บทที่ 347 ชิงลงมือก่อน
บทที่ 347 ชิงลงมือก่อน
ท่ามกลางตระกูลหลิงในแดนมัชฌิม ลู่หยวนกับเสวียนเทียนชวนอยู่ในลานบ้าน โต๊ะหินเบื้องหน้าพวกเขามีแผนที่ของแดนมัชฌิมกางอยู่
ตัวตนของกองกำลังน้อยใหญ่ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดบนแผนที่
ไกลออกไปจากพวกเขาทั้งสองคือวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม
พลังอันมหาศาลแผ่ออกมาจากวังจักรพรรดิ ดึงดูดความสนใจของผู้คน
เสวียนเทียนชวนชำเลืองมองไกลออกไป จากนั้นหยิบกระบี่วิถีโลกาและภาพร่างค่ายกลให้ลู่หยวนดู ก่อนเอ่ยว่า “นายท่าน เรื่องนี้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
ลู่หยวนรับกระบี่และร่างค่ายกลใหม่มา พลางเอ่ยอย่างสงบ “ผู้เสียชีวิตมีจำนวนมากหรือไม่?”
เสวียนเทียนชวนเอ่ยว่า “เรียนนายท่าน มีผู้เสียชีวิตสามคน บาดเจ็บเก้าสิบสามคนขอรับ!”
เขาพึงพอใจกับผลการเสียชีวิตนี้
เสวียนเทียนชวนชำเลืองมองภาพโครงสร้างของค่ายกลที่ลู่หยวนวาดบนโต๊ะหิน แล้วหัวใจก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์
เขายิ่งรู้สึกว่าการจงรักภักดีต่อลู่หยวนเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุด!
ค่ายกลที่ทำงานในครั้งนี้มีชื่อว่าค่ายกลผันแปรเก้านภาชาด!
ค่ายกลนี้คือตัวตนของวิชาต้องห้าม!
วิชาต้องห้ามนี้ได้สืบทอดมาจากที่ใดไม่ทราบเป็นเวลามาช้านาน แต่มันกลับปรากฏในโลกขึ้นอีกครั้งด้วยปลายพู่กันของลู่หยวน!
เสวียนเทียนชวนได้เป็นสักขีพยานต่อภาพร่างของอีกฝ่าย ขณะเขียนกำกับสิ่งที่ต้องระมัดระวังในแต่ละทิศทาง
การสร้างค่ายกลนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากต้องการวาดโครงสร้างให้สำเร็จ ย่อมต้องจ่ายในราคาที่สมน้ำสมเนื้อ
เสวียนเทียนชวนระดมกำลังทหารทั้งสามร้อยคน พละกำลังของพวกเขาเหนือกว่าขั้นครึ่งก้าวเทียมเซียน!
ทั้งสามร้อยคนมีเผ่าภูตผีส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นเผ่าวิญญาณเสียมากกว่า!
หลังจากรวบรวมกองกำลังเหล่านี้ขึ้นมาได้ ค่ายกลจึงเสร็จสมบูรณ์!
เมื่อวาดค่ายกลเสร็จ ลู่หยวนจึงถ่ายทอดคำสั่งให้กระบี่วิถีโลกาตั้งอยู่ในค่ายกล แล้วพลังแห่งวิถีคุณธรรมก็ปรากฏขึ้นก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
เสวียนเทียนชวนใช้วิถีลึกลับเป็นตัวเปลี่ยนทิศทางของพลัง เพื่อบังคับให้โจมตีวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม!
เป็นเพราะค่ายกลนี้ที่ทำให้วังจักรพรรดิถูกบุกรุก และทำให้ค่ายกลทั้งสี่ทิศเกิดขึ้น!
มังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว วิหคเพลิงและเต่าดำต่างประจำตำแหน่งเพื่อเตรียมพร้อมต่อสู้
เสวียนเทียนชวนเกือบเสียชีวิตก่อนจะเข้าร่วมตำแหน่งวิหคเพลิง แล้วกระตุ้นตำแหน่งเต่าดำเพื่อทำการทะลวงขั้น จนทำให้เส้นชีพจรจักรพรรดิเกิดความปั่นป่วน!
แม้มู่พ่านซานจะปลดปล่อยพลังทันทีที่สัมผัสการโจมตีจากพลังแห่งวิถีคุณธรรมได้ แต่เขาไม่มีเวลาพอจะหยุดยั้ง ซึ่งถือว่าโชคเข้าข้าง
เสวียนเทียนชวนถอนสายตาจากโต๊ะหิน ก่อนประสานมือให้ลู่หยวนแล้วเอ่ยว่า “นายท่าน พวกเราจะลงมือเมื่อไหร่หรือขอรับ?”
ลู่หยวนมองแผนที่ซึ่งมีเพียงชานเมืองที่มีจุดสีแดง ก่อนจะส่ายหน้า “อย่ารีบร้อน รอตระกูลชิวก่อน”
เสวียนเทียนชวนขมวดคิ้ว ผ่านมาหนึ่งถ้วยชาแล้วนับแต่เส้นชีพจรแห่งโชคชะตาจักรพรรดิระเบิดพลังออกมา แต่ยังไม่มีข่าวคราวของตระกูลชิว
หากพวกเขาไม่ลงมือ เกรงว่าตระกูลชั้นสูงที่เหลืออาจจะทนไม่ไหวอีกต่อไป
ตอนนี้มีสมาชิกตระกูลชิวอยู่ในแดนมัชฌิมไม่มาก ต่อให้ต้องการตำแหน่งเส้นชีพจรโชคชะตานี้จริง พวกเขาก็อาจจะทำไม่ได้จนต้องตัดใจทิ้งโอกาสนี้ไป
หากมัวแต่รอ พวกเขาอาจจะพลาดโอกาสในการพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดินี้!
ลู่หยวนเห็นความสงสัยของเสวียนเทียนชวน ก่อนคลี่ยิ้มออกมา “พวกเขาจะต้องลงมือแน่นอน หากชิวเสวียนไม่อยู่ก็อาจจะไม่ลงมือ แต่ถ้าอยู่ขึ้นมา อีกฝ่ายต้องมีกำลังในการช่วงชิงอย่างแน่นอน!”
“เพียงแต่… ด้วยนิสัยของเจ้าพวกสารเลวแซ่ชิว พวกเขาคงวางแผนให้ตระกูลชั้นสูงลงมือก่อนเพื่อลดทอนพลัง จากนั้นจึงเข้าไปเก็บเกี่ยวมาเป็นของตน”
“บัดนี้ เส้นชีพจรจักรพรรดิถูกเปิดเผยแล้ว ทั้งที่หลายตระกูลในแดนมัชฌิมทราบข่าว แต่กลับไม่ลงมือ รู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร?”
“หากตัดสินจากสถานการณ์ตอนนี้ คนที่จะลงมือก่อน จะต้องมีอันเป็นไป”
ลู่หยวนเก็บกระบี่วิถีโลกาก่อนจะเอนกาย “ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรักษาความสุขุมได้มากกว่ากัน”
“ข้ามีเวลาให้เสียกับพวกเขาเหลือเฟือ!”
หลังจากลู่หยวนเหลือบมองเส้นชีพจรจักรพรรดิ พลังของวิถีกระบี่ก็เคลื่อนลงมาจากท้องนภา ไม่มีใครทราบว่าเหนือพลังดังกล่าว ในหมู่เมฆด้านบน มีวั่งไฉขดตัวอยู่เพื่อกลืนกินกลิ่นอายของมันไปจนหมด
โฮก!
วั่งไฉคำรามในหมู่เมฆขณะกลืนกินกลิ่นอายของวิถีกระบี่ ทำให้เจตจำนงของมันหายไปเช่นกัน
กู่อี้เจี้ยนผู้อยู่เบื้องล่างขมวดคิ้ว เจตจำนงของวิถีกระบี่เคลื่อนลงมาเพื่อกระตุ้นปราณกระบี่ในร่าง สิ่งนี้ให้ความรู้สึกราวกับจะไปถึงทะเลห้วงความคิดลมปราณในชั่วพริบตา
แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดถึงได้รู้สึกแย่กว่าเดิม
กู่อี้เจี้ยนได้รับเจตจำนงกระบี่มาแล้ว นางจึงไม่สามารถหยุดกลางคันได้นอกจากรอคอยอย่างเงียบงัน
…
สายตานับไม่ถ้วนจากทั่วทั้งแดนมัชฌิมต่างจับจ้องไปยังวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม
หลังจากรอหนึ่งถึงสองชั่วยาม ในที่สุดใครบางคนก็หมดความอดทน
ตระกูลชั้นสูงขนาดใหญ่ทั้งหลายต่างมารวมตัวกัน
กลุ่มวัยกลางคนจำนวนมากรวมตัวอยู่ในห้องโถงด้วยสีหน้าเฉยชา
คนผู้หนึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ เขามีร่างกายอ้วนจ้ำม่ำกับสายตาชั่วร้ายและเกรี้ยวกราด
คนผู้นี้คือประมุขตระกูลเยวี่ย… เยวี่ยตงไห่!
เขาชำเลืองมองคนเบื้องล่าง ผ่านไปหลายอึดใจจึงเอ่ยขึ้น
“พี่น้องทั้งหลายมารวมตัวกันเช่นนี้ คงเข้าใจใช่หรือไม่ว่าหมายถึงอะไร?”
หลายคนต่างเงยหน้ามองเยวี่ยตงไห่ แต่ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด
เยวี่ยตงไห่เอ่ยกับตัวเอง “มาเปิดอกคุยกันดีกว่า อย่าได้คิดปิดบังสิ่งใด”
“ข้าเยวี่ยตงไห่เพียงต้องการเส้นชีพจรแห่งโชคชะตาจักรพรรดิในแดนมัชฌิมเท่านั้น! ทุกท่านล้วนทราบดีว่า ตระกูลเยวี่ยคือตระกูลทรงอำนาจบนแผ่นดินหลักเมื่อสามแสนปีก่อน! แต่หลังจากมหาสงครามครั้งนั้น ทำให้ตระกูลตกต่ำจนมีสภาพเช่นทุกวันนี้ ในขณะที่บางตระกูลซึ่งมั่งคั่งขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เหยียบหัวพวกข้าอย่างไม่ไยดี!”
“พวกท่านกับตระกูลเยวี่ยของข้าเป็นสหายกันมาหลายสิบรุ่น ข้าเยวี่ยตงไห่ขอให้สัญญาว่าหากให้การช่วยเหลือ เมื่อข้าขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิเมื่อไหร่ เมื่อนั้นพวกท่านจะผงาดอยู่เหนือแดนมัชฌิม!”
“ข้าเต็มใจที่จะแบ่งแดนมัชฌิมให้แก่ทุกท่าน!”
หลังจากเยวี่ยตงไห่เอ่ยอย่างหาญกล้าก็ไม่มีใครตอบรับ
“ทุกท่าน!”
เยวี่ยตงไห่ลุกขึ้น “จะสำเร็จหรือล้มเหลวล้วนขึ้นอยู่ที่คำพูดของพวกท่าน การที่ข้าเชิญมาในวันนี้ไม่ใช่เพื่อบีบบังคับแต่อย่างใด หากเต็มใจช่วยก็จงอยู่ต่อ ตระกูลเยวี่ยย่อมแบ่งปันทุกข์สุขร่วมกับทุกท่าน แต่ถ้าไม่เต็มใจช่วยก็ไม่เป็นไร”
คนผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้น เขาดูอ่อนแอและผอมแห้ง แม้ร่างทรุดอยู่กับเก้าอี้ แต่ดวงตากับทอประกายเจิดจ้าด้วยความมุ่งมั่น
คนผู้นี้คือประมุขตระกูลซุย… ซุยชิงหยาง!
ซุยชิงหยางเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “ในเมื่อทุกท่านอยู่ที่นี่ก็น่าจะมีความคิดอยู่ในใจกันหมดแล้ว ดังนั้นข้าขอเสนอสิ่งที่ทางตระกูลต้องการบ้าง”
เยวี่ยตงไห่ประสานมือ “น้องซุยเชิญว่ามา!”
ซุยชิงหยางไอเล็กน้อยขณะชูขึ้นสามนิ้ว “เมื่อเรื่องนี้สิ้นสุดลง พวกข้าตระกูลซุยต้องการเมืองสามสิบแห่ง!”