บทที่ 382 กู่จินเจาและลู่หยวน
บทที่ 382 กู่จินเจาและลู่หยวน
ผ่านไปสักพัก ทุกคนในแดนมัชฌิมก็มีสีหน้าแตกต่างกัน
ลู่หยวนยังไม่ตายไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เหตุใดถึงมีผู้แข็งแกร่งสูงสุดอีกคนถึงคอยให้การปกป้องเขา?!
อีกทั้งคนผู้นี้…ยัง…แปลกประหลาด…
หลี่เจียงหนานหรี่ตาลง ขณะครุ่นคิดในใจอย่างถ้วนถี่ จากนั้นจึงบังเกิดแผนการขึ้นมา
เขายกยิ้มพลางเอามือไพล่หลัง “ลู่หยวน เจ้ายังไม่ตายจริงด้วย”
ลู่หยวนชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ เขาสนใจเพียงสิ่งที่อยู่ในมือของเจียงเชียนชิว
คนผู้นั้นถือง้าวมังกรครามแปดแดนร้าง
เสียงคำรามของมังกรยังคงดังมาจากง้าวเล่มนั้น
เงามังกรครามเลือนรางพันรอบแขนของเจียงเชียนชิวขณะเพิ่มพลังให้อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง
ลู่หยวนจ้องมองอยู่สักพัก จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง “อาวุธระดับครึ่งก้าวศักดิ์สิทธิ์ ไม่เลว น่าจะพอใช้ได้”
แม้เสียงของเขาจะไม่ดังมาก แต่ก็ได้ยินทั่วทั้งแดนมัชฌิม
ดวงตาของแทบทุกคนเบิกกว้าง
“เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?! อาวุธระดับครึ่งก้าวศักดิ์สิทธิ์น่าจะพอใช้ได้งั้นหรือ?! แล้วของในมือข้าเรียกว่าอะไร?! เศษเหล็กงั้นเรอะ?!”
“หึ! ภูมิหลังของตระกูลลู่ในเวิ้งทะเลแดนเหนือแข็งแกร่งมากอย่างนั้นหรือ? เหตุใดจึงมองว่าอาวุธระดับครึ่งก้าวศักดิ์สิทธิ์น่าจะพอใช้ได้?!”
“ข้าคนเดียวหรือเปล่าที่สัมผัสการบ่มเพาะของลู่หยวนไม่ได้? ถึงแม้กลิ่นอายจะถูกพันธนาการไปก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กลับเป็นปกติแล้ว เช่นนั้นเหตุใดข้าถึงยังสัมผัสไม่ได้อีก!”
“ข้าก็สัมผัสได้เช่นกัน หลังจากลู่หยวนเผชิญภัยพิบัติอัสนีในครั้งนี้ ระดับการบ่มเพาะของเขาจะต้องเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ภัยพิบัตินั้นยังผิดปกติ ข้าไม่รู้เลยว่าเขาจะเติบโตได้มากแค่ไหน!”
เจียงเชียนชิวย่อมไม่ต่างกัน เขามองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง
แต่หลังจากได้ยินคำพูดของลู่หยวน เส้นโลหิตก็ปูดโปนบนหน้าผากของเขา
เจียงเชียนชิวกวัดแกว่งง้าวในมือด้วยโทสะขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ลู่หยวน เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรถึงคิดอยากจะได้ของของข้า!”
“ของของเจ้าหรือ?”
ลู่หยวนยกยิ้ม “เพิ่งมีการบัญญัติว่าคนตายมีของของตัวเองด้วยหรือ?”
ประโยคดังกล่าวบอกเป็นนัยว่าเจียงเชียนชิวคือคนที่ตายไปแล้ว
เจียงเชียนชิวย่อมเข้าใจ เพราะงั้นเขาจึงยิ่งเดือดดาลขณะเอ่ยว่า “ลู่หยวน เจ้ามันคนอวดดี!”
สิ้นคำ พลังของเขารวมตัวกันที่มือก่อนอำนาจอันยิ่งใหญ่จะทะยานสู่ท้องนภา
หลี่เจียงหนานพลันพูดโพล่งขึ้นมา “ฝ่าบาท ใจเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
เจียงเชียนชิวยับยั้งชั่งใจไว้ได้ จึงลดง้าวในมือลง พลังพลันหายไป
ลู่หยวนเผยรอยยิ้มขี้เล่นออกมา “ไง หลี่เจียงหนาน เจ้าเองก็ดูสุขสบายดี จากกันแค่ไม่กี่เดือน ไม่นึกเลยว่าสุนัขของเจ้าจะได้รับเส้นชีพจรจักรพรรดิไปครอง?”
“เจ้าเองก็คิดเหมือนกันกับข้า เส้นชีพจรจักรพรรดินี้ร้อนเกินกว่าจะถือไว้ในมือ จึงต้องมีการติดตั้งหุ่นเชิดเอาไว้ ข้ายังคิดอยู่เลยว่าหุ่นเชิดแบบไหนที่จะยอมเชื่อฟังโดยดี แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่เจ้าเล็งไว้จะว่านอนสอนง่ายเพียงนี้ พอบอกว่าไม่ขยับก็ไม่ขยับ ยังเป็นสุนัขที่เชื่องเหลือเกิน”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ กลยุทธ์ไส้ศึกแบบนี้มันโจ่งแจ้งเกินไป”
หลี่เจียงหนานมีสีหน้าสงบ “ในเมื่อท่านยังไม่ตาย เช่นนั้นพวกเราก็สามารถสะสางบัญชีกันได้!”
แม้เจียงเชียนชิวจะเดือดดาลอย่างยิ่งต่อคำดูถูกของลู่หยวน แต่ภายในใจก็บังเกิดความสงสัย
เขารู้เช่นกันว่านี่คือแผนที่ทำให้แตกคอกัน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาก็มีเหตุผล!
หลี่เจียงหนานกับเจียงเชียนชิวย่อมต้องการบางสิ่ง ซึ่งหลี่เจียงหนานตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าสิ่งที่ต้องการก็คือความตายของลู่หยวน!
หลี่เจียงหนานพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ เขาเองก็ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะเชื่อฟังคำพูดของอีกฝ่ายถึงทำให้ตนได้มายืนอยู่ในตำแหน่งนี้!
เจียงเชียนชิวเชื่อสนิทใจเช่นกันว่าขอเพียงมีหลี่เจียงหนานอยู่ข้างกาย เขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!
แต่ว่า…อีกฝ่ายจะไม่คิดอย่างอื่นอยู่ในใจแน่หรือ?
คงไม่ใช่การปฏิบัติกับเขาในฐานะสัตว์เลี้ยงหรอกใช่ไหม…
หากหลี่เจียงหนานกำลังหลอกใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายบางอย่างจริง เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีวันได้ทำอะไรตามที่ต้องการ!
หลังจากครุ่นคิดพักใหญ่ เจียงเชียนชิวก็ยิ่งรู้สึกสับสน เขาส่ายหน้าก่อนจะล้มเลิกความคิดนั้น
ถึงอย่างไร เส้นชีพจรจักรพรรดิก็อยู่ในมือแล้ว ยังจะมีผู้อื่นแย่งชิงมันไปได้อีกหรือ?!
ขอเพียงเขาเป็นจักรพรรดิแดนมัชฌิม ต่อให้หลี่เจียงหนานมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ตนก็สังหารอีกฝ่ายได้ทันที!
สีหน้าของเจียงเชียนชิวสะท้อนผ่านดวงตาของลู่หยวน ก่อนอีกฝ่ายจะยิ้มหยันอยู่ในใจ
พลังไร้ขีดจำกัดสามารถเผยจุดอ่อนของผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์!
เจียงเชียนชิวเป็นคนไร้ความสามารถ แม้จะได้รับพลังและสิทธิ์สูงสุดเช่นนั้นไป แต่ความสามารถในการควบคุมลูกน้องกลับอ่อนแอราวกับผู้ไร้ปัญญา คนอย่างหลี่เจียงหนานย่อมเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะควบคุมได้แน่นอน
ขอเพียงตระหนักถึงตรงนี้ได้ เขาก็จะเริ่มเคลือบแคลงในตัวของหลี่เจียงหนาน!
จนเกิดเป็นความร้าวฉาน…
ต่อให้ลู่หยวนจะไม่พูดคำนั้นในวันนี้ แต่ก็ยังคงมีความขัดแย้งไม่มีสิ้นสุดระหว่างทั้งสองคนอยู่ดี!
ชายหนุ่มจับจ้องไปยังกู่จินเจาผู้อยู่ห่างไกล หลังจากสบสายตากันสักพัก เขาก็ค้นพบเบาะแสบางอย่าง
“ข้าควรเรียกเจ้าว่าจักรพรรดินีหรือว่า… จิ่วเฟิ่ง?”
กู่จินเจาขมวดคิ้วพร้อมกับแย้มยิ้ม แต่มันกลับแฝงด้วยไอเย็นยะเยือก
“ไม่จำเป็นต้องเรียกว่าจักรพรรดินีหรอก ถึงอย่างไรเส้นชีพจรจักรพรรดิก็ยังไม่อยู่ในมือของข้า”
“ส่วนจิ่วเฟิ่งก็ยิ่งแล้วใหญ่ ถึงอย่างไรตอนนี้วิญญาณของพวกเราก็หลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว ส่วนที่นางครอบครองมีไม่มาก ดังนั้นเจ้าควรเรียกข้าว่ากู่จินเจา”
“ลู่หยวน เจ้ากับข้ามีความบาดหมางกัน ลืมไปแล้วหรือ?”
“แน่นอนว่าข้าไม่ลืมเรื่องนี้”
เมื่อสิ้นเสียงของลู่หยวน ปราณวิญญาณกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้าสู่ร่างของหลิงอวิ๋น จากนั้นเขาส่งยาลูกกลอนไปที่มือขวาของอีกฝ่าย เมื่อขยับมือขวาก็ทำให้ร่างของนางลอยไปอยู่ข้างกายฮ่วนซิงไป๋
“ฝากดูแลอาจารย์สำนักแทนข้าที”
ฮ่วนซิงไป๋พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องห่วง!”
ลู่หยวนกับกู่จินเจาเผชิญหน้ากันด้วยสายตามืดมน
นางเป็นฝ่ายยืนขึ้นก่อน ด้วยการสะบัดมือ หมู่เมฆที่ปกคลุมร่างกายก็เปลี่ยนไปก่อนจะกลายเป็นชุดคลุมหรูหรา
กู่จินเจาขยับมือขวาแล้วกระบี่หนักก็ปรากฏขึ้นมา
ทันทีที่มันปรากฏขึ้น อากาศส่วนใหญ่รอบแดนมัชฌิมพลันเกิดแรงกดดัน แล้วกระแสปราณวิญญาณก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าลงราวกับถูกบางสิ่งสยบไว้
ลู่หยวนขยับมือเช่นกัน แล้วกระบี่มหันตภัยก็ปรากฏขึ้น ก่อนอากาศรอบข้างจะเริ่มก่อตัว
บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเริ่มตึงเครียด
ผู้คนนับไม่ถ้วนกลั้นหายใจขณะจับจ้องสองคนนี้สักพัก
หากอีกฝ่ายต่อสู้กัน ย่อมจบไม่สวยเป็นแน่!
เนื่องจากความแข็งแกร่งของทั้งสองในตอนนี้ไม่ชัดเจน มันจึงไม่ใช่สิ่งที่จะดูแคลนได้
แน่นอนว่าตระกูลลู่ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ
แม้กู่จินเจาจะไม่ใช่ราชวงศ์อีกต่อไป แต่ตระกูลกู่ก็ปกครองแดนมัชฌิมมาหลายปี มรดกของพวกเขาสุดจะบรรยายได้!
ส่วนกู่อี้เจี้ยนยังคงทำการทะลวงขั้นอยู่ภายในสุสานกระบี่ ซึ่งตั้งอยู่หลังเขาของแดนมัชฌิม ขอเพียงนางทำสำเร็จ แม้ตระกูลกู่จะไม่ใช่ราชวงศ์ก็ยังสามารถกลายเป็นตระกูลวิถีกระบี่ยิ่งใหญ่ได้!
“พวกเจ้าคิดว่าใครจะชนะ?”