บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 17 การทดสอบ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 17 การทดสอบ

บทที่ 17 การทดสอบ

ณ ร้านอาหารนทีกระจ่าง ภายในชั้นสองของครัวทางด้านหลัง

ยามเมื่อเฉินซีและไป๋หว่านฉิงเดินเข้ามาในห้อง ผู้เฒ่าหม่า เฉียวหนานและเพ่ยเพ่ยได้รออยู่ในที่แห่งนั้นแล้ว มุมริมฝีปากของเฉียวหนานยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส ขณะที่ผิวปากอย่างมีชีวิตชีวา “หญิงงามไป๋ ไม่ได้เจอเจ้าเพียงสิบวันก็เหมือนนานนับสิบปี ข้านั้นคิดถึงเจ้ายิ่งนัก เจ้าสุขสบายดีไหม?”

เพ่ยเพ่ยกลับแสดงสีหน้าแลดูกรุ้มกริ่ม ขณะที่นางจดจ้องไปยังเฉินซีด้วยความหลงใหลและบ่นพึมพำว่า “ฮืม เฉินซีน้อย ดูเหมือนเจ้าจะหล่อเหลาดูเป็นลูกผู้ชายยิ่งขึ้นมากกว่าคราวที่แล้วที่พบเจอกัน!”

ผู้เฒ่าหม่าตีตะหลิวเหล็กในมือจนก่อเสียงดังกังวาน ขณะที่เขากระทืบเท้าและคำรามเสียงก้องราวกับฟ้าร้อง “ไม่อยากจะเชื่อว่าคนไร้ยางอายอย่างพวกเจ้าจะเป็นศิษย์น้องของข้า! บัดซบเอ๊ย พวกเจ้าทั้งคู่หุบปากไปซะ!”

เฉียวหนานและเพ่ยเพ่ยเม้มปากด้วยความขุ่นเคืองอย่างอธิบายไม่ถูก

เฉินซีเคยประสบกับเหตุการณ์เยี่ยงนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจกับฉากที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังรู้สึกผิดแปลกกับการกระทำของหญิงสาวที่บอบบางและมีเสน่ห์เยี่ยงเพ่ยเพ่ย เขาจึงครุ่นคิดในใจว่า ‘เมื่อผู้เฒ่าหม่ากลายเป็นอาจารย์ของข้า ท่านย่อมเป็นอาจารย์อา เหตุใดถึงไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจยามเมื่อท่านกล่าวสิ่งใด?’

“ข้าคิดว่าเจ้าได้เรียนรู้คัมภีร์ประกอบอาหารขั้นสุดยอดและบันทึกของเปลวเพลิงวิญญาณอย่างถ่องแท้เปรียบดั่งหลังมือของเจ้าภายในระยะเวลาสิบวันที่ผ่านมา ดังนั้นข้าจะถามคำถาม หากเจ้าตอบได้ ข้าจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ถ้าตอบไม่ได้ก็รีบไสหัวออกไปซะ จะได้ไม่เป็นการเสียเวลาแก่กัน!” การแสดงออกของผู้เฒ่าหม่าเริ่มจริงจัง จากนั้นเขาเริ่มทดสอบสิ่งที่เฉินซีเรียนรู้ตลอดสิบวันที่ผ่านมา

เฉินซีพยักหน้ารับด้วยท่าทีอันสงบ ในช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้ จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจากการเฝ้ามองรูปปั้นเทพเจ้าฝูซี ด้วยเหตุนี้เอง ชายหนุ่มจึงเข้าใจถึงความกว้างใหญ่ไพศาลดั่งมหาสมุทรของคัมภีร์ประกอบอาหารขั้นสุดยอดและบันทึกของเปลวเพลิงวิญญาณภายในระยะเวลาอันสั้น

เฉินซีมั่นใจว่าตราบใดที่คำถามมาจากภายในตำราสองเล่มนี้ เขาจะไม่ทำผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย!

คำถามของผู้เฒ่าหม่าที่ถูกตั้งขึ้นมีเพียงสองคำถามเท่านั้น คำถามแรก ‘ธารสายรุ้ง’! สิ่งนี้คือชื่ออาหารที่มีเพียงพ่อครัววิญญาณระดับ 5 ใบไม้เท่านั้นที่สามารถปรุงได้ เนื่องจากส่วนผสมและเปลวเพลิงจิตวิญญาณที่ต้องใช้มีข้อกำหนดเฉพาะ อาหารจานนี้จึงมักจัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตแก่นทองคำ

อย่างไรก็ตาม ภายในคัมภีร์ประกอบอาหารขั้นสุดยอด การจัดอันดับของธารสายรุ้งท่ามกลางบรรดาอาหารมากมาย ระดับของมันนับว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับอาหารจานอื่น ๆ สำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตแก่นทองคำ อีกทั้งธารสายรุ้งยังเป็นหนึ่งในอาหารที่มีกระบวนการทำยากลำบากที่สุด แค่เฉพาะส่วนผสมต่าง ๆ ที่ถูกใช้ยังมีมากกว่าร้อยชนิดและขั้นตอนในการปรุงก็สูงถึงหลักพัน หากไม่จำเป็นพ่อครัววิญญาณระดับ 5 ใบไม้มักที่จะไม่ยินยอมทำอาหารจานนี้ ดังนั้นจึงมีเพียงไม่กี่คนที่แสดงความสนใจต่อธารสายรุ้ง

ตราบที่ผู้เฒ่าหม่ากังวล ถ้าเฉินซีเชี่ยวชาญคัมภีร์ประกอบอาหารขั้นสุดยอดอย่างถ่องแท้ การใช้ธารสายรุ้งเพื่อทดสอบเขาก็เหมาะสมอย่างยิ่ง

“ในหมู่พวกเราทั้งสามคน มีเพียงข้าเท่านั้นที่จำขั้นตอนในการปรุงอาหารจานนี้ได้แม้ว่าเจ้าเด็กนี้จะฉลาดเป็นกรด แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเทียบเคียงกับข้า อย่างมากก็พอที่จะเทียบได้กับศิษย์พี่และศิษย์น้องหญิงเท่านั้น ท่านไม่คิดว่ามันยากเกินไปสำหรับเขาหรือ?” เฉียวหนานกล่าวท้วงอย่างเคารพแทนเฉินซี แต่คำกล่าวของเขาเต็มไปด้วยการยกย่องตนเอง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้หาใช่คนดีโดยแท้จริง

“ใช่แล้วศิษย์พี่ ท่านคงไม่คิดอิจฉาที่น้องชายเฉินซีดูหล่อเหลากว่าจนใช้วิธีเยี่ยงนี้เพื่อบีบบังคับไล่เขาไปให้พ้นทางใช่หรือไม่? ข้าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของท่านจริง ๆ” เพ่ยเพ่ยกลอกตาและเริ่มใช้วิธีของนางเองเพื่อทักท้วงแทนเฉินซี

เส้นเลือดบนหน้าผากของผู้เฒ่าหม่าปูดขึ้นมาขณะที่เขากัดฟันและตะโกนลั่นว่า “หุบปาก! อีกคนเป็นพวกหลงตัวเองและอีกคนก็ลุ่มหลงในชายหนุ่ม! พวกเจ้าทั้งสองมีคุณสมบัติอะไรจะมาสั่งสอนข้า? ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ คำกล่าวของข้านั้นถือเป็นที่สิ้นสุด!”

เฉียวหนานและเพ่ยเพ่ยได้แต่นิ่งเงียบอย่างหมดหนทาง และยอมจำนนต่ออำนาจอันเด็ดขาดของผู้เฒ่าหม่า

“มันคงไม่เป็นปัญหากระมัง?” แม้ว่าไป๋หว่านฉิงจะไม่ทราบถึงระดับความยากของธารสายรุ้ง แต่จากพฤติกรรมของเฉียวหนานและเพ่ยเพ่ย นางก็สามารถคาดเดาความยากของมันได้อย่างคร่าว ๆ

นางอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวลขณะที่นางจ้องมองไปยังเฉินซี และหญิงสาวก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าแก่ตัวเหม็นคนนี้ จงใจทำให้เฉินซีประสบความยากลำบากจริง ๆ?

เฉินซีพยักหน้ารับไป๋หว่านฉิง จากนั้นเรียบเรียงทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์แบบ และกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ธารสายรุ้งนั้นทำขึ้นมาจากรากก้นหอยคราม หยาดของพวงกระวาน ผลเถาวัลย์สีม่วงเก้ากลีบ ก้านเกสรหนวดมังกร…”

เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสงบนิ่ง ถ้อยคำได้ผ่านเข้าสู่โสตของทุกคนที่เข้าร่วมอย่างชัดเจน

“ส่วนผสมนับร้อยรายการนี้ มีคุณสมบัติที่ประกอบด้วยธาตุทั้งห้า รวมไปถึงหยินและหยาง พวกมันจะต้องถูกหั่นเป็นเส้นที่มีสภาพพอเหมาะดั่งเส้นไหม และนี่เป็นขั้นตอนแรก ขั้นตอนที่สองคือการใช้น้ำจากหินย้อยอายุหมื่นปีมาเตรียมไว้ ก่อนจะคัดแยกส่วนผสมทั้งหลายตามคุณสมบัติต่าง ๆ เพื่อนำไปแช่และบ่มในน้ำของหินย้อยอายุหมื่นปีจนถึงจุดที่เส้นไหมเรียบราวกับสายน้ำและยืดหยุ่นเหมือนเส้นเอ็น จากนั้นใช้เปลวไฟจิตวิญญาณพฤกษาคราม เปลวไฟจิตวิญญาณสายน้ำที่สิบ เปลวไฟจิตวิญญาณเพลิงแดงเข้ม…”

ใช้เวลาเพียงไม่นานเฉินซีได้กล่าวถึงส่วนผสมเกือบร้อยรายการที่มีคุณลักษณะต่างๆ แล้วจึงเริ่มกล่าวถึงวิธีการจัดการส่วนผสม ไป๋หว่านฉิงฟังแล้วก็ไม่เข้าใจถึงสิ่งเหล่านี้ แต่นางเห็นชัดเจนว่าตลอดรายชื่อของส่วนผสมที่เฉินซีกล่าวออกมา การแสดงออกของผู้เฒ่าหม่าและคนอื่น ๆ ก็เริ่มจริงจัง ดวงตาของพวกเขาก็เผยให้เห็นร่องรอยของความประหลาดใจ

นางอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก และความรู้สึกภาคภูมิใจที่มีต่อตัวเฉินซีก็ผุดขึ้นในใจนางมากยิ่งขึ้น

“โอ้ ความจำของเจ้าเด็กคนนี้ไม่เลวเลย ในไม่ช้าเขาจะตามข้าทันในเร็ววันแน่” เฉียวหนานตกใจเมื่อเขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีร่องรอยของความผิดปกติ

“เป็นไปไม่ได้! ตอนนี้เจ้ายังกล้าเหลวไหลอยู่อีก? เท่าที่ข้าจำได้ว่า กว่าที่เจ้าจะจำขั้นตอนทั้งหมดของธารสายรุ้งได้ เจ้าเคยจำผิดมากกว่าสิบครั้ง กลับกันน้องชายเฉินซีไม่ได้กล่าวผิดพลาดเลยทั้ง ๆ ที่เพิ่งศึกษามัน!” เพ่ยเพ่ยเปิดเผยเขาอย่างไม่ลดละ

ความอับอายปรากฏบนใบหน้าของเฉียวหนาน จากนั้นใบหน้าของเขาก็มืดมนลง “จริง ๆ แล้วข้าจำมันได้อย่างสมบูรณ์ตั้งแต่แรกแล้วแต่เป็นเพราะข้าหวังดีไม่อยากทำให้เจ้าและศิษย์พี่ใหญ่เสียหน้าต่างหาก ดังนั้นข้าก็เลยตั้งใจ…”

“หุบปากซะ!” ผู้เฒ่าหม่าตวาดลั่นและขัดจังหวะ “ข้าจะรับลูกศิษย์ ไม่ได้มาฟังเจ้ายกยอตัวเอง!”

เฉียวหนานถอนหายใจเบา ๆ แล้วลูบคางของเขาอย่างไม่เร่งรีบ สีหน้าของเขายังคงเยือกเย็นกับฉากที่เห็น แต่ในใจเขากลับร้อนรุ่มมิอาจอดทน เขาหงุดหงิดและโกรธเคืองก่อนจะถากถางว่า “เจ้าเด็กน้อย รีบทำผิดพลาดซะ ไม่เช่นนั้นภาพลักษณ์ที่น่านับถือและมีความสามารถของข้าจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ แล้วข้าจะมีหน้าไปเสวนากับหญิงงามในอนาคตได้อย่างไร…?”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เฉียวหนานสิ้นหวังก็คือเวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ แต่เฉินซีก็ยังไม่มีการผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในทางตรงกันข้าม น้ำเสียงของเฉินซียิ่งหนักแน่นมากขึ้น ความเร็วในการอธิบายก็เร็วขึ้นเรื่อย ๆ กล่าวง่าย ๆ ว่าปากของเฉินซีเปรียบดั่งสายน้ำที่ไหลเชี่ยวไม่หยุดยั้ง

เฉียวหนานรู้สึกเหมือนถูกหักหน้าอยู่ในใจ ‘จบแล้ว ความเป็นอัจฉริยะของข้านั้นถูกทำลายสิ้นแล้ว…’

เพ่ยเพ่ยพึมพำด้วยความหลงใหล “ช่างเป็นชายหนุ่มที่มาดมั่นและรูปงาม อืม… ศิษย์พี่หญิงคนนี้ถูกมัดใจและติดกับดักแห่งความรักอย่างสมบูรณ์”

ไป๋หว่านฉิงดวงตาเปล่งประกาย นางกล่าวซ้ำไม่หยุดหย่อน “ไม่เลว ไม่เลว…”

ใบหน้าที่เหี่ยวเฉาและแข็งทื่อของผู้เฒ่าหม่าเริ่มมีรอยยิ้มบ้างแล้ว ราวกับดอกหญ้าสีเหลืองที่บานสะพรั่งยามฤดูใบไม้ร่วง

“โดยสรุปแล้ว ตราบใดที่ส่วนผสมต่าง ๆ ได้เตรียมการตามขั้นตอนเหล่านี้ ตามที่ข้าได้กล่าวมา มันสามารถสร้างรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่เหมือนใครด้วยการหมุนวนของดวงวิญญาณ หลังจากอบด้วยเปลวไฟแห่งการรวบรวมวิญญาณ จะก่อให้เกิดสายรุ้งอย่างสมบูรณ์”

เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ในที่สุดเฉินซีก็อธิบายขั้นตอนทั้งหมดของธารสายรุ้งอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเขาลืมตาขึ้น กลับสังเกตเห็นว่าผู้คนรอบข้างต่างตกตะลึงราวกับไม่มีสติ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะผวาในใจ เขาครุ่นคิดกับตัวเองว่า ‘เป็นไปได้ไหมว่าข้าทำผิดพลาดลงไป?’

ทว่าเขากลับหาได้รู้ตัวว่าเขาได้อธิบายขั้นตอนทั้งหมดเป็นเวลาถึงหนึ่งชั่วยามเต็มโดยปราศจากข้อผิดพลาด เขารู้เพียงว่าวันนี้เขาพูดเยอะที่สุดแล้ว วันนี้วันเดียวเขาน่าจะพูดมากกว่าการพูดของทั้งปีที่แล้วซะอีก

“แค่ก ๆ อืม… เจ้าสามารถเชี่ยวชาญได้โดยใช้เวลาแค่สิบวัน พรสวรรค์ของเจ้านับว่าไม่เลวเลย” หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผู้เฒ่าหม่าก็ไอแห้ง ๆ เพื่อทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน

เฉินซีทอดถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก ตราบใดที่เขาผ่านการทดสอบ เขาก็ไม่สนใจเรื่องอื่น

“ศิษย์พี่ท่านหมายความว่าอะไรกับไอ้คำว่า ‘พรสวรรค์ไม่เลว’?” เฉียวหนานราวกับว่าถูกยั่วยุ และเขาหาได้มีร่องรอยของความสุขุมอีกต่อไป เขาโบกมือราวกับบ้าคลั่งขณะคำราม “ไอ้เจ้าเด็กนี่มันคืออัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ! ถ้าแบบนี้เรียกว่าพรสวรรค์ไม่เลวแล้วคนอย่างข้านับเป็นตัวอะไร? เศษขยะที่มีพรสวรรค์เท่าหางอึ่งรึ!?”

เพ่ยเพ่ยไม่อาจทนต่อการประเมินของผู้เฒ่าหม่าได้เช่นกัน และนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เฉียบคมมาก “ศิษย์พี่ ยามที่ท่านอธิบายขั้นตอนในการปรุงธารสายรุ้งให้ท่านอาจารย์รับฟังเมื่อหลายปีก่อน ท่านได้แต่อธิบายอย่างไม่มั่นใจและยังผิดไปกว่าครึ่งด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ท่านถูกต่อว่าจนอับอายหน้าแดง…”

ผู้เฒ่าหม่ารู้สึกอับอายจนริ้วรอยปรากฏบนใบหน้าของเขา ถึงขั้นโกรธจนพูดไม่ออก ถ้อยคำนี้ได้ไปกระทบแผลเก่า ดังนั้นเขาจึงคำรามเพื่อขัดจังหวะเพ่ยเพ่ยในทันที “ข้ายอมรับว่าไอ้เด็กนี่มีความสามารถมันไม่เพียงพอรึไง? เหตุใดพวกเจ้าทั้งสองถึงไม่รู้จักหุบปากหรือว่าต้องตกตายเสียก่อน!?”

ผู้เฒ่าหม่านิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงโรยราว่า “อันที่จริง ข้ากลัวว่าเขาจะหยิ่งผยองดังนั้นข้าจึงต้องลดทอนความมั่นใจของเขาสักเล็กน้อย”

เฉียวหนานและเพ่ยเพ่ยต่างก็กลอกตาพร้อมกัน

เฉินซีสับสนกับสิ่งนี้ เขาขาดความตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นอัจฉริยะ ดังนั้นเขาได้แต่บ่นพึมพำในใจเท่านั้น ‘สามคนนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง ๆ…’

ไป๋หว่านฉิงดึงแขนเสื้อของเฉินซีและกล่าวเบา ๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าหม่ากำลังจะทดลองทำธารสายรุ้งจานนี้”

เฉินซีตกใจแล้วส่ายหัว “ข้าไม่รู้”

ไป๋หว่านฉิงกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “หมายความว่าเจ้าเชี่ยวชาญคัมภีร์ประกอบอาหารขั้นสุดยอดและบันทึกเปลวเพลิงวิญญาณ ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?”

เฉินซีรู้สึกสับสน “แล้วมีปัญหาอันใดหรือ?”

เขารู้สึกงุนงงมากจริง ๆ มันก็แค่การท่องจำคำบางคำมีเหตุใดให้ต้องประหลาดใจ?

ในที่สุดไป๋หว่านฉิงก็มั่นใจจากน้ำเสียงของเฉินซี เจ้าเด็กคนนี้จดจำตำราทั้งสองเล่มได้อย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ และนางก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ครั้งหนึ่งเธอเคยชำเลืองมองผ่านคัมภีร์ประกอบอาหารขั้นสุดยอด ซึ่งภายในมีส่วนผสมไม่รู้กี่หมื่นอย่าง การจดจำชื่อ คุณลักษณะ รูปลักษณ์ สรรพคุณ สภาพแวดล้อมที่เจริญเติบโต ฯลฯ ทั้งหมดให้ขึ้นใจ อีกทั้งส่วนผสมนับหมื่นเหล่านี้ยังไม่ใช่สิ่งที่อาจจดจำได้ในระยะเวลาอันสั้น ในขณะที่เฉินซีจดจำพวกมันทั้งหมดได้เพียงสิบวัน จะไม่ทำให้ผู้อื่นต้องตกตะลึงได้อย่างไร?

แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญ นอกจากมีความจำอันน่ามหัศจรรย์ ตราบใดที่ผู้อื่นตั้งใจที่จะทุ่มเทให้กับมัน เขาย่อมสามารถทำเช่นนี้ได้เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือเฉินซีไม่เพียงแต่จดจำส่วนผสมเหล่านี้ได้แม่นยำ แต่ยังสามารถควบคุมรายละเอียด อาหารที่ปรุงด้วยส่วนผสมเหล่านี้และทุกขั้นตอนในการทำอาหารหาได้มีข้อผิดพลาด นี่คือสิ่งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก

แน่นอนว่า หากเฉินซีเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่มีการรับรู้เหนือผู้คนธรรมดา เขาย่อมจดจำทุกสิ่งได้ภายในสิบวันเป็นเรื่องปกติ แต่ข้อเท็จจริงก็คือเฉินซีมีระดับเพียงแค่การบ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สาม ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะเทิดทูนราวกับเฉินซีเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล

ไป๋หว่านฉิงพลันเข้าใจในทันใดและนอกจากจะตกตะลึงแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจและยินดีแก่เฉินซี

นางรู้ดีว่าชายหนุ่มคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานขนาดใดตั้งแต่วัยเยาว์ และความทุกข์ทรมานที่เขาประสบมานั้นเป็นเยี่ยงไร ตอนนี้มันเหมือนกับว่าเขาได้เกิดใหม่และเริ่มเปล่งรัศมีที่เป็นของเขาเอง แล้วจะไม่ทำให้นางมีความสุขได้อย่างไร?

“ท่านผู้เฒ่าหม่า ในเมื่อท่านรับศิษย์แล้วก็จงให้เขาลงนามในข้อตกลงกับข้า” ในขณะนั้นเอง เสียงที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งก็ดังขึ้นจากภายนอก ประตูก็ถูกผลักเปิดออกพร้อมกับเสียงนี้เอง หญิงงามนางหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่เย็นชาและไม่แยแส

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท