บทที่ 338 หลอมขนวิหคเพลิงแท้จริง
บทที่ 338 หลอมขนวิหคเพลิงแท้จริง
เนี่ยอิ่งสัมผัสได้ว่าโลกกำลังพังทลายเมื่อเข้าสู่ดินแดนลับ เขามองเห็นปราณวิญญาณสองกลุ่ม ดุจเสาค้ำท้องนภาอยู่ไกลลิบ
สายตาของเขาพลันเย็นชา
ดีมาก คนผู้นี้ยังอยู่!
เนี่ยอิ่งระดมพลังรอบกายแล้วทะยานออกไปไกล
…
ลู่หยวนนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางพลังมาร กลิ่นอายพลังของเขาเข้าปกคลุมขนวิหคเพลิงแท้จริงทั้งสามเส้นและหลอมรวมพวกมันด้วยกัน
เพียงไม่กี่อึดใจ ขนนกนั้นก็ถูกหลอมก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีทอง แล้วทะยานเข้าสู่หว่างคิ้วของลู่หยวน
วิ้ง!
กลิ่นอายวิหคเพลิงทะยานออกมาจากร่างของลู่หยวน โดยทะลุผ่านพลังมารซึ่งปกคลุมร่างของเขาไว้ มันส่งเสียงดังสนั่นก่อนมุ่งตรงสู่ท้องนภา!
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งถ้วยชา ขนวิหคเพลิงแท้จริงเส้นที่สองก็ถูกหลอมเช่นกัน
เมื่อแสงสีทองเปล่งประกาย พลังวิหคเพลิงบนร่างของลู่ก็แผ่ออกมาเช่นกัน
หมู่เมฆที่แยกตัวออกไปกว่าครึ่งเคลื่อนไหวอีกครั้ง ท้องนภากลายเป็นสีแดงร้อนแรงชั้นแล้วชั้นเล่า ดูวิจิตรงดงาม!
เมื่อลู่หยวนเตรียมจะหลอมขนวิหคเพลิงแท้จริงเส้นที่สาม
ทันใดนั้น!
กระบี่หนักเล่มหนึ่งพลันทะลวงเข้าม่านป้องกันของพลังมาร
หลังจากม่านพลังมารถูกโจมตี สายตาของลู่หยวนพลันมืดมนขณะเนตรเทวะเบิกขึ้น แรงกดดันโบราณเคลื่อนลงมาหยุดกระบี่เอาไว้
เมื่อกระบี่หนักถูกหยุดเอาไว้ พลังอันคุ้นเคยก็ทะยานออกมาจากมัน พร้อมทั้งกวาดผ่านลู่หยวน ก่อนจะฟันใส่ขนวิหคเพลิงเส้นสุดท้ายเป็นสองส่วน!
พลังของขนวิหคเพลิงแท้จริงซึ่งเหลือเพียงครึ่งเดียวยังคงหมุนวนและกำลังจะสลายไป
ลู่หยวนขมวดคิ้ว ก่อนยื่นมือขวาคว้าพลังนั้นเอาไว้
เมื่อมือของลู่หยวนกำลังจะสัมผัสขนวิหคเพลิงแท้จริงที่เหลือเพียงครึ่งเดียว แขนข้างหนึ่งพลันยื่นออกมา แผ่พลังห่อหุ้มไว้เพื่อหยุดการกระทำของเขา
ขณะที่แขนยื่นออกมา พลังซึ่งโคจรอยู่รอบขนวิหคเพลิงแท้จริงพลันแข็งแกร่งขึ้น ก่อนร่างหนึ่งจะปรากฏขึ้นมา
“จิ่วเฟิ่งหรือ?”
ลู่หยวนขมวดคิ้ว ร่างตรงหน้าเขาคือจิ่วเฟิ่งผู้เพิ่งจะต่อสู้กับราชันมารมาอย่างดุเดือด!
ร่างของจิ่วเฟิ่งดุจภาพมายา พลังบนร่างของนางไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนก่อนราวกับจะหายไปได้ทุกเมื่อ
จิ่วเฟิ่งสูดลมหายใจแล้วกำมือขวา ทำให้ปราณวิญญาณทั้งหมดซึ่งอยู่รอบข้างมารวมตัวกัน จากนั้นก็เคลื่อนเข้าหาลู่หยวนพร้อมกับหมัดของนาง
ลู่หยวนก้าวถอยหลัง ทำให้หมัดอีกฝ่ายโดนเพียงอากาศ
เมื่อปราณวิญญาณพลาดเป้า พวกมันจึงพุ่งลงมาบดขยี้พื้นดิน
หลังจากจิ่วเฟิ่งเหวี่ยงหมัดออกไป เงาเลือนรางเริ่มแตกสลายทีละน้อย
นางหันมามองลู่หยวน พร้อมเปิดปากสบถออกมา “บัดซบ ข้าละเกลียดเผ่ามารเป็นที่สุด!”
ลู่หยวนขมวดคิ้วขณะที่พลังรอบข้างเคลื่อนลงไป แล้วบดขยี้เงาที่เหลืออยู่ของจิ่วเฟิ่ง
จังหวะที่เกิดการโจมตี ขนวิหคเพลิงแท้จริงซึ่งเหลือเพียงครึ่งเดียวก็หลุดพ้นจากพลังมาร ก่อนจะทะยานเข้าสู่ร่างของจักรพรรดินีอย่างบ้าคลั่ง
วาบ!
แสงสีทองเปล่งออกมาจากร่างของจักรพรรดินี สายลมแรงกวาดผ่านหินหลอมเหลวบนพื้น ก่อนจะกลืนกินร่างของนางบนพื้นอย่างไร้ร่องรอย
ลู่หยวนมองพลังซึ่งสั่งสมอยู่ตรงช่องว่างบนพื้น แล้วเอ่ยว่า “ชีวิตของจักรพรรดินีไม่ถูกตัดขาดหรือ…”
สิ้นคำ เขาก็หลอมขนวิหคเพลิงแท้จริงซึ่งเหลืออีกครึ่งส่วน
[แจ้งเตือนจากระบบ: ขนวิหคเพลิงแท้จริงได้รับการหลอมแล้ว!]
[แจ้งเตือนจากระบบ: ท่านต้องผ่านภัยพิบัติอัสนีเพื่อพัฒนาการบ่มเพาะ! ภัยพิบัติอัสนีจะมาถึงในสามวัน ขอให้ท่านเตรียมตัว!]
[แจ้งเตือนจากระบบ: ขีดจำกัดสูงสุดของระดับการบ่มเพาะเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติอัสนี!]
“ภัยพิบัติอัสนีหรือ?”
เมื่อนั้นลู่หยวนก็จำได้ว่าคนที่ทะลวงขอบเขต พวกเขาต้องอดทนต่อภัยพิบัติอสนี
แต่เขามีระบบอยู่กับตัว กอปรกับช่วงที่ทะลวงระดับสูงก่อนหน้านี้ก็ไม่พบภัยพิบัติอัสนี ดังนั้นจึงคิดไปว่าตัวเองไม่มีภัยพิบัติดังกล่าว
ก่อนจะทันคิดไปมากกว่านี้ เขาก็สัมผัสได้ว่าโลกภายนอกเริ่มพังทลายราวกับไม่สามารถแบกรับพลังได้อีกต่อไป
เมื่อพลังมารของลู่หยวนหายไป เขาก็เห็นเจิ้งชิงเทียนกับสือจิ่วยืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน พวกนางกัดฟันขณะยันร่างอยู่กับที่
ใบหน้าของทั้งสองซีดเผือดขณะที่ร่างสั่นเทา ราวกับทนไม่ไหว
ลู่หยวนยื่นมือออกไป พลังมารพลันก่อตัวขึ้นเพื่อค้ำจุนโลกเอาไว้ ทำให้เจิ้งชิงเทียนและสือจิ่วมีเวลาพักหายใจ
หอคอยอสูรสวรรค์ปรากฏขึ้นทันทีเพื่อดึงพลังทั้งสองชนิดเข้ามาข้างใน
ลู่หยวนส่งหอคอยไปอยู่ข้างกายอูโจ้วพร้อมกับวาดยันต์ในมือ แล้วค่ายกลอันซับซ้อนก็ปรากฏที่ใต้เท้า ชั่วพริบตาต่อมา เขาก็หายไป
ตู้ม!
เมื่อไร้กำลังในการค้ำจุน โลกก็เริ่มพังทลายในบัดดล
ในที่สุด เนี่ยอิ่งก็เข้าใกล้จุดที่เคยมีใครบางคนอยู่ก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงกลิ่นอายมารที่กำลังพวยพุ่ง เพียงพริบตาเดียว ฟ้าดินพลันเคลื่อนลงมาจนทำลายพวกมันสิ้น
ชั่วพริบตาต่อมา!
ลู่หยวนกลับมาสู่แดมัชฌิม
[แจ้งเตือนจากระบบ: ท่านใช้ยันต์เคลื่อนย้ายพริบตา ค่าโชคชะตาวายร้ายลดลง 2,000!]
[ค่าโชคชะตาที่เหลืออยู่ในตอนนี้: 32,000!]
อูโจ้วผู้ร่อนลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัยก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เขาพบว่าสถานที่ตรงหน้าคือห้องโถงใหญ่
ภายในนั้นเต็มไปด้วยโต๊ะและเก้าอี้หรูหรา
“นายท่าน ที่นี่ที่ไหนขอรับ?”
อูโจ้วถามด้วยความสงสัย
เขาอยู่แต่ในโลกปรภพมาเกือบทั้งชีวิต จึงไม่เคยเห็นสถานที่เช่นนี้มาก่อน
“แดนมัชฌิม”
ลู่หยวนตอบเสียงราบเรียบขณะที่เริ่มมองรอบข้าง
เขาเพียงอยากใช้ยันต์เคลื่อนย้ายไปยังจวนตระกูลหลิง
ถึงอย่างไร ทุกคนที่อยู่ใต้อาณัติเขาต่างรวมตัวกันอยู่ที่ตระกูลหลิง มันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะจะมารวมตัว
แต่ลู่หยวนไม่ทราบว่าตัวเองเคลื่อนย้ายมาอยู่ส่วนไหนของจวนตระกูลหลิง
เขาเพียงรู้สึกว่าห้องโถงแห่งนี้ดูเหมือนกับห้องนอน
ห้องโถงแห่งนี้มีขนาดใหญ่ แต่กลับมีเพียงโต๊ะและเก้าอี้ไม้ ซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยชั้นหนังสือจำนวนมาก พวกมันทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยหนังสือโบราณ
ไม่ไกลกันนั้นมีฉากกั้นตั้งอยู่ ซึ่งด้านหลังมองเห็นสิ่งที่เหมือนกับเตียงได้ราง ๆ
ภายในห้องโถงมีกลิ่นหอมเจือจางอบอวลอยู่ในอากาศ ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายใจไม่น้อย
ลู่หยวนรู้สึกเหนื่อยล้าเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลง
จากนั้นเขาก็เอนกายพิงหมอน ก่อนถามอูโจ้วว่า “เกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับตระกูลชิว?”
อูโจ้วยิ้มแล้วรีบวิ่งมาคุกเข่าตรงหน้าลู่หยวน แล้วอธิบายเรื่องราวระหว่างตนกับตระกูลชิวให้ฟัง
กลายเป็นว่าอูโจ้วสืบทอดมรดกของเผ่าสาปมาร แล้วใช้ชีวิตอยู่ในโลกปรภพโดยไม่ย่างกรายออกมาอีก
แต่วันหนึ่ง มีร่างมายาหนึ่งปรากฏกายที่ทางเข้าของโลกปรภพ
ร่างนั้นพบอูโจ้วแล้วบอกว่าจะช่วยพาออกไป
แต่อูโจ้วกลับเมินเฉยจนร่างมายายื่นข้อเสนอเป็นรางวัลจำนวนมาก โดยบอกว่าเขาอยากทำข้อตกลงกับอีกฝ่าย
ข้อตกลงก็คือให้อูโจ้วควบคุมซากศพในโลกปรภพแล้วเข้าสู่ดินแดนลับผ่านเส้นทางที่ร่างมายาเปิดให้ เพื่อหาทางเอาขนวิหคเพลิงแท้จริง!
หากการร่วมมือเป็นไปอย่างราบรื่น รางวัลก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น!
ลู่หยวนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้ “รางวัลหรือ? เป็นรางวัลแบบไหน?”
ใบหน้าของอูโจ้วแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย “แค่ก ๆ นายท่าน ข้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แค่ก ๆ ข้าก็อยากมีภรรยาบ้าง!”
ลู่หยวนยิ่งขมวดคิ้ว “ก็แล้วรางวัลที่ตระกูลชิวบอกว่าจะมอบให้คืออะไร?”
อูโจ้วชูสามนิ้วพร้อมยิ้มกว้างจนเห็นเหงือก “เขาบอกว่าจะยกภรรยาให้ข้าสามคน!”