บทที่ 452 เคลือบแคลง
บทที่ 452 เคลือบแคลง
คนที่เหลือต่างคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วเปล่งเสียงตะโกน “ฝ่าบาทกลับมา เผ่าของพวกเราย่อมสงบสุข!”
คลื่นเสียงยังคงดังอย่างต่อเนื่องจนทั่วทั้งสี่ทิศสั่นสะท้าน!
ทั่วทั้งดินแดนของตระกูลจักรพรรดิจิ้งจอกสวรรค์ต่างพากันยอมจำนน!
ลู่หยวนขมวดคิ้วจับจ้องไปทางซู่เฟิง แล้วมุมปากก็ยกยิ้ม
หลังจากซู่เฟิงลุกขึ้น เทียนเม่ยเอ๋อร์ก็นำอีกฝ่ายไปพบลู่หยวน
“นี่คือนายท่านของข้า บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งเวิ้งทะเลแดนเหนือ”
น้ำเสียงของเทียนเม่ยเอ๋อร์สงบราวกับเอ่ยถึงตัวตนที่แสนธรรมดา
ทันทีที่สิ้นคำก็เกิดความโกลาหลท่ามกลางเผ่าจิ้งจอกสวรรค์
ซู่เฟิงมองเทียนเม่ยเอ๋อร์ด้วยความไม่อยากเชื่อ “ฝ่าบาทพูดอะไรออกมา?”
เทียนเม่ยเอ๋อร์แสดงสีหน้าจริงจังพลางเอ่ยว่า “ข้ายอมจำนนต่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ บัดนี้เขาคือนายท่านตราบชั่วชีวิตของข้า!”
“ฝ่าบาท พวกเราจิ้งจอกจะไม่มีวันเป็นทาสใคร!”
ซู่เฟิงมองลู่หยวน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ลู่หยวนยิ้มเย้ยหยันพร้อมจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
อำนาจมังกรไร้ที่สิ้นสุดพลันระเบิดออกจากร่างของเขา แล้วคลื่นพลังอันบ้าคลั่งก็ตรงเข้าบดขยี้
ซู่เฟิงรู้สึกเหมือนกำลังแบกขุนเขาหนึ่งหมื่นจินเอาไว้ในบัดดล!
ลำคอของเขาคล้ายกับมีใครบางคนถือมีดจ่อเอาไว้ ไม่สามารถเปล่งวาจาได้!
ยามนี้ดวงตาของซู่เฟิงเปลี่ยนไป
ชายตรงหน้าที่อายุเพียงยี่สิบปีไม่ใช่คนที่เขาจะหาเรื่องได้อย่างแน่นอน!
ตอนนี้เทียนเม่ยเอ๋อร์ร้องขอความเมตตาจากลู่หยวนเช่นกัน “ข้าหวังว่าท่านจะยอมโอนอ่อนผ่อนปรนบ้าง!”
ซู่เฟิงหลุบตาลงแสดงท่าทียอมจำนน!
ลู่หยวนถอนหายใจ “หากมีครั้งหน้า ตาย!”
ซู่เฟิงทรุดตัวลงชั่วขณะ ไม่กล้าเหลือบมองอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง
ลู่หยวนเดินไปทางค่ายกลบนเนินเขา
ฉินอี่หานและไป๋ชิวเอ๋อร์เดินตามเช่นกัน
เทียนเม่ยเอ๋อร์นำกลุ่มคนตามลู่หยวนเข้าไปในค่ายกล
ท่ามกลางแสงวาบ พื้นที่เนินเขาทั้งหมดตรงหน้าก็หายไป
สิ่งที่ปรากฏคือที่ราบกว้างใหญ่ ตรงกลางมีบ้านเรือนแบนราบขนาดเล็กเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
ผู้คนทั้งหลายซึ่งมีระดับการบ่มเพาะต่ำในเผ่าจิ้งจอกสวรรค์รวมตัวอยู่ทุกหนแห่ง พวกเขาคล้ายกับกำลังสนทนาบางอย่าง
มนุษย์หัวจิ้งจอกทั้งหลายถือง้าวขณะประจำการตามสถานที่ต่าง ๆ!
ส่วนปลายทางของที่ราบกว้างใหญ่มีปราณวิญญาณลอยอบอวลไปมา โดยห้องโถงสีขาวทองตั้งอยู่ทุกแห่งหน พวกมันรวมตัวกันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เห็นได้ชัดเจน
หลังจากพวกลู่หยวนเข้ามา สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่พวกเขาราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น
“เผ่ามนุษย์หรือ?”
ไม่ทราบว่าผู้ใดเอ่ยประโยคดังกล่าวขึ้นมา มันคล้ายกับโยนก้อนหินลงไปในแม่น้ำ
ยามนี้ทุกคนต่างกุมมือขณะมองพวกลู่หยวนด้วยสายตาระแวดระวัง
“พวกเจ้าคือ…”
ยังไม่ทันจบประโยค ซู่เฟิงก็ยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ทุกท่าน องค์หญิงของพวกเรากลับมาแล้ว!”
ความมุ่งร้ายของทุกคนหายไปทันที พวกเขามองเทียนเม่ยเอ๋อร์ผู้อยู่ข้างกายอีกฝ่าย ขณะสัมผัสได้ถึงพลังของจักรพรรดิจิ้งจอกสวรรค์จากตัวนาง
ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึงราวกับไร้การตอบสนอง!
คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อเทียนเม่ยเอ๋อร์
คนอื่นต่างพากันโค้งคำนับเพื่อทักทายนาง
ลู่หยวนกวาดสายตามองพลางยื่นมือออกไปกดวั่งไฉที่กำลังขดตัวอยู่บริเวณหน้าอก แล้วมุมปากก็ยกยิ้ม
ไป๋ชิวเอ๋อร์สัมผัสบางสิ่งได้ นางจึงมายืนอยู่ข้างลู่หยวนขณะก้มมองลงไป มือข้างหนึ่งอุ้มไป๋เจ๋อแล้วใช้มืออีกข้างลูบร่างของมัน
ไป๋เจ๋อตัวน้อยเงยหน้าขึ้นราวกับพออกพอใจ
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่เข้ามาในอาณาเขตเมื่อครู่ล้วนสงบลง
ไป๋ชิวเอ๋อร์จับสังเกตบางอย่างได้ ปากที่งดงามของนางจึงอ้าออก “บุตรศักดิ์สิทธิ์ เรื่องราวของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์อาจต้องใช้เวลาสักพัก”
“ไม่หรอก แค่ครึ่งเดือนก็เรียบร้อยแล้ว”
ลู่หยวนยืนเอามือไพล่หลัง “เจ้าสามารถอยู่ในหุบเขาบูรพาอีกสักสองวันก่อนก็ได้ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องสะสางอยู่”
เหิงอีเจี้ยนผู้เป็นอาจารย์ของเซียวเทียนยังคงอยู่ในหุบเขาบูรพาเพื่อสำรวจเส้นทางให้
การที่เขามาวันนี้ก็เพื่อตรวจสอบว่ามันคืบหน้าไปมากน้อยเพียงใด
เทียนเม่ยเอ๋อร์ออกคำสั่งกับซู่เฟิงสักพักก่อนจะพาพวกลู่หยวนไปยังสิ่งปลูกสร้างงดงามซึ่งอยู่ไกลลิบ
สถานที่นั้นคือพระราชวังของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์!
เทียนเม่ยเอ๋อร์ทราบว่าพวกลู่หยวนไม่ชอบเสียงอึกทึก นางจึงตระเตรียมให้พวกเขาอยู่ในบริเวณที่เงียบสงบ
“นายท่าน ข้า…”
เทียนเม่ยเอ๋อร์ลำบากใจ
ลู่หยวนเข้าใจสิ่งที่นางต้องการสื่อเช่นกัน
ในฐานะผู้สืบทอดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์เพียงหนึ่งเดียว เทียนเม่ยเอ๋อร์ย่อมมีหลายสิ่งที่ต้องจัดการทันทีที่กลับมา!
ลู่หยวนเอ่ย “ไปได้เลย”
“น้อมรับ!”
เทียนเม่ยเอ๋อร์คารวะลู่หยวนแล้วจากไป
หลังจากนางออกไปแล้ว ไป๋ชิวเอ๋อร์ก็ลูบขนของไป๋เจ๋อตัวน้อยที่อยู่ในมือ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ท่านไม่ได้บอกเทียนเม่ยเอ๋อร์เกี่ยวกับจิ้งจอกสวรรค์หุบเขาบูรพาหรือ?”
หลังจากพวกเขาเข้าสู่พื้นที่นี้ก็รู้สึกได้ทันทีว่าสัตว์เทวะกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์รอบข้างเริ่มคลุ้มคลั่งราวกับสัมผัสบางสิ่งได้
ในหมู่พวกเขา ลู่หยวนสัมผัสได้ชัดเจนที่สุด!
วั่งไฉในอ้อมแขนของลู่หยวนขดตัวไปมาขณะปลดปล่อยพลังออกมาราวกับกำลังสะกดบางสิ่งเอาไว้
เมื่อลู่หยวนช่วยอีกแรง มันก็สามารถกำราบพลังที่กำลังจะแผ่ออกมาได้!
วั่งไฉคือเผ่ามังกร การกำราบเช่นนี้เป็นเพราะมีเผ่ามังกรตัวอื่นปรากฏขึ้นในบริเวณที่วั่งไฉอยู่!
แต่นี่คือดินแดนของจิ้งจอกสวรรค์!
จะไปมีมังกรอยู่ได้อย่างไร?
เผ่ามังกร…
ลู่หยวนจำได้ว่าก่อนหน้านี้เผ่าจิ้งจอกสวรรค์อยู่ในช่วงทำสงครามกับเผ่ามังกรเกล็ด!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ลู่หยวนก็คลายมือให้วั่งไฉปรากฏตัวจากเสื้อผ้าช่วงหน้าอกของเขา จากนั้นก็จับจ้องไปยังทิศทางหนึ่งด้วยสายตามุ่งร้าย!
หลังจากจับจ้องสักพัก วั่งไฉก็กลับเข้ามาอยู่ในเสื้อผ้าของลู่หยวน
ตอนนี้เองที่ไป๋ชิวเอ๋อร์เอ่ยว่า “พวกมันไปแล้ว”
“เทียนเม่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว ดังนั้นพวกมันจะถอยกลับไปสักพัก”
ลู่หยวนเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องบอกนาง พวกเขาจะได้ดำเนินการโดยเร็วที่สุด”
“ยิ่งจัดการได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งยุติเรื่องได้เร็วเท่านั้น”
“น้อมรับ!”
ไป๋ชิวเอ๋อร์กับฉินอี่หานตอบพร้อมกัน
“ชิวเอ๋อร์ เจ้าส่งคนไปราชวงศ์อู๋ซวงมาก่อนแล้วหรือยัง?”
ดวงตาของฉินอี่หานสั่นเทา เมื่อเอ่ยถึงราชวงศ์อู๋ซวง
นี่คือสิ่งเดียวที่ค้างคาใจนางในตอนนี้
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องห่วง พวกข้าส่งคนไปก่อนที่พวกเราจะมาถึงที่นี่แล้ว ข้าเชื่อว่าจะมีข่าวคราวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”
ลู่หยวนพยักหน้า “ทันทีที่เรื่องนี้จบลง พวกเราจะไปที่นั่นเพื่อยุติเรื่องราวของราชวงศ์อู๋ซวง”
ลู่หยวนกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่มาจากนอกห้องโถงอันไกลลิบจากที่พวกตนอยู่
มนุษย์หัวจิ้งจอกกระชับง้าวในมือขณะก้าวออกไปนอกลานบ้าน
“ทุกท่านคือแขกผู้ทรงเกียรติ พวกข้าคือองครักษ์จิ้งจอกสวรรค์จึงมาที่นี่เพื่อทำหน้าที่คุ้มกัน!”
ลู่หยวนมองผู้คนที่ประจำการอยู่ด้านนอกก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นชา “เพิ่งมาลงมือเอาป่านนี้หรือ? มันสายเกินไปแล้วล่ะ!”
——————————-