บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 3 ข่าวร้าย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 3 ข่าวร้าย

บทที่ 3 ข่าวร้าย

เฉินซีครุ่นคิดถึงเรื่องกังวลใจ ขณะเขาเดินกลับบ้านอย่างเงียบงัน

เขาไม่อาจปล่อยให้การแยกจากของปู่และน้องชายมาทำให้เขารู้สึกแย่ได้ ตามที่เขาทราบมา สำนักพันกระบี่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร ค่อนข้างมีชื่อเสียงในดินแดนทางใต้ และสำนักต่าง ๆ ที่ก่อตั้งภายในเมืองหมอกสนนั้นไม่อาจเทียบเคียงได้เลย

ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา หลังจากแนวทางการบ่มเพาะทั้งหลายถูกพัฒนาจนใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์ มีหลายสิ่งถูกสรรค์สร้างขึ้นมากมาย ซึ่งเหล่าสำนักบ่มเพาะก็เป็นหนึ่งในนั้น

สำนักบ่มเพาะทั้งหลายถูกก่อตั้งขึ้นภายในตัวเมืองหรือนครใหญ่ สำนักเหล่านี้ต่างรับสมัครผู้คนทั้งหลายเพื่อนำมาสั่งสอนความรู้พื้นฐานให้เป็นผู้บ่มเพาะ

ทว่าสำนักเหล่านี้มิได้ปฏิเสธผู้คนตามแต่สถานะทางสังคมของพวกเขา ต่อให้จะเป็นชาวเขา ทาส พ่อค้าผู้มั่งคั่ง หรือคนหาบเร่ทั่วไป ตราบใดที่คนผู้นั้นสามารถจ่ายศิลาวิญญาณได้เพียงพอ คนเหล่านั้นก็สามารถเข้ามาเป็นศิษย์และฝึกฝนในสำนักได้

ประเภทของสำนักนั้นแตกต่างกัน โดยแบ่งตามชื่อของสำนัก

ยกตัวอย่างเช่น สำนักต่าง ๆ ที่ก่อตั้งภายในเมืองหมอกสน ได้แก่ สำนักหลอมยุทธภัณฑ์ สำนักหุ่นเชิด สำนักยันต์อักขระ สำนักแปรธาตุ สำนักพฤษศาสตร์ สำนักฝึกสัตว์และอื่น ๆ

ก่อนหน้านี้ เฉินฮ่าวกำลังฝึกฝนวิชากระบี่พื้นฐานของสำนักกระบี่ดารานภา

อย่างไรก็ตาม แต่ละสำนักย่อมมีขีดจำกัดของตัวเองเช่นกัน สำนักขนาดเล็กจะมีเพียงเคล็ดวิชาพื้นฐานให้ได้เรียนรู้เท่านั้น หากผู้ใดต้องการร่ำเรียนเคล็ดวิชาที่สูงกว่าย่อมต้องเลือกเข้า ‘นิกาย’

นิกายใหญ่ทั้งหลายต่างสร้างขึ้นบนภูเขาที่มีชื่อเสียง ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับแม่น้ำใหญ่อันอุดมไปด้วยปราณวิญญาณ นิกายคือแหล่งรวมอัจฉริยะด้านการบ่มเพาะ ก่อนจะได้เข้าสู่นิกายนั้น ผู้สมัครล้วนต้องเผชิญกับการคัดเลือกอันเข้มงวด

ผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์แต่กำเนิดหรือมีรากฐานไม่มั่นคงจะไม่สามารถผ่านการสอบคัดเลือกของนิกายได้ และด้วยข้อกำหนดอันเข้มงวดเหล่านี้ จึงทำให้สำนักทั่วไปมิอาจเทียบเคียงได้นั่นเอง

เฉินซีได้รับรู้ถึงความไม่เป็นธรรมที่เฉินฮ่าวได้รับในหลายปีที่ผ่านมาอย่างแจ่มแจ้ง เป็นเพราะตัวเขาเองที่ทำให้เฉินฮ่าวถูกผู้คนในสำนักเย้ยหยันดูถูก ไม่มีผู้ใดอยากสุงสิงติดต่อกับเฉินฮ่าว และเด็กหนุ่มก็ไม่มีเพื่อนแม้แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น หากน้องชายของเขาสามารถเข้าสู่นิกายพันกระบี่ได้อย่างเป็นทางการ ย่อมถือเป็นโอกาสอันน่ายินดีสำหรับเฉินฮ่าวที่คลั่งไคล้ในวิชากระบี่อย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเส้นทางในอนาคต

เฉินฮ่าวอายุเพียงสิบสองปีในปีนี้ แต่ด้วยพรสวรรค์และสติปัญญาที่ไม่ธรรมดา ทำให้ขณะนี้เขาสามารถฝึกฝนจนถึงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นสูงสุดแล้ว และด้วยการชี้แนะอย่างทุ่มเทของผู้เป็นปู่ รากฐานของเฉินฮ่าวจึงแข็งแกร่งกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างหาที่เปรียบมิได้ ดังนั้นบททดสอบการเข้านิกายพันกระบี่จึงย่อมไม่เป็นปัญหา

เมื่อใกล้ถึงบ้าน เฉินซีเห็นเด็กหญิงอายุห้าหรือหกขวบจากระยะไกล ขณะนี้นางนั่งอยู่หน้าประตูบ้านของเขา

เด็กหญิงคนนี้มีผมที่มัดเป็นเปีย นัยน์ตาสีดำสนิทคู่หนึ่ง และมีรูปลักษณ์ที่น่าเอ็นดูมาก

เด็กหญิงรีบวิ่งเข้ามาหาเมื่อนางสังเกตเห็นเฉินซี และถามอย่างตื่นเต้นว่า “พี่เฉินซี เสี่ยวฮ่าวอยู่ที่ใดหรือ ข้านำลูกอมมะนาวที่เขาชื่นชอบมา แต่เขากลับไม่อยู่เสียแล้ว”

เด็กหญิงผู้นี้มีนามว่า ‘ซีซี’ นางเป็นเด็กสดใสและน่าเอ็นดู แต่ด้วยกำพร้าบิดานางจึงอาศัยอยู่แต่กับมารดาของนาง ‘ไป๋หว่านฉิง’ ซึ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองหมอกสนเมื่อไม่กี่ปีก่อน พวกนางเป็นเพื่อนบ้านของเฉินซี ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองครอบครัวจึงดีมาก

“เขาไปยังที่ห่างไกลเพื่อร่ำเรียนวิชากระบี่ และอาจจะไม่กลับมาอีกสักพัก”

เฉินซียกมือลูบหัวเล็ก ๆ ของซีซี เขาเอ็นดูเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ผู้มีอายุน้อยกว่าน้องชายของเขาสองสามปีผู้นี้มาก เมื่อใดก็ตามที่เฉินฮ่าวกลับมาจากสำนักดารานภา นางจะคอยเล่นกับเฉินฮ่าวไม่ห่างและยังแบ่งปันขนมให้เป็นครั้งคราว ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ซีซีและมารดาของนางไม่เคยเย็นชาต่อครอบครัวของเฉินซีและไม่เคยถือว่าเฉินซีเป็นตัวอัปมงคล ความไว้วางใจที่ปราศจากแรงจูงใจอื่น ๆ แอบแฝงเช่นนี้ ทำให้เฉินซีให้ความสำคัญกับสองแม่ลูกคู่นี้เป็นพิเศษ

ในขณะที่งุนงง ซีซีเงยหน้าขึ้นมองขณะที่นางถาม “ที่ห่างไกล? ที่ห่างไกลนั้นอยู่แห่งหนใด?”

เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “สถานที่ที่เจ้ายังไม่สามารถไปได้เรียกว่าที่ห่างไกล แต่เมื่อซีซีโตขึ้นเจ้าจะสามารถไปที่นั่นได้”

ซีซีอุทานดัง “โอ้” ก่อนจะหมดกำลังใจและทำหน้าเศร้าซึม

เฉินซีปลอบโยนนางและกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าไม่เข้าไปเล่นในบ้านของข้าก่อนเล่า?”

ดวงตาของซีซีส่องประกาย “เย้~ ข้าอยากเห็นพี่เฉินซีประดิษฐ์ยันต์!”

“เช่นนั้นตามข้ามา” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซีเมื่อเขาเห็นเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้มีความสุข แต่เพียงชั่วพริบตาเขาก็กลับมามีท่าทางเย็นชาอีกครั้ง

เฉินซีจับมืออันเล็กบางของซีซีแล้วเดินเข้าไปในบ้านของเขา

บนโต๊ะมีกองกระดาษยันต์สีฟ้าอ่อน ถาดหมึกที่เต็มไปด้วยหมึกสีแดงคล้ำ และพู่กันเขียนยันต์สีเข้ม

เฉินซีปรับท่าทางของเขาให้นั่งตัวตรงต่อหน้าโต๊ะ ส่วนซีซีก็นั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ที่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง และบนใบหน้าเล็กนั้นยังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เฉินซีชี้ไปที่กองกระดาษยันต์สีฟ้าอ่อน ขณะที่เขาอธิบายด้วยเสียงเบาแผ่ว “นี่เป็นกระดาษยันต์เยื่อไม้สนซึ่งเป็นกระดาษยันต์ที่มีราคาถูกที่สุดในท้องตลาด มันมีเนื้อแข็งและหยาบกระด้าง จึงมักจะถูกใช้เพื่อสร้างยันต์พื้นฐานที่ง่ายที่สุด”

ซีซีเป็นดั่งนักเรียนในขณะที่นางพยักหน้าอย่างตั้งใจและพูดว่า “พี่เฉินซีข้าจำได้แล้ว”

เฉินซีหัวเราะและส่ายหัว ก่อนจะชี้ไปที่ถาดหมึกสีแดงคล้ำและกล่าวว่า “หมึกนี้มาจากเลือดของกวางเพลิงสีชาด ซึ่งเป็นหนึ่งในสัตว์อสูรระดับต่ำที่สุด นอกจากเลือดที่สามารถนำมาใช้เป็นหมึกสำหรับสร้างยันต์แล้ว อวัยวะอื่น ๆ ของมันก็ไม่มีค่าเลยแม้แต่น้อย”

ซีซีพยักหน้าขณะที่นางถามต่อ “แล้วพู่กันนั่นล่ะ?”

“นี่คือพู่กันเขียนยันต์ พู่กันเขียนยันต์นั้นมีคุณภาพหลากหลาย หากเป็นพู่กันเขียนยันต์คุณภาพเยี่ยม ขณะเขียนยันต์จะไม่เพียงแต่วาดลายเส้นที่เฉียบคมและสมมาตรมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของการสร้างยันต์ได้อีกด้วย พู่กันเขียนยันต์ที่ข้ามีอยู่นี้เป็นเพียงพู่กันเขียนยันต์ธรรมดาทั่วไป อย่างไรก็ตาม มันก็เพียงพอแล้วสำหรับข้า”

เมื่อเขากล่าวจบ เฉินซีก็สังเกตเห็นทันทีว่าวันนี้เขาพูดมากกว่าปกติ อาจเป็นไปได้ไหมว่าเป็นเพราะท่านปู่และน้องชายของเขาจากไป เขาจึงใช้ซีซีมาเป็นตัวแทนเพื่อระบายความในใจแทน?

เมื่อเขาคิดถึงจุดนี้ เฉินซีก็หันไปมองซีซีและสังเกตเห็นว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กำลังฟุบศีรษะของนางไว้บนโต๊ะ และหลับไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ น้ำลายที่วาววับและโปร่งแสงหยดย้อยลงมาจากมุมปากของนาง

เฉินซีรำลึกได้ว่าน้องชายของเขามีลักษณะแบบนี้เช่นกันเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ก่อนจะอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วเดินไปวางนางลงบนเตียงและกลับมานั่งที่โต๊ะไม้

เมื่อไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป เฉินซีก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วย้อมมันด้วยหมึกจนเพียงพอ จากนั้นเขาจึงเริ่มวาดยันต์

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ขณะที่ปลายพู่กันซึ่งย้อมด้วยหมึกสีแดงคล้ำ ค่อย ๆ ร่อนลงบนกระดาษยันต์ที่ว่างเปล่า เส้นสีแดงละเอียดก็ไหลออกมาจากปลายพู่กัน ราวกับไส้เดือนที่มีสติปัญญาเคลื่อนไปตามกระดาษยันต์เยื่อไม้สนสีฟ้าอ่อนอย่างงดงาม

เฉินซีมักจะจริงจังและจดจ่ออยู่เสมอในขณะวาดยันต์ ดวงตาของเขาต่างจดจ้องไปที่กระดาษยันต์ที่อยู่ภายใต้พู่กัน แผ่นหลังของเขาตั้งตรงประหนึ่งหอกค้ำยันฟ้า มือขวาของเขาเคลื่อนไหวคล่องแคล่วไหลลื่นไม่มีติดขัด

ผ่านไปพักหนึ่งลวดลายซับซ้อนและลึกซึ้งต่างเบ่งบานอย่างเงียบ ๆ ราวกับดอกไม้บนกระดาษยันต์ และทันใดนั้นกระดาษยันต์พลันส่องแสงสว่างจ้าอยู่ชั่วพริบตา ก่อนจะหรี่ลงและกลับสู่สภาพปกติ

เฉินซีวางยันต์เพลิงเมฆาระดับแรกไว้ข้าง ๆ โดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน จากนั้นจึงหยิบกระดาษยันต์เยื่อไม้สนเปล่าอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา แล้วกวัดแกว่งพู่กันของเขาลงไปโดยไม่อยากเสียเวลาเปล่า ๆ

เมื่อห้าปีที่แล้วท่านปู่ของเฉินซีได้นำเงินเก็บก้อนสุดท้ายมาเป็นค่าเล่าเรียนเพื่อให้เฉินซีได้รับการศึกษาที่สำนักสร้างยันต์ เมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเขียนยันต์พื้นฐานระดับแรก การเขียนยันต์ก็กลายเป็นแหล่งรายได้หลักเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัว

อย่างไรก็ตาม เฉินซีรู้เพียงวิธีสร้างยันต์พื้นฐานขั้นต้นเท่านั้น เพราะในสำนักสร้างยันต์นั้นมีสอนแต่เพียงการสร้างยันต์พื้นฐานระดับขั้นต้นเท่านั้น หากใครต้องการเรียนรู้วิธีสร้างยันต์ระดับสูง พวกเขาจะต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อตำราที่เกี่ยวข้องมา แน่นอนว่าราคานั้นสูงเกินไป เฉินซีจึงไม่สามารถจ่ายได้

ถึงอย่างนั้นตอนนี้เฉินซีก็พอใจแล้ว

เมื่อแรกเริ่มที่เขาสร้างยันต์ เขาสามารถสร้างยันต์ขั้นต้นได้เพียงห้าแผ่นต่อวัน แต่ตอนนี้ เขาสามารถเขียนได้สามสิบแผ่นต่อวัน เมื่อแปลงเป็นศิลาวิญญาณ ยันต์สามสิบแผ่นนี้มีค่าเท่ากับศิลาวิญญาณสิบก้อน ในอดีตมันเพียงพอที่จะเจือจุนครอบครัว รวมทั้งจ่ายค่าเล่าเรียนวิชากระบี่ที่สำนักของเฉินฮ่าว

ทว่าตอนนี้ท่านปู่และน้องชายของเขาได้ไปที่ดินแดนทางใต้แล้ว จึงเหลือเพียงเขาเท่านั้น ตราบใดที่เขาใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์ เขาก็คงจะสามารถรวบรวมศิลาวิญญาณจำนวนมากได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นานนัก และการซื้อตำราวิธีสร้างยันต์ระดับสูงก็ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน

แน่นอนว่าก่อนทำอย่างนั้น เขาต้องคืนศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนที่เขาเป็นหนี้แก่ลุงจางเสียก่อน

เวลาล่วงเลยไป ภายในห้องที่คับแคบและมืดสลัว เฉินซีมีสมาธิจดจ่ออย่างยิ่งในขณะที่เขาใช้พู่กันอย่างไม่หยุดมือ เขาหมกมุ่นอยู่กับสภาวะลืมตัวตนไปโดยสิ้นเชิง ภายใต้สภาวะนี้กระดาษยันต์เยื่อไม้สนที่ว่างเปล่าทั้งหลายนั้นก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นยันต์ที่มีลวดลายซับซ้อนและลึกซึ้ง

ฟุ่บ!

ท้องฟ้านั้นมืดไปแล้วเมื่อเฉินซีเขียนยันต์แผ่นสุดท้ายเสร็จ เขาวางพู่กันเขียนยันต์ไว้บนแท่นหินหมึกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก คิ้วขมวดเผยความอ่อนล้าลึก ๆ ทำให้ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขายิ่งดูซีดลง

ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นกลาง ปราณแท้ในร่างกายของเขาแทบจะไม่สามารถประคับประคองไหวหลังจากการเขียนยันต์ขั้นต้นสามสิบแผ่น หากเขาต้องการที่จะเขียนมากกว่านี้ มันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อระดับการบ่มเพาะของเขารุดหน้าขึ้น

ปัญหานี้มันง่ายที่จะพูด แต่สำหรับเฉินซีมันยากมากที่จะเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขาเอง

พรสวรรค์แต่กำเนิดของเขานั้นไม่เลวร้าย และเคล็ดวิชานภาม่วงที่สืบทอดมาจากครอบครัวของเขานั้นก็ไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดาทั่วไป ทว่าระดับการบ่มเพาะของเขากลับหยุดนิ่งที่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นกลางมาเป็นเวลาห้าปีโดยไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย

เป็นเพราะเหตุนี้เองที่เฉินเทียนลี่วางความหวังทั้งหมดไว้กับเฉินฮ่าว ในขณะที่เฉินซีถูกจัดให้ร่ำเรียนแต่การเขียนยันต์…

หรือว่าเป็นเพราะข้าโง่เกินไป?

เฉินซีถามคำถามนี้กับตัวเองซ้ำ ๆ อยู่หลายพันครั้ง และทุกครั้งเขาปฏิเสธไม่ยินยอมที่เชื่อจนต่อมามันเริ่มกลายเป็นความคับข้องใจ ความเจ็บปวด และความรู้สึกสูญเสียอยู่ภายในใจ…

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เฉินซีได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ จากนั้นเสียงของผู้หญิงที่อ่อนโยนและน่าฟังก็ดังขึ้น “เฉินซี ซีซีอยู่ในบ้านของเจ้าหรือไม่?”

เฉินซีเดินไปเปิดประตูทันที สตรีที่มีลักษณะสง่างามยืนอยู่นอกประตู นางสวมเสื้อคลุมผ้าและปิ่นปักผมที่ทำจากกิ่งไม้ขัดเงามาอย่างประณีต นางคือมารดาของซีซีนามว่า ‘ไป๋หว่านฉิง’

“ท่านน้าไป๋ ซีซีหลับไปแล้วขอรับ” เฉินซีกล่าว

ไป๋หว่านฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะที่นางยิ้มและกล่าวว่า “เด็กน้อยไม่ได้รบกวนเจ้าใช่ไหม? ข้าจะพานางกลับบ้านเดี๋ยวนี้”

เฉินซีส่ายหัวเบา ๆ

ไป๋หว่านฉิงรู้นิสัยของเฉินซีดีอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนพูดน้อย นางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้าวเข้ามาในบ้านเพื่ออุ้มซีซีที่หลับสนิท จากนั้นนางจึงจากไป

อย่างไรก็ตาม ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เสียงเคาะดังขึ้นและรัวแรงราวกับเสียงรัวกลอง

เฉินซีขมวดคิ้วและเดินไปเปิดประตู เป็นไป๋หว่านฉิงคนเดิมที่กลับมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

เกิดอะไรขึ้น?

ในขณะที่เฉินซีกำลังสับสน ไป๋หว่านฉิงก็พูดรัวเร็วเสียงดัง “เร็วเข้า! รีบออกไปที่นอกเมือง มีข่าวว่าปู่ของเจ้าประสบอุบัติเหตุ!”

อะไรนะ?

ท่านปู่ประสบอุบัติเหตุ!?

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท