บทที่ 396 แผนการของเฉิงไท่
บทที่ 396 แผนการของเฉิงไท่
ฉินอี่หานกับไป๋ชิวเอ๋อร์เดินเคียงข้างกันมาแต่ไกล ทั้งสองคนมีสีหน้าประหนึ่งเซียนกับพลังที่สั่งสมจากการบ่มเพาะร่างกายมาระยะหนึ่ง
ทั้งคู่ในยามนี้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน แลดูให้ความรู้สึกประหนึ่งผู้มีชัย ทำให้หัวใจของศิษย์ทั้งหลายปั่นป่วน
หัวใจของเฉิงไท่เกร็งตัว เมื่อได้ยินเสียงของทั้งสองคน
ฉินอี่หานกับไป๋ชิวเอ๋อร์ขมวดคิ้ว ขณะมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ
แม้จะไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แต่พวกนางก็ติดตามเสวียนเทียนชวน เพื่อคอยสรุปเรื่องราวทีละขั้นตอน
พวกนางล้วนทราบถึงทุกสิ่งล่วงหน้าก่อนจะได้มาเห็นกับตา
แม้พวกนางจะทราบว่าเฉิงไท่ลงมือเพราะถูกหลี่เจียงหนานชักจูง
ความเป็นความตายของศิษย์มากมายในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ล้วนขึ้นอยู่กับความคิดของเขา
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น ฉินอี่หานกับไป๋ชิวเอ๋อร์ก็ค้นหาหนทาง เพื่อป้องกันเรื่องนี้ได้นับไม่ถ้วน!
หาไม่แล้ว ด้วยระดับการบ่มเพาะของเฉิงไท่ แม้จะสังหารลู่หยวนไม่ได้ แต่สำหรับหลี่เจียงหนานผู้ไร้ค่าแล้ว เขาจะไม่สามารถปราบในทันทีได้อย่างไร?!
เฉิงไท่คือเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์!
แน่นอนว่านอกจากพลังการบ่มเพาะแล้ว เขายังมีอาวุธวิเศษอีกมากเช่นกัน!
ตำราที่เฉิงไท่เคยแสดงให้พวกนางดูได้บันทึกเกี่ยวกับอาวุธวิเศษในมือของหลี่เจียงหนานไว้!
วัตถุชิ้นนี้มีชื่อว่ากระดานกลืนกินสวรรค์ลี้ลับ!
วิธีเปิดใช้งาน ความสามารถของมัน รวมถึงวิธีคลายต่างถูกบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน
เฉิงไท่ย่อมรู้อยู่แก่ใจเช่นกัน!
ต่อให้มีเรื่องกังวลจนไม่สามารถทำลายมันได้ในทันที แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะของเฉิงไท่ เขาย่อมลอบลงมือทำบางอย่างเพื่อสยบอาวุธวิเศษจนไม่สามารถเปิดใช้งานได้ชั่วคราว!
ด้วยเหตุนั้น ฉินอี่หานกับไป๋ชิวเอ๋อร์เขียนสิบสามวิธีในการคลายวิชาของมัน แต่ละวิธีล้วนไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับลู่หยวนเลย!
แต่แล้วเฉิงไท่เล่า…
เขากลับยังเลือกเป็นศัตรูกับลู่หยวน!
ก่อนจะถูกวิญญาณหอกกักขัง เฉิงไท่เต็มไปด้วยจิตสังหารอย่างแท้จริง!
แต่เมื่อแพ้พ่ายแก่วิญญาณหอก ก่อนจะถูกกักขังอยู่ในดินแดนวิถีหอก เขาเพียงปล่อยวางและเลิกขัดขืน
ทั้งหมดนี้ล้วนปรากฏแก่สายตาของทั้งสองคน
ทั้งคู่ต่างเข้าใจความหมายของเรื่องราวเหล่านี้
เฉิงไท่ทำเหมือนกับตัวเองเลือกทางที่ดีที่สุดเพื่อจัดการกับปัญหาของแดนมัชฌิมแล้ว!
ไม่ว่าสุดท้ายใครจะพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดิได้ เขาก็ยังยืนอยู่จุดสูงสุด!
การที่เขาไม่ได้เข้าร่วมในตอนแรก แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาจะชิงบัลลังก์
แต่หลังจากหลี่เจียงหนานบีบบังคับเขา ทำให้สิ่งที่เรียกว่ามหาวิถีคุณธรรมกลายเป็นศัตรูกับศิษย์เก่า
หากเรื่องนี้แพร่งพราย ทุกคนในแผ่นดินหลักจะไม่ชื่นชมหรอกหรือ?
หลังจากทราบเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่บอกว่ามหาวิถีคุณธรรมของเจ้าสำนักเฉิงคือแบบอย่างของผู้คน?
เขามั่นใจเช่นกันว่าลู่หยวนจะต้องมีหนทางในการขัดขืนและกักขังตนเอง
สิ่งนี้จึงกลายเป็นเหตุผลที่เขาหยุดขัดขืนหลังจากเข้าสู่ดินแดนวิถีหอก โลกภายนอกย่อมมองไม่เห็นว่าเขากำลังทำอะไร ทำให้มีเวลาผ่อนคลาย
ขอเพียงเรื่องภายนอกถูกตัดสิน เขาก็จะออกมาประกาศจุดยืนว่า ตนยังเป็นเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ยิ่งได้รับความเคารพมากขึ้น!
หากลู่หยวนชนะ เขาจะใช้วิธีนี้
หากหลี่เจียงหนานชนะ เขาก็ยังมีวิธีอื่น
ไม่ว่าทางไหน เฉิงไท่ก็ล้วนได้รับผลประโยชน์มากที่สุด!
หากผู้คนไม่ทำเพื่อตัวเอง ฟ้าย่อมถล่มดินย่อมทลาย เพราะสิ่งนี้คือธรรมชาติของมนุษย์
นอกจากนี้ เฉิงไท่ยังไม่ได้ทำอันตรายต่อลู่หยวนด้วยซ้ำ
หากเป็นเช่นนั้น ฉินอี่หานกับไป๋ชิวเอ๋อร์ก็คงไม่โกรธจนตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา
แต่เมื่อเห็นศิษย์เอ่ยเช่นนั้น เฉิงไท่ย่อมตกตะลึงเช่นกัน สีหน้าพลันมืดมน “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!”
“พวกเจ้าคือศิษย์ของข้า รู้หรือไม่ว่าต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าการบ่มเพาะของพวกเจ้าจะมาถึงขั้นนี้ แต่กลับตอบแทนข้าเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?!”
ฉินอี่หานยิ้มหยัน “แม้พวกข้าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่เจ้าปฏิบัติกับอาจารย์สำนักคนอื่นอย่างไรหรือ?”
ทันทีที่สิ้นเสียง ใบหน้าของเฉิงไท่ก็ซีดเผือด
ไป๋ชิวเอ๋อร์มีสีหน้าเย็นชา เบนสายตาไปทางศิษย์สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ผู้รอดจากการกักขังมาได้ ก่อนตอบว่า “ศิษย์ทุกคนของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ถูกกักขังเอาไว้ แต่ไม่มีอาจารย์สำนักสักคนยื่นมือเข้าช่วย มีเพียงเจ้าเฉิงไท่ที่อยู่ตรงนี้ มันหมายความว่าอย่างไร?”
“หรืออาจารย์สำนักทั้งหลายต่างถอยหนียามเกิดภัยพิบัติงั้นหรือ?”
“เฉิงไท่ ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ลูกหลานของอาจารย์สำนักคงถูกกักขังอยู่ด้วยใช่หรือไม่! ในเมื่อพวกเขาอยู่ที่นี่ แล้วเหตุใดอาจารย์สำนักถึงไม่ยื่นมือเข้าช่วยเล่า?”
ลู่หยวนพลันแสยะยิ้ม เขาทราบทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนมองเฉิงไท่ด้วยสีหน้าที่ต่างออกไป
คนทั้งหลายมองหน้ากัน ส่วนเฉิงไท่ยังคงพยายามหาข้ออ้างเพื่อโน้มน้าวพวกเขา
ตอนนี้เองที่ลู่หยวนเอ่ยว่า “เฉิงไท่ อวี๋ฉู่อยู่ไหน?”
อวี๋ฉู่คืออดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์!
แม้เขาจะไม่ได้ดูแลสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว แต่ที่นั่นก็เป็นสถานที่ที่ตนทุ่มเทความพยายามไปมากมาย แม้แต่แดนมัชฌิมก็เช่นเดียวกัน
วันนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในแดนมัชฌิม ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่อวี๋ฉู่จะไม่ปรากฏตัว!
ยิ่งกว่านั้น เขาเคยสาบานไว้ว่าจะปกป้องลู่หยวนหากยังอยู่ในอาณาเขตแดนมัชฌิม!
จนกระทั่งเกิดเรื่องกับเส้นชีพจรจักรพรรดิ อวี๋ฉู่ก็ยังไม่ยอมปรากฏกายออกมาราวกับตายไปแล้ว
มันไม่ใช่นิสัยของตาเฒ่าสารเลวคนนั้น…
เฉิงไท่ไม่สามารถตอบคำถามของลู่หยวนได้
ไม่ใช่ว่าไม่ทราบ เพียงแต่เขาไม่กล้าตอบ!
ยามนี้ ชิวชิงหลีกับพวกเสวียนเทียนชวนก็เดินเข้ามา
เสวียนเทียนชวนนั่งอยู่บนรถเข็นขณะเลื่อนรถมาอยู่ข้างกายลู่หยวนด้วยการช่วยของปราณวิญญาณ
ตอนนี้เขาดูทรุดโทรมและไร้ชีวิตชีวาราวกับชีวิตจะดับสูญได้ทุกเมื่อ
ลู่หยวนทราบว่าสิ่งนี้คือผลจากการฝืนทำนายของอีกฝ่าย
เสวียนเทียนชวนดื่มโอสถเข้าไปจึงทำให้สีหน้าดูดีขึ้นมาบ้าง “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ข้าพบตัวอวี๋ฉู่กับอาจารย์สำนักที่เหลือแล้ว!”
“ทุกคนล้วนถูกกักขังอยู่ในค่ายกลก่อนจะถูกส่งไปที่ดินแดนลับ ตอนที่พบตำแหน่ง พวกเขาก็ตกอยู่ในห้วงนิทรากันหมดแล้ว!”
เสวียนเทียนชวนปรายตามองเฉิงไท่ “มีกลิ่นอายของเจ้าสำนักอยู่เหนือค่ายกลนั่น!”
เฉิงไท่พลันตกตะลึง
“น่าสนใจ น่าสนใจมาก…”
เสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของลู่เทียนเหอดังขึ้นขณะเดินเอามือไพล่หลัง เขาย่างสามขุมขณะจับจ้องไปยังเฉิงไท่
เขารู้จักเฉิงไท่ ส่วนอวี๋ฉู่ก็เคยติดต่อกับตระกูลลู่อยู่บ่อยครั้ง กระนั้นตนก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวี๋ฉู่จึงยอมให้เฉิงไท่สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ทว่าวันนี้ เขาพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“เจ้าสำนักเฉิง เจ้าใช้หลี่เจียงหนานเพื่อให้ตนได้รับชื่อเสียง… ช่างเป็นคนที่เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก แม้แต่ข้าก็ไม่ทราบว่ามีคนเช่นนี้อยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ด้วย”
เฉิงไท่สะกดความแตกตื่นเอาไว้ขณะมองลู่เทียนเหอ “ข้าไม่ทราบว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไร ข้าไปทำ… อ๊าก!!!”
ก่อนจะเอ่ยจบประโยค เขาก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
แขนขวาของเฉิงไท่ถูกสะบั้นขาดในชั่วพริบตาต่อหน้าทุกคน!
โลหิตหลั่งเป็นสายขณะหยาดเหงื่อไหลอาบทั้งหน้าผาก
ลู่เทียนเหอยังคงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะถือแขนของเฉิงไท่ไว้ เขาเพียงออกแรงก็ทำให้แขนข้างนั้นกลายเป็นผุยผง
“เฉิงไท่ เจ้าจะสร้างชื่อเสียงอย่างไรมันก็เรื่องของเจ้า หาได้เกี่ยวกับข้าไม่ แต่กล้าลากหยวนเอ๋อร์เข้ามาอยู่ในแผนการเช่นนี้ ข้าอยากรู้นักว่าเจ้ามีชีวิตพอที่จะชดใช้หรือไม่!”