บทที่ 5 จี้หยก
บทที่ 5 จี้หยก
ผู้ใดคือนายน้อยที่เสียงนั่นกล่าวถึง?
แท้จริงแล้วสาเหตุการสังหารหมู่ตระกูลของข้าเป็นเพียงแค่เพราะเรื่องงานสมรส?
ใครคือคนผู้นั้นในเมืองทะเลสาบมังกร?
เฉินซีครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่ง ข้อมูลภายในยันต์เสียงสงัดนั้นเล็กน้อยจนเกินไปทว่ามันยังคงมีคำใบ้เล็ก ๆ แฝงอยู่ สิ่งที่เขาต้องทำหลังจากนี้คือการหาเบาะแสต่อ และจากนั้นเขาก็แน่ใจว่าจะสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างได้พอดี!
ใครสักคนในเมืองทะเลสาบมังกรที่เกี่ยวข้องกับข้านั้นก็มีแค่เพียง…
ตระกูลซู!
ใช่แล้ว มันต้องเป็นตระกูลซูในเมืองทะเลสาบมังกรอย่างแน่นอน!
ภาพความทรงจำในอดีตปรากฏขึ้นในหัวของเฉินซีอย่างแจ่มชัดซึ่งคาดว่าความคิดนี้มีความเป็นไปได้สูง
เขาเคยได้ยินปู่ของเขาพูดเกี่ยวกับตระกูลซูมาก่อน เมื่อตอนที่เขาลืมตาดูโลก แม่ของเขาจั่วชิวเสวี่ยได้ตกลงที่จะแต่งงานกับผู้นำตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร ข้อตกลงกล่าวไว้ว่าเมื่อเขาอายุสิบแปดขวบปีเฉินซีจะต้องแต่งงานกับบุตรสาวของผู้นำตระกูลซู ซูเจียว แต่แล้วหลังจากตระกูลเฉินของเขาถูกสังหารหมู่และแม่ของเขาหายตัวไป เมื่อเขาอายุได้สี่ขวบปี ตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกรได้นำผู้อาวุโสขอบเขตเคหาทองคำมากกว่าสิบคนมาฉีกสัญญาการหมั้นต่อหน้าชาวเมืองหมอกสน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกรมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะส่งผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลมาสังหารท่านปู่และน้องชายของเขาแน่นอน!
ใช่แล้ว แน่นอนว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น!
ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไร ความคิดของเฉินซีก็เริ่มกระจ่างชัดยิ่งขึ้นและเขาคิดว่าสิ่งที่เขาสรุปได้นั้นมิได้ไกลจากความจริงมากนัก
ส่วนเรื่องตัวตนของ ‘นายน้อย’ มันควรจะตามหาได้ไม่ยาก การกระทำอุกอาจที่ใหญ่โตขนาดนี้ในเมืองหมอกสนไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางปิดได้มิด และมีแต่คนที่มีอิทธิพลใหญ่โตที่สุดของเมืองหมอกสนเท่านั้นที่สามารถทุ่มทุนวางกำลังเอาไว้รอบเมืองหมอกสนเพื่อยับยั้งไม่ให้น้องชายและปู่ของเขาจากไปได้
ส่วนจุดประสงค์ที่ลงมือทำเช่นนี้ย่อมเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของ การแต่งงานของ ‘นายน้อย’ ผู้นั้นหรือก็เพื่อการได้สิทธิ์แต่งงานกับตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร ซึ่งทั้งสองฝ่ายอาจทำข้อตกลงกันว่า ‘นายน้อย’ จะต้องทรมานตระกูลเฉินให้ตายให้หมด!
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ร่างกายของเฉินซีก็รู้สึกเย็นยะเยือกราวกับตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง การฉีกสัญญาหมั้นต่อหน้าผู้คนทั้งเมืองนั้นจัดได้ว่าโหดเหี้ยมแล้ว แต่คนเหล่านั้นกลับยังไม่พอใจและต้องการฆ่าล้างโคตรตระกูลของเขาให้หมดสิ้น อะไรมันจะชั่วช้าได้เช่นนี้! หัวใจของพวกมันทำด้วยสิ่งใดกัน!
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกขณะที่พยายามทำจิตใจตนเองให้สงบลงและเริ่มครุ่นคิดดูอย่างถี่ถ้วนว่า ‘นายน้อย’ นั่นควรเป็นคนจากขุมกำลังใดในเมืองหมอกสน
ดินแดนทางตอนใต้เป็นอาณาเขตของราชวงศ์ซ่งซึ่งครอบคลุมพื้นที่นับล้านลี้ และประกอบไปด้วยหัวเมืองมากมาย เมืองหมอกสนเป็นแค่เมืองที่ไม่ได้สำคัญอันใดในดินแดนทางตอนใต้ ทั้งยังมีพื้นที่อยู่เพียงหมื่นลี้เท่านั้น
เมืองหมอกสนอยู่ติดกับภูเขาทางตอนใต้ที่มีสัตว์อสูรอยู่มากมาย และเนื่องจากภูมิประเทศโดยรอบมีปราณวิญญาณสถิตอยู่ไม่มากนักอีกทั้งยังไม่มีแหล่งสินแร่มากเท่าไร การที่เมืองหมอกสนตั้งอยู่บนพื้นที่ที่แห้งแล้งเช่นนี้จึงมีขุมกำลังใหญ่อยู่ในเมืองน้อยมาก
ตามความรู้ของเฉินซี เมืองหมอกสนถูกครอบครองโดยสามขุมกำลังใหญ่ ได้แก่ หนึ่งคือจวนแม่ทัพ สองคือตระกูลหลี่ และสุดท้ายก็คือสำนักหมอกสน
จวนแม่ทัพเป็นสถานที่ที่มีกฎระเบียบเคร่งครัด พวกเขาถูกส่งมาประจำการโดยราชวงศ์ซ่งเพื่อรักษาดูแลความสงบเมืองหมอกสน และด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงแทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับขุมกำลังอื่น ๆ ในเมืองเลย
ส่วนสำนักหมอกสนนั้น มุ่งเน้นแต่การรับเหล่าคนรุ่นเยาว์ที่มีแววมาฝึกปรือให้กลายเป็นผู้บ่มเพาะ แม้พวกเขาจะมีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอยู่ภายในสำนักเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งความเป็นใหญ่กับขุมกำลังใด ๆ ทั้งยังดำรงอยู่อย่างสงบมาโดยตลอด
ในทางกลับกัน ตระกูลหลี่คือฝ่ายที่มักมีความเคลื่อนไหวเสมอในเรื่องการชิงความเป็นใหญ่ในเมืองหมอกสน พวกเขามีผู้บ่มเพาะในขอบเขตตำหนักอินทนิลมากกว่าสิบคน และหลังจากการล่มสลายของตระกูลเฉินไม่นานนักตระกูลหลี่ก็ได้กลายมาเป็นตระกูลอันดับหนึ่งภายในเมืองหมอกสน
เฉินซีสงสัยว่าเป็นตระกูลหลี่
ในบรรดาขุมกำลังทั้งสามนี้ ถ้าจะกล่าวถึงฝ่ายที่เกลียดชังตระกูลเฉินมากที่สุดก็คงไม่พ้นตระกูลหลี่อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุที่ว่าก่อนที่ตระกูลเฉินจะล่มสลาย ทั้งสองตระกูลต่างก็เป็นศัตรูกันมาอย่างยาวนาน
อันที่จริงปู่ของเขาสงสัยว่าตระกูลหลี่เป็นผู้ต้องสงสัยหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการฆ่าล้างตระกูลเฉินเช่นกัน
“มีทรัพยากรมากพอที่จะจัดวางกำลังคนอยู่รอบนอกของเมืองและเป็นปรปักษ์กับตระกูลเฉินมาโดยตลอด ‘นายน้อย’ นั่นต้องเป็นคนในตระกูลหลี่อย่างแน่นอน!”
ณ จุดนี้เบาะแสทั้งหมดได้ค่อย ๆ กระจ่างขึ้นซึ่งทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว ขณะที่เขาลอบกล่าวกับตัวเองในใจ ‘ท่านปู่ ท่านเสียใจมาโดยตลอดเกี่ยวกับการที่ท่านไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดทำลายล้างตระกูลเฉินของเราใช่หรือไม่? ไม่ต้องกังวลแล้วนะท่านปู่ ตอนนี้หลานของท่านสรุปได้แล้วว่าผู้ใดที่ทำลายล้างเรา ข้าขอสาบานเมื่อใดที่หลานของท่านผู้นี้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งข้าจะล้างแค้นให้ท่าน! ข้าจะล้างแค้นให้กับคนตระกูลเฉินของพวกเราทั้งหนึ่งพันคน!’
“ท่านพี่ท่านรู้แล้วหรือว่าผู้ใดเป็นศัตรูของเรา?” ดวงตาเล็ก ๆ ของเฉินฮ่าวมองที่เฉินซี ภายในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังเคียดแค้น
เฉินซีส่ายศีรษะ ก่อนที่เขาจะแข็งแกร่งพอทำลายตระกูลหลี่ได้ด้วยตัวเอง การบอกความลับนี้แก่น้องชายของเขาก็จะรังแต่สร้างผลเสียและไม่เกิดประโยชน์อันใด
“เสี่ยวฮ่าว ในเมื่อเจ้าตัดสินใจที่จะฝึกกระบี่ด้วยมือซ้ายเช่นนี้ เจ้าก็จงพยายามให้หนัก! เมื่อวันหนึ่งเจ้าได้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเพียงพอท่านพี่ของเจ้าจะพาเจ้าไปสังหารเหล่าศัตรูของเราทั้งหมด!” เฉินซีตบบ่าของน้องชาย สีหน้าแสดงถึงความแน่วแน่ “ส่วนท่านพี่ของเจ้าเองก็จะพยายามให้หนักที่สุดเช่นกันเพื่อที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง และสามารถปกป้องเจ้าไม่ให้พบเจอกับความอยุติธรรมใด ๆ อีกในอนาคต!”
เฉินฮ่าวพยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านพี่ เพื่อท่านปู่และเพื่อตระกูลเฉินของเรา พวกเรามาพยายามด้วยกันเถอะ!”
“ตกลง!” สองพี่น้องมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่แน่นแฟ้นดูราวกับว่าจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ในวันถัดมา นอกจากเขียนยันต์เพื่อขายแลกศิลาวิญญาณ เฉินซีก็ทุ่มเทเวลาให้กับการบ่มเพาะ แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของเขาจะหยุดนิ่งอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสามเป็นเวลายาวนานถึงห้าปีแล้วก็ตาม ทว่าเขาก็ไม่ท้อใจแม้แต่น้อยและพยายามบ่มเพาะอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ ชายหนุ่มบ่มเพาะถึงจุดที่เขาไม่ได้กินข้าวและนอนเพราะว่าเขาจะไม่ยอมเสียเวลาไปเลยแม้แต่เพียงน้อยนิด
หยดน้ำยังสามารถกร่อนหินได้ ดังนั้นแล้วหากเขาพยายามอย่างไม่หยุดยั้ง เขามั่นใจว่าตัวเองก็ยังคงมีความหวัง!
เฉินฮ่าวก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เพราะว่าเสียแขนขวาไปการฝึกกระบี่ที่เขาเคยทำมาจึงมิอาจจะทำได้เช่นเมื่อก่อน ดังนั้นการฝึกกระบี่ด้วยแขนซ้ายจึงแทบไม่ต่างกับการเริ่มต้นใหม่
เขาค่อย ๆ ปรับตัวฝึกกระบี่ให้เข้ากับแขนซ้ายด้วยความพยายามอย่างหนัก จังหวะการเคลื่อนไหวออกกระบี่ด้วยแขนซ้ายของเขามั่นคงมากขึ้นทีละน้อย
ภายใต้ดวงตะวันที่ขึ้นและตกลงในทุกวัน ร่างกายที่ผอมแห้งเต็มไปด้วยเหงื่อจากการฝึกกระบี่ด้วยความเพียรพยายามอย่างหนัก
พรสวรรค์แต่กำเนิดของเฉินฮ่าวนั้นดีตั้งแต่ต้นแล้วและพื้นฐานของเขาก็ได้รับการชี้แนะจากท่านปู่ ดังนั้นเวลาไม่ถึงสิบวันผ่านไปเด็กหนุ่มก็ได้ทำให้แขนซ้ายของเขาคุ้นเคยกับกระบี่ และยิ่งไปกว่านั้นด้วยจิตที่มุ่งเน้นไปเพียงแค่การฝึกฝนแขนข้างเดียว เขาจึงประสบความสำเร็จอย่างสูงบนหนทางแห่งผู้ใช้กระบี่
ทว่าสิ่งที่ควรจะกล่าวถึงมากที่สุดคือช่วงเวลาแปดวันที่ผ่านมา เฉินฮ่าวได้ทะลวงคอขวดจากขอบเขตสร้างรากฐานขั้นสูงสุดและก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
ด้วยความเร็วในการก้าวหน้าของเขา เด็กหนุ่มคงใช้เวลาไม่นานที่จะก้าวผ่านพี่ชายของตนเองได้
แม้แต่เฉินซีก็รู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้และในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก แล้วเขาล่ะ? เมื่อใดเขาจะสามารถก้าวผ่านขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สามได้?
แม้ว่าระหว่างนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาจะยังคงไม่ก้าวหน้า แต่เฉินซีก็สามารถแก้ไขปัญหาหนึ่งได้สำเร็จ เมื่อสองวันที่แล้วเขาได้ใช้หนี้ลุงจางเป็นศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่งร้อยก้อนแล้ว และเขาก็ยังคงเหลือศิลาวิญญาณอีกเล็กน้อยซึ่งมันทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาก
ชายหนุ่มคำนวณหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในแต่ละวันแล้ว เขาจะยังเหลือศิลาวิญญาณสี่ก้อนจากการเขียนยันต์ของเขา เดิมทีเขาวางแผนที่จะรวบรวมศิลาวิญญาณไปซื้อตำราผู้เขียนยันต์ระดับสอง แต่เพื่อการบ่มเพาะที่เร็วยิ่งขึ้นเขาจึงตัดสินใจที่ใช้ศิลาวิญญาณมาใช้ในการบ่มเพาะ
ก่อนหน้านี้เฉินซีมีความคิดที่ว่าเขาไม่สามารถนำศิลาวิญญาณมาบ่มเพาะตัวเองเพราะมันฟุ่มเฟือยเกินไป และเขาก็ต้องประหยัดที่สุดเพื่อจุนเจือครอบครัวเพราะกังวลว่าจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ เขากังวลถึงขนาดอยากจะตัดแบ่งครึ่งศิลาวิญญาณเป็นสองส่วนก่อนนำมาใช้ด้วยซ้ำหากเป็นไปได้
แต่ตอนนี้เพื่อพัฒนาระดับการบ่มเพาะให้ได้เร็วที่สุด เขาจึงไม่สามารถประหยัดเช่นนั้นได้อีก
ปราณแท้ภายในร่างกายของเฉินซีสามารถเขียนยันต์ได้เพียงสามสิบแผ่นต่อวันเท่านั้น ซึ่งมันสร้างเงินให้เขาได้ศิลาวิญญาณสูงสุดสิบก้อนต่อวัน ทว่าเมื่อวันใดที่ระดับการบ่มเพาะของเขาสูงขึ้น ปราณแท้ในร่างของเขาก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นและจะทำให้เขาสามารถเขียนยันต์ได้เยอะกว่าเดิม ทั้งยังทำให้เขาได้รับศิลาวิญญาณจำนวนมากขึ้นเป็นเท่าทวี
ดังนั้นตอนนี้ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของเขาจึงสำคัญที่สุด!
ความหนาแน่นของปราณวิญญาณในเมืองหมอกสนนั้นเบาบางเกินไป มีเพียงแค่การใช้ศิลาวิญญาณในการบ่มเพาะเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้ตัวเขาและน้องชายกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้!
ด้วยแผนการดังกล่าว เฉินซีจึงแบ่งครึ่งศิลาวิญญาณสี่ก้อนที่เขาได้รับมาในแต่ละวันกับน้องชายของเขาเพื่อแบ่งกันนำพวกมันไปบ่มเพาะ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเฉินซีนั้นแทบจะพูดไม่ออกเพราะในช่วงเวลาสิบวันที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะใช้ศิลาวิญญาณในการบ่มเพาะ แต่ระดับการบ่มเพาะหรือปราณแท้ภายในร่างกายของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าข้าจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดชั่วชีวิตของข้า?
คืนนี้เฉินซียังคงนั่งทำสมาธิบ่มเพาะบนเตียงของเขาอย่างเงียบ ๆ เหมือนทุกวัน แม้ว่าเขาจะมีความพยายามที่แน่วแน่ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่
เฉินซีมักจะทำสมาธิและบ่มเพาะเมื่อตอนที่หัวใจของเขาพบเจอกับความลำบาก และมีเพียงการบ่มเพาะเท่านั้นที่จะทำให้เขาลืมทุกอย่าง
แคร็ก!
หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ เมื่อถึงตอนที่ร่างกายของเฉินซีเต็มไปด้วยปราณแท้ เฉินซีจึงหยุดบ่มเพาะและกำลังจะเข้านอน ทว่าเขากลับได้ยินเสียงของการแตกหักที่แจ่มชัดใกล้ ๆ หู แม้ว่าเสียงจะเบาแต่ในค่ำคืนที่เงียบสงัดมันกลับแจ่มชัดมาก ๆ
เฉินซีมองหาที่มาของเสียงก่อนจะก้มมองจี้แม่กุญแจอายุยืนที่ห้อยคล้องอยู่ที่คอของเขา มันเป็นสิ่งที่แม่ของเขาได้คล้องคอของเขาไว้เมื่อตอนที่เขาเกิดมา มันหมายถึงการที่เขาจะได้เติบโตอย่างสงบสุขโดยไร้ซึ่งความทุกข์ทรมานและความลำบากใด ๆ
จี้แม่กุญแจอายุยืนนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เฉินซีได้มาจากแม่ของเขา ดังนั้นเขาจึงทะนุถนอมมันเป็นอย่างดี ทว่าในตอนนี้มันกลับมีรอยแตกร้าวมากมายคล้ายกับใยแมงมุมบนจี้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกตกตะลึงและเสียใจจนพูดไม่ออก
เกิดบ้าอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้มีรอยร้าวปรากฏขึ้นโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้?
เฉินซียกมือขึ้นแตะไปที่จี้แม่กุญแจอายุยืน แต่เหตุการณ์ถัดมามันทำให้เขาตกตะลึงจนแทบลุกขึ้นยืนเพราะเพียงปลายนิ้วของเขาสัมผัสมันเท่านั้น รอยร้าวมากมายพลันปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนพื้นผิวทั้งหมดของจี้แม่กุญแจอายุยืน ก่อนที่อึดใจถัดมาพื้นผิวของมันจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษกระจายตกอยู่รอบตัวของเขาและเผยให้เห็นจี้หยกสีดำที่หลงเหลืออยู่!
มันมีจี้หยกอยู่ภายในจี้แม่กุญแจอายุยืนด้วยอย่างนั้นหรือ?
เฉินซีรู้สึกราวกับจิตใจของเขาถูกคลื่นซัดใส่ ในหัวของเขามึนงงกับจี้หยกสีดำนี้
จี้หยกสีดำนี้มีขนาดเท่ากับหนึ่งในสี่ของผลลำไย รูปลักษณ์ของมันเป็นทรงกลมเกลี้ยงเงาวาวดุจผลึกแก้ว ดูเหมือนไข่มุกสีดำคุณภาพไร้ที่ติ
นี่เป็นของขวัญที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้าหรือไม่? แต่ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เหตุใดนางต้องนำมันมาซ่อนเอาไว้ในจี้แม่กุญแจอายุยืนเช่นนี้ด้วย?
ฮึ่ม!
ในขณะที่เฉินซีกำลังสับสน เสียงกังวานเก่าแก่แต่ฟังดูไพเราะได้ดังขึ้นราวกับน้ำพุที่พุ่งออกมาจากลำธารเล็กที่แทบจะเหือดแห้ง มันฟังดูเสนาะหู หลังจากเสียงกังวานดังขึ้น ทันใดนั้นจี้หยกก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนกลางอากาศพร้อมกับมีแสงสีขาวพวยพุ่งออกจากพื้นผิวของจี้หยก!
ประกายแสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งออกมาจากจี้หยกและส่องสว่างไปทั่วห้อง แสงสีขาวกระจ่างไปทั่วราวกับหมอกซึ่งทำให้การมองเห็นพร่ามัว ภาพที่เกิดขึ้นนั้นคล้ายกับในความฝัน
เฉินซีรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในฝัน ขณะที่เขากำลังงุนงงไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดีจู่ ๆ แสงสีขาวเบื้องหน้าเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงและควบแน่นกลายเป็นภาพของสตรีชุดขาวปรากฏตัวขึ้นบนอากาศต่อหน้าเขา!
สตรีในชุดขาวนั้นมีรูปลักษณ์งดงามราวกับภาพวาดของจิตกรเอก ทว่าความรู้สึกอ่อนโยนที่แผ่ออกจากนางทำให้เฉินซีรู้สึกคุ้นเคยกับนางทันที มันเป็นความรู้สึกคุ้นเคยที่หายไปยาวนานแล้ว
“ลูกรักของแม่ ในที่สุดพวกเราก็พบกันอีกครั้ง!” สตรีในชุดขาวอยู่ในท่วงท่ามือไพล่หลัง ดวงตาของนางกะพริบให้กับเฉินซีและกล่าวด้วยรอยยิ้ม เสียงที่ใสและไพเราะของนางฟังดูสบายใจราวกับเป็นเสียงการไหลรินของน้ำในสายธาร ซึ่งให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาและผ่อนคลายจิตใจ
ดวงตาของเฉินซีเบิกกว้างหลังจากได้ยินคำพูดของนาง เขามองสตรีชุดขาวตรงหน้าด้วยความตกตะลึงสุดขีด
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าที่มักจะเย็นชาแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
นาง… นางคือแม่ของข้าจริง ๆ หรือ? จั่วชิวเสวี่ย?