”
ลู่หยวนไม่ตอบ เขาเพียงมองปากขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป มันเต็มไปด้วยกระดูกสีขาวที่มีเพลิงสวรรค์รวมตัวกัน พลังของมันคลุ้มคลั่งและรุนแรง
ศีรษะวิหคเพลิงเงยขึ้น ทำให้เพลิงสวรรค์ที่รวมตัวกันอยู่ในปากทะยานสู่ท้องนภา
ตู้ม!
ประกายไฟขนาดใหญ่กระจายไปทั่วท้องนภา จากนั้นก็ระเบิด ทำให้พวกมันกระจัดกระจายไปทั่วผืนปฐพี
วูบ! วูบ! วูบ!
เสียงทุ้มต่ำแปลกประหลาดดังขึ้นทั่วทุกหนแห่งขณะพื้นที่แกนกลาง ซึ่งคอยแบกแผ่นดินเอาไว้เริ่มสั่นสะเทือน
พื้นดินเริ่มแตกสลาย จากนั้นก็ร่วงหล่นสู่หินหลอมเหลว เหลือเพียงความว่างเปล่า
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
แผ่นดินพังทลาย พลันตกลงสู่หินหลอมเหลวเบื้องล่าง
ประกายไฟเหล่านั้นที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นพลันรวมตัวกันอีกครั้งบริเวณใจกลาง
บริเวณใจกลางของประกายไฟ อักขระลึกลับก็ปรากฏขึ้นในอากาศ
ลู่หยวนหรี่ตาเพราะอักขระตรงหน้าเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง หลังจากครุ่นคิดสักพักก็นึกขึ้นได้ มันคือลวดลายพิเศษของเผ่าวิหคเพลิง!
ประกายไฟนับพันยังคงกระแทกเข้าใส่ลวดลายซึ่งอยู่ใจกลาง ทุกครั้งที่พวกมันกระแทกใส่ พลังก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
หลังจากประกายไฟเคลื่อนผ่าน ลวดลายซึ่งเป็นของวิหคเพลิงก็ส่องแสงเจิดจ้า!
แสงสีแดงร้อนแรงประหนึ่งดวงอาทิตย์พลันสาดส่องไปทั่วทั้งพื้นที่
ยามนี้ฟ้าดินคล้ายกับนิ่งงัน ผ่านไปหนึ่งอึดใจ ปราณวิญญาณรอบข้างเริ่มหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่ง แรงกดดันอากาศที่ทรงพลังก็พุ่งออกมาจากอักขระ ขณะกระจายไปทั่วหล้า!
สายลมพัดอย่างรุนแรง ทำให้ทรายและธุลีที่เกิดจากก้อนหินแตกสลายเหล่านั้นหายไป
แม้สายลมแรงกล้ากวาดผ่าน แต่ลู่หยวนยังคงยืนนิ่ง สายตาของเขามองไปทางอักขระเรืองแสงตั้งแต่ต้นจนจบ
ทันใดนั้น วังไฉ่ก็ส่งเสียงร้องแผ่วเบามาจากแขนของเขาดุจกำลังตอบรับบางสิ่ง
แม้แต่แผ่นศิลาที่ลู่หยวนประทับลวดลายสัตว์เทวะทั้งสามไว้ก็เริ่มสั่นไหวในจิตเทวะ
ก๊อง!
เสียงดังกังวานดุจระฆังกระจายไปทั่วทั้งสวรรค์ทั้งเก้าชั้น หมู่เมฆนับไม่ถ้วนเคลื่อนลงมาจากท้องนภา โดยมีหมู่เมฆสีดำปกคลุมทีละชั้นราวกับพยายามรวบรวมฟ้าดินทั้งหมดเข้าด้วยกัน
สายฟ้าสีม่วงเคลื่อนไปมาตามเมฆา ทั้งเสียงฟ้าร้องยังคงดังกึกก้อง
ตอนนี้โครงกระดูกสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่เงยหน้าขึ้น!
สายตาของลู่หยวนมองตาม ก่อนพบลำแสงสีทองเคลื่อนลงมาจากพื้นที่ ซึ่งถูกปกคลุมโดยชั้นกลุ่มเมฆสีดำ
แสงสีทองเคลื่อนผ่านลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า ก่อนจะตรงเข้าสู่หน้าสัตว์ประหลาด
ทันใดนั้น!
แสงสีทองสั่นสะท้านไปทั่วร่าง แล้วกลายเป็นมหาวิถีอันกว้างใหญ่
มหาวิถีทอดยาวจากเบื้องล่างตรงสู่ท้องนภา ซึ่งมีประตูสวรรค์ค่อย ๆ เปิดออกท่ามกลางเมฆาสีดำ
ภาพมายาสีทองยืนอยู่รอบประตูสวรรค์
ภาพมายาเหล่านี้มีรูปทรงแตกต่างกัน แม้มองเห็นรูปลักษณ์ได้ไม่ชัดเจน แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงความเป็นอมตะ
หากผู้ใดมาเห็นภาพนี้เข้า พวกเขาอาจถึงขั้นคุกเข่ากับพื้นแล้วตะโกนให้กับเผ่าเทพและเซียน
ลู่หยวนไม่ขยับ เพียงจดจ่ออยู่กับสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่
อูโจ้วไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน เมื่อกำลังจะเอ่ยบางอย่าง เขาพลันรู้สึกถึงพลังบางอย่างพวยพุ่งขึ้นจากข้างใน
ร่างของเขาสั่นสะท้านพร้อมร่างที่แตกสลายของคุนเผิงปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง!
ร่างของมันสูญสิ้นปราณวิญญาณไปแล้ว จึงเป็นเพียงซากศพเดินได้
แม้อูโจ้วจะเป็นตัวตนที่สามารถควบคุมสิ่งที่อยู่ในโลกปรภพได้ แต่เขาไม่เคยเผชิญกับสิ่งที่ถูกอัญเชิญขึ้นมาเลยสักครั้ง แต่คราวนี้มันกลับปรากฏตรงหน้า
ลู่หยวนเหลือบมองมา เห็นว่าร่างของคุนเผิงเงยหน้ามองประตูสวรรค์ในท้องนภา ปากของมันอ้ากว้างราวกับกำลังจ้องมองบางสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
โฮก!
โครงกระดูกสัตว์ประหลาดซึ่งอยู่ไกลออกไปพลันสยายปีกแล้วแผดเสียงคำราม ก่อนบินตรงสู่มหาวิถีสีทอง
ร่างของคุนเผิงผู้ติดตามอูโจ้วพลันขยับ ซึ่งร่องรอยพลังของมันบนร่างก็ระเบิดออก ทำให้อากาศรอบข้างเกิดแสงวาบ เพียงพริบตามันก็มาถึงด้านข้างของมหาวิถีนั้น