บทที่ 420 วิญญาณกระบี่
บทที่ 420 วิญญาณกระบี่
ยามที่ลู่หยวนกำลังคาดเดาสถานการณ์ต่อไป กองกำลังเหล่านี้ก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็วเพื่อหารือเกี่ยวกับการโต้กลับหลังเขาจากไปแล้ว
ถึงแม้ตระกูลชิวจะไม่โจมตีพวกเขาโดยตรง แต่การลักพาตัวผู้หญิงที่มีอำนาจก็นับว่าเป็นการดูถูกพวกเขาอย่างมาก!
หากพวกเขายังคงจำทนกับเรื่องนี้ แล้วเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปในภายภาคหน้า ใครเล่าจะไม่มาแช่งชักหักกระดูก!
แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถคลี่คลายเรื่องนี้ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงขอร้องต่อตำหนักประตูสวรรค์เท่านั้น!
คนเหล่านี้รวมตัวกันเพื่อสนทนาสักพัก จากนั้นจึงส่งตัวแทนจากกองกำลังทั้งหลายไป ทั้งยังแบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ จำนวนมากเพื่อมุ่งหน้าสู่ตำหนักประตูสวรรค์ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน โดยขอให้อีกฝ่ายออกมาตัดสินสถานการณ์!
ส่วนเหตุผลที่ทำเช่นนี้ก็เป็นเพราะเกรงว่าตระกูลชิวจะมาปล้นชิงและสังหารกลางทาง!
ขณะที่กองกำลังเหล่านี้เตรียมการอย่างระมัดระวัง ลู่หยวนก็กลับมาถึงลานบ้านที่ตระกูลชิวเตรียมไว้ให้เขาโดยเฉพาะ
กู่อี้เจี้ยนไม่เคยเข้าไปพักผ่อนที่ห้องโถงใหญ่ เพียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณ และแน่นอนว่ามีคนนำอาหารกับเครื่องดื่มมาให้ทุกวัน พวกเขาถึงขั้นสร้างศาลาเพื่อให้นางพักผ่อน
เมื่อลู่หยวนกลับมา นางก็กำลังนั่งฝึกสมาธิอยู่ในศาลา
ทันทีที่สัมผัสถึงการเคลื่อนไหว กู่อี้เจี้ยนก็ลืมตาคู่ใสกระจ่างทว่าเต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่อันคมกริบ
เมื่อเห็นลู่หยวน สีหน้าของนางก็ไม่แปรเปลี่ยนไป
อันที่จริง ต่อให้อีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไร ข่าวก็กระจายไปทั่วทั้งจวนตระกูลชิว ว่าลู่หยวนสั่งให้ผู้อาวุโสตระกูลชิวไปลักพาตัวผู้หญิงมา
กู่อี้เจี้ยนฟังหูไว้หู จึงไม่เก็บมาคิดใส่ใจนัก
สิ่งที่เกิดกับลู่หยวนหรือแม้กระทั่งตระกูลชิว หาได้ข้องเกี่ยวกับนางไม่
ถ้าไม่ใช่เพราะเส้นชีพจรจักรพรรดิ นางคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่
แม้จะคาดเดาไว้มากมาย แต่ลู่หยวนกลับยังไม่มีคำสั่งอะไร นางจึงทำได้เพียงอยู่ที่นี่
หากมีวันหนึ่งที่ลู่หยวนตายขึ้นมา นางก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรนอกจากกลับแดนมัชฌิมพร้อมกระบี่เพื่อฝึกฝนต่
กู่อี้เจี้ยนกำลังจะหลับตาเพื่อฝึกฝนต่อ แต่หางตากลับเหลือบเห็นสมาชิกหลายคนของตระกูลชิวขนถุงกระสอบจำนวนมากตามหลังลู่หยวนมา พวกเขาเดินไปที่ห้องโถงรับรองซึ่งอยู่หลังลานบ้าน
ลู่หยวนคล้ายสนใจมากขณะสั่งการผู้คน
“นี่ ๆ ๆ! ลากให้มันเบามือหน่อย มีสาวงามอยู่ข้างในทั้งคนนะ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะชดใช้ไหวหรือ?!”
“วางถุงกระสอบชุดนี้ทางตะวันตก ส่วนชุดนั้นไปทางตะวันออก”
ถุงกระสอบน้อยใหญ่เหล่านี้ถูกยกออกไปตามคำสั่งของลู่หยวน
ลู่หยวนยกยิ้มมุมปากราวกับพึงพอใจยิ่ง
กู่อี้เจี้ยนย่อมมองออกว่ามีคนอยู่ในถุงกระสอบเหล่านี้
เมื่อลู่หยวนเข้ามาในศาลา นางก็ขมวดคิ้วราวกับไม่พอใจอย่างมาก
แม้ลู่หยวนจะสังเกตเห็น แต่กลับไม่หยุดฝีเท้า เขานั่งลงบนเก้าอี้หินในศาลา จากนั้นโบกมือเรียกคนตระกูลชิวเพื่อนำชามาให้
เขารับถ้วยชามาจิบ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “การฝึกฝนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
กู่อี้เจี้ยนปรายตามองลู่หยวน หลังจากผ่านไปหลายอึดใจจึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
ลู่หยวนคลี่ยิ้มบาง “ถูก มันไม่ใช่เรื่องของข้า แต่คำถามนี้เป็นสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับฮ่วนซิงไป๋ ข้าก็เลยถามแทนเขา”
กู่อี้เจี้ยนยิ่งขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถอนสายตากลับ จากนั้นหลับตาเพื่อฝึกฝนต่อ
ลู่หยวนรู้สึกเบื่อจึงลุกขึ้นเดินจากไป ทันทีที่เดินผ่านนาง เขาก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “ราบรื่นดี”
ลู่หยวนยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินมาหากู่อี้เจี้ยนอย่างนึกสนุก “คู่รักอย่างพวกเจ้าน่าสนใจไม่เบา”
สิ้นคำ เขาก็จากไป
เมื่อลู่หยวนหายไปแล้ว กู่อี้เจี้ยนจึงลืมตาอีกครั้ง ใบหน้างดงามของนางพลันขึ้นสีแดงระเรื่อ
นางจ้องมองปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสระใต้ศาลาที่ตระกูลชิวเพิ่งขุดเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“คู่รัก…”
กู่อี้เจี้ยนเอ่ยคำนี้ แล้วคลี่ยิ้มมุมปาก
พลันมีระลอกคลื่นกระเพื่อมในสระ
ผ่านไปหลายอึดใจ กู่อี้เจี้ยนก็สะกดความคิดนั้นไว้ก่อนจะฝึกต่อ
ส่วนลู่หยวนในยามนี้ได้มาถึงห้องโถงรับรอง ซึ่งขังผู้หญิงหลายคนไว้
เขาขอให้คนติดตั้งค่ายกลไว้ที่นี่ เพื่อป้องกันหญิงสาวเหล่านี้หลบหนีไป
ตอนนี้พวกนางออกจากถุงกระสอบได้แล้ว และพยายามโจมตีค่ายกลอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็เปล่าประโยชน์
ทันทีที่ลู่หยวนเข้ามาในห้องโถงรับรอง สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่เขา
หลายคนในกลุ่มแสดงความขุ่นเคืองออกมา ก่อนจะเปิดปากสบถ “ลู่หยวน เจ้ามันไม่น่าเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่เลย! ชื่อเสียงของเวิ้งทะเลแดนเหนือป่นปี้ไม่มีชิ้นดีก็เพราะเจ้า! หากยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างก็ปล่อยพวกข้าไป!”
“ถูกต้อง ลู่หยวน บรรพชนตระกูลลู่ยังคงมีความสัมพันธ์กับตระกูลข้า ในแง่ของความอาวุโส ข้าถือว่าเป็นป้าของเจ้า!”
ทันทีที่พวกนางเอ่ยเช่นนั้น จิตสังหารก็ทะยานออกจากร่างของลู่หยวน กดดันคนเหล่านี้เอาไว้!
คนที่เอ่ยตามใจปากเมื่อครู่พลันเงียบปาก ไม่กล้าปริปากอะไรอีก
สายตาของลู่หยวนกวาดผ่านพวกนางทีละคน จากนั้นจึงมาหยุดอยู่ที่เยวี่ยหนีซาง
เขาพบว่าคนผู้นี้น่าจะสนใจฉู่เชิ่งอยู่ไม่น้อย
หากว่ากันตามเหตุและผลแล้ว นางถือเป็นคนในดวงใจของฉู่เชิ่งกระมัง
แสดงว่านางน่าจะมีค่าชะตาวายร้ายที่คู่ควรอยู่บ้างกระมัง?
แต่เมื่อมองทั้งซ้ายขวา ระบบกลับไม่แจ้งเตือนอะไรสักนิด
“ระบบ เยวี่ยหนีซางผู้นี้มีค่าชะตาที่คู่ควรหรือไม่?”
[รบกวนท่านเข้าไปตรวจสอบใกล้ ๆ]
เพียงชั่วพริบตา ลู่หยวนก็ปรากฏกายตรงหน้าเยวี่ยหนีซาง
เยวี่ยหนีซางหวาดกลัวจนเข่าอ่อน ถึงแม้นางจะถูกเบียดอยู่ในเกี้ยวหยกจนมองไม่เห็นอีกฝ่ายฆ่าคน แต่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของฉู่เชิ่ง
ฉู่เชิ่งไม่อาจเทียบคนผู้นี้ได้ หากนางถูกหมายหัวขึ้นมาก็คงมีเพียงความตายที่รออยู่!
ลู่หยวนยื่นมือออกไปคว้าแขนของเยวี่ยหนีซาง
ตอนนี้เองที่มือขาวแทรกเข้ามาขวางอยู่ตรงหน้าเยวี่ยหนีซางจากทางด้านข้าง
มือของลู่หยวนจึงคว้าเข้าที่แขนข้างนั้น
เขาหันไปมองก่อนจะพบว่าคนผู้นั้นคือประมุขสำนักกระบี่สวรรค์ เยวี่ยอู๋ฉือ
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ หากหนีซางทำให้ท่านขุ่นเคือง ข้าก็ต้องขอโทษแทนนางด้วย นางยังเด็ก ไม่รู้ประสีประสา ขอให้ท่านโปรดไว้ชีวิตนางด้วย”
น้ำเสียงของเยวี่ยอู๋ฉือสงบขณะที่ขวางร่างเยวี่ยหนีซางเอาไว้ ไม่ถอยหนีแม้สักก้าว
[แจ้งเตือนจากระบบ: กำลังตรวจสอบ โปรดรอสักครู่…]
ลู่หยวนเม้มริมฝีปาก เขาไม่อยากตรวจสอบเยวี่ยอู๋ฉือ แต่อยากตรวจสอบเยวี่ยหนีซางต่างหาก!
“หลบไป”
ลู่หยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สายตาของเยวี่ยอู๋ฉือหนักแน่น ปราณกระบี่รอบกายปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางราวกับพร้อมจะเปิดศึกกับอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ
ลู่หยวนกำลังจะลงมือ แต่เสียงของระบบก็ดังขึ้น
[แจ้งเตือนจากระบบ: ขอแจ้งให้ท่านทราบ! เยวี่ยอู๋ฉือคือผู้กลับชาติมาเกิดของวิญญาณกระบี่! ]
[เพียงแต่เยวี่ยอู๋ฉือยังไม่ปลุกความทรงจำ ดังนั้นพลังวิญญาณกระบี่ของนางจึงไม่อาจตรวจสอบได้!]
“วิญญาณกระบี่หรือ?!”
ดวงตาของลู่หยวนพลันเปล่งประกายก่อนจะหันไปหาเยวี่ยอู๋ฉือด้วยสายตาเย็นชา
วิญญาณกระบี่คือของดี!
ในอดีตกาล การเผชิญหน้ากับวิญญาณกระบี่ที่มีร่างวิญญาณนับว่าหาได้ยาก!
บัดนี้ผู้กลับชาติมาเกิดของวิญญาณกระบี่ได้มาปรากฏกายตรงหน้าลู่หยวนแล้ว มันรีบร้อนอยากจะเป็นข้ารับใช้กระบี่ให้กับเขามากเพียงนี้เชียวหรือ?!