บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 28 อสูรแรดอินทนิลสองหัว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 28 อสูรแรดอินทนิลสองหัว

บทที่ 28 อสูรแรดอินทนิลสองหัว

เขตต้องห้ามย่อมหมายถึงเขตห้ามเข้า!

ในโลกการบ่มเพาะ การดำรงอยู่ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามมักจะเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง

เขตต้องห้ามป่าเถื่อนทางตอนใต้ก็เป็นเช่นนั้น

สำหรับผู้บ่มเพาะของเมืองหมอกสน เทือกเขาป่าเถื่อนทางใต้นั้นมีอันตรายซุ่มซ่อนอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจากสัตว์อสูรจำนวนมากที่น่ากลัวอย่างยิ่ง สภาพแวดล้อมที่อันตรายและสลับซับซ้อน มันไม่ใช่สถานที่ที่ผู้บ่มเพาะจะก้าวเข้าไปด้วยความกล้าเพียงอย่างเดียว

เขตต้องห้ามนี้อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาป่าเถื่อนทางตอนใต้

เฉินซีอาศัยอยู่ในเมืองหมอกสนตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจึงเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเขตต้องห้ามป่าเถื่อนนี้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินกลุ่มคนเหล่านี้เอ่ยทักว่าหากเขาเดินมุ่งหน้าลึกเข้าไปอีกมันจะกลายเป็นว่าเขาเข้าไปสู่เขตต้องห้ามโดยตรง เขาจึงหยุดฝีเท้าและไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอย่างบุ่มบ่าม

ชายหนุ่มยังคงสามารถรับประกันความปลอดภัยในชีวิตของเขาได้หากเขาล่าสัตว์อสูรที่บริเวณรอบนอกของเทือกเขาป่าเถื่อนทางตอนใต้ แต่ถ้าเขาเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามซึ่งมีสัตว์อสูรระดับสูงเดินเตร่อยู่ทั่ว เรื่องราวมันคงไม่ง่ายอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม แผนที่ซึ่งต้วนอิงเสนอให้เฉินซีนั้นจะกลายเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะหากเขาครอบครองแผนที่ของเขตต้องห้ามป่าเถื่อนทางตอนใต้ เขาจะสามารถพเนจรไปรอบ ๆ สถานที่อันตรายนั้นได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ทั้งยังหลีกเลี่ยงบริเวณที่สัตว์อสูรร้ายระดับสูงอาศัยอยู่และแสวงหาเป้าหมายที่ตั้งใจไว้

ต้วนอิงรีบวิ่งไล่ตามเฉินซีเมื่อนางเห็นเขาหยุด แล้วพูดด้วยความเคารพว่า “ผู้อาวุโส เหตุผลเดียวที่เราสามคนกล้าที่จะเสี่ยงอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าข้ามีแผนที่อยู่ในความครอบครอง มันได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และการกระจายของสัตว์อสูรภายในเขตต้องห้ามป่าเถื่อนทางตอนใต้ หากท่านไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้ ข้าสามารถช่วยชี้ทางแก่ท่านได้”

เฉินซีแอบสงสัยว่าเหตุใดคนสามคนนี้ซึ่งการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์จึงกล้าที่จะล่าเสือดาววายุสีเงินภายในป่าของภูเขาป่าเถื่อนทางตอนใต้ในตอนกลางคืน ตอนนี้เขารู้แจ้งในทันใดเมื่อได้ยินเกี่ยวกับแผนที่ที่ต้วนอิงเอ่ยถึง

“ข้าต้องการล่าสัตว์อสูรขอบเขตก่อกำเนิด” เฉินซีพูดตามความจริง ในขณะที่เขาต้องการฟังความคิดเห็นของต้วนอิง

ล่าสัตว์อสูรขอบเขตก่อกำเนิด?

ลู่เส้าฉง ชวี่เฉิง และต้วนอิง ต่างสูดลมหายใจลึกและตกตะลึงอย่างมาก

เมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิด สัตว์อสูรขอบเขตก่อกำเนิดไม่เพียงแต่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้เท่านั้น แต่แข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะที่เป็นมนุษย์อย่างมาก ทั้งยังสามารถจัดการผู้บ่มเพาะระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเฉินซีต้องการล่าสัตว์อสูรขอบเขตก่อกำเนิดทั้งหมดด้วยตัวเอง ทั้งสามคนจึงอดตกใจไม่ได้

“ผู้อาวุโส มีสถานที่ที่เรียกว่าทะเลสาบถ้ำวิญญาณอยู่ที่บริเวณรอบนอกของพื้นที่ต้องห้าม ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของอสูรแรดอินทนิลสองหัวที่มีระดับความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นต้น ผิวหนังและกระดูกของมันราวกับทำจากเหล็ก โดดเด่นในด้านพละกำลังและการป้องกัน ทว่าด้อยนักเรื่องความเร็ว ถ้าท่านต้องการล่าและสังหารสัตว์อสูรขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว สัตว์อสูรแรดอินทนิลสองหัวนี้ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง”

ต้วนอิงนำแผ่นหยกออกมาและเพ่งพินิจมองดูมันครู่หนึ่ง จากนั้นความตื่นเต้นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เรียบเนียนและสวยงามของนาง ขณะที่นางพูดอย่างรวดเร็วว่า “ต่อให้ท่านจะไม่สามารถเอาชนะมันได้แต่ท่านก็ยังสามารถหนีได้อย่างปลอดภัย”

ทะเลสาบถ้ำวิญญาณ? อสูรแรดอินทนิลสองหัว?

‘ขณะนี้ข้าสามารถปรับแต่งปราณภายในอยู่ที่ระดับ 8 ของขอบเขตก่อกำเนิด และการปรับแต่งกายาของข้าได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว การจัดการกับสัตว์อสูรอย่างแรดอินทนิลซึ่งอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นต้นนี้นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามโดยตรงว่า “สถานที่นั้นอยู่ที่ใด?”

“ข้าจะพาท่านไปเอง!”

สีหน้าของต้วนอิงแน่วแน่ขึ้น ขณะที่นางกล่าวว่า “พวกเราสามคนได้บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตสร้างรากฐานแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงมาที่เทือกเขาป่าเถื่อนทางตอนใต้เพื่อรวบรวมกรงเล็บ ขนและผิวหนังของเสือดาววายุเงิน และพวกเราก็หวังว่าจะสามารถขัดเกลาความแข็งแกร่งของเราผ่านการล่าและฆ่าสัตว์อสูรเพื่อทะลวงไปสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้”

“ผู้อาวุโส อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธเรา” ต้วนอิงไม่ได้รอให้เฉินซีกล่าวจากนั้นนางก็เอ่ยต่อ “ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล พวกเราสามคนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการกระทำของผู้อาวุโส ตรงกันข้าม หากผู้อาวุโสประสบอันตราย เราก็สามารถช่วยได้เช่นกัน เราขอเพียงผู้อาวุโสอนุญาตให้เราเป็นพยานในการต่อสู้ของขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น”

เฉินซีอยู่ในสถานะคิดไม่ตก ถ้าเขารับทั้งสามคน เฉินซีต้องดูแลพวกเขา ในกรณีที่คนเหล่านี้พบกับอันตรายซึ่งมันเป็นภาระมาก แต่หากเขาปฏิเสธไป เขาก็จะไม่ทราบที่ตั้งของทะเลสาบถ้ำวิญญาณ และถ้าเขาค้นหามันอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ก็อาจไปเจอกับสัตว์อสูรที่น่ากลัวยิ่งกว่าซึ่งมันไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง

“ผู้อาวุโส โปรดพาพวกเราไปด้วย ปล่อยให้ชีวิตและความตายเป็นเรื่องของโชคชะตา หากเราเผชิญกับอันตรายที่เราไม่สามารถต้านทานได้จริง ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องลำบากช่วยเหลือเราก็ได้”

“ท่านผู้อาวุโสพาพวกเราไปด้วย!”

ลู่เส้าฉงและชวี่เฉิงเปลี่ยนวิธีที่พวกเขาพูดกับเฉินซี และมองไปที่เฉินซีด้วยสายตาที่กระตือรือร้น

จะบ้าตาย!

ศิษย์ของสำนักพฤกษ์ชาดบ้ากันไปหมดแล้วหรืออย่างไร? พวกเขาเพิ่งรอดตายมาหมาด ๆ แต่กลับต้องการเสี่ยงชีวิตอีกครั้ง? เป็นไปได้ไหมว่าความก้าวหน้าในการบ่มเพาะมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของพวกเขา?

แม้ว่าเฉินซีจะคิดเช่นนี้ แต่เขากลับรู้แจ้งได้ถึงเรื่องหนึ่ง การบ่มเพาะคือการท้าทายสวรรค์เพื่อแสวงหาหลักเต๋า ความเชื่อมั่นและกล้าเสี่ยงเช่นนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการบ่มเพาะเต๋า!

ในท้ายที่สุด เฉินซีก็ตกลงที่จะให้ทั้งสามคนเข้าร่วมกับเขา

กลุ่มของลู่เส้าฉงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก พวกเขาตั้งใจจะแบ่งปันกรงเล็บ ขน และผิวหนังบางส่วนกับเฉินซี ซึ่งถูกดึงออกจากศพเสือดาววายุเงินสิบตัวที่อยู่บนพื้น แต่เฉินซีกลับส่ายหน้าปฏิเสธทันที กรงเล็บ ขนและผิวหนังไม่มีประโยชน์สำหรับเขา การเอามันไปด้วยจะเป็นภาระสำหรับเขาเท่านั้น

หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งด้านธูปไหม้ กลุ่มของเฉินซีก็เดินไปถึงเนินเขาเตี้ย ๆ ได้อย่างปลอดภัย

“ผู้อาวุโสโปรดดู” ต้วนอิงชี้ไปข้างหน้า “ทะเลสาบถ้ำวิญญาณอยู่ที่นั่น”

เฉินซีมองไปในระยะไกลและเห็นทะเลสาบอันกว้างใหญ่ที่เงียบสงบ ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสามลี้ ภายใต้แสงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับจากท้องฟ้ายามค่ำคืน เงาที่เหมือนฝันได้ปรากฏขึ้นบนทะเลสาบ

หมอกในยามราตรีลอยหายขึ้นไป จนมองเห็นสัตว์อสูรหลากหลายชนิดเดินเตร่อยู่รอบ ๆ พรรณไม้น้ำที่อุดมสมบูรณ์ และนกที่มีปีกกว้างสิบจั้งบินร่อนอยู่เหนือทะเลสาบ นี่คือโลกแห่งสัตว์อสูร!

‘นี่คือทะเลสาบถ้ำวิญญาณหรือ? ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะสวยงามขนาดนี้…’ เฉินซีคิดกับตัวเอง

“ผู้อาวุโส อสูรแรดอินทนิลสองหัวมักดำน้ำอยู่ก้นทะเลสาบตรงกลาง” ต้วนอิงอธิบายด้วยน้ำเสียงเบาและมีมารยาทมากขึ้น

ระหว่างทางมาที่นี่ แม้ว่านางจะมีแผนที่อยู่ในครอบครอง แต่พวกเขาก็ยังคงเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์อสูร โชคดีที่พวกมันไม่ได้แข็งแกร่งมาก พวกมันล้วนเชี่ยวชาญในการปกปิดตัวเองและลอบโจมตี ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินซีสามารถสังเกตเห็นพวกมันได้ล่วงหน้าและฆ่าสัตว์อสูรเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว ก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมาที่นี่อย่างปลอดภัย

“ที่นี่ค่อนข้างปลอดภัยกว่า พวกเจ้าสามคนจงรออยู่ที่นี่” จิตสัมผัสอันน่าเกรงขามของเฉินซีกวาดไปรอบ ๆ และเขาไม่ได้สังเกตเห็นร่องรอยของสัตว์อสูรใด ๆ

“ตกลง” แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่พวกลู่เส้าฉงก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามด้วยความเคารพ พวกเขารู้ดีว่าหากพวกตนเข้าใกล้ทะเลสาบถ้ำวิญญาณด้วยความแข็งแกร่งอันน้อยนิดที่มีอยู่ขณะนี้ มันก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตาย

วูบ!

เฉินซีพุ่งตัวไปด้านหน้า ร่างกายของเขาเหมือนลูกศรที่หลุดจากคันธนู มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบถ้ำวิญญาณ ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสามลี้

ทะเลสาบถ้ำวิญญาณนั้นกว้างใหญ่ราวกับไร้ขอบเขต และอุดมไปด้วยปราณวิญญาณ หากไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรที่สามารถพบเห็นได้ทุกที่ สถานที่แห่งนี้จะเป็นเหมือนแดนสวรรค์ของเหล่าผู้บ่มเพาะ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินซีก็มาถึงริมทะเลสาบและหยุดมองไกลออกไป

จิตสัมผัสของเฉินซีแผ่ออกไปราวกับตาข่ายยักษ์เพื่อตรวจสอบบริเวณโดยรอบทะเลสาบอย่างช้า ๆ

ซ่า! ซ่า! ซ่า!

สัตว์อสูรและสัตว์น้ำที่ว่ายอยู่ใกล้ ๆ ดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง พวกมันตื่นตระหนกจนเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ จากนั้นพวกมันก็หนีไปด้วยความตกใจและหายตัวไปในทันที

“ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของข้าสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้ราวสิบลี้เท่านั้น แต่ทะเลสาบถ้ำวิญญาณนี้กว้างใหญ่เกินไป ถ้าข้าค้นหาแบบนี้ต่อไป เกรงว่าจะไม่สามารถหาอสูรแรดอินทนิลสองหัวได้แม้จะถึงยามรุ่งสาง… หืม?”

จู่ ๆ เฉินซีก็สังเกตเห็นร่องรอยของความผิดปกติ และเขาก็ได้ยินเสียงการสนทนาแว่วมาจากเนินเขาซึ่งอยู่ไกลจากทะเลสาบถ้ำวิญญาณ

‘แปลกจริง นี่มันกลางดึกแล้ว เหตุใดถึงมีคนอยู่ในเขตต้องห้ามป่าเถื่อนทางตอนใต้ได้กัน?’

เฉินซีครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วแอบไปทางเนินเขาซึ่งเป็นที่มาของเสียงอย่างเงียบ ๆ

เนินเขานี้โล้นเตียนไร้พืชพรรณ จนเผยให้เห็นหินที่เรียบและแหลมคมจำนวนมาก ยามนี้มีคนมากกว่าร้อยคนมารวมกันที่นั่น แต่มีเพียงไม่กี่สิบคนที่ยืนอยู่ เหล่าคนที่ยืนอยู่ทั้งหมดสวมเสื้อผ้าสีดำและถืออาวุธต่าง ๆ สีหน้าแต่ละคนเย็นชาโหดเหี้ยม ส่วนคนอื่น ๆ นั้นถูกมัดมือและขาไว้ถูกจัดท่าทางให้อยู่ในท่าคุกเข่า

“เมื่อใดไอ้เฒ่าแรดอินทนิลนั่นจะมาถึงเสียที?”

“ตามข้อมูลของเรา อีกราว ๆ ครึ่งชั่วยามต่อจากนี้”

“ฮึ่ม! ไอ้เวรนั่นมันโอหังจริง ๆ! ถ้าไม่ใช่เพื่อ… ฮึ่ม!”

เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น ทำให้เฉินซีซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดขมวดคิ้ว จากนั้นเขาจึงเพ่งมองอย่างละเอียด และก็พบว่าเป็นคนคนนั้นคือผู้ดูแลอู๋แห่งตระกูลหลี่ยืนอยู่ที่ใจกลางกลุ่มคน

ทำไมไอ้สุนัขแก่ตัวนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?

แรดเฒ่าอินทนิล… เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะมาที่นี่เพื่อพบกับอสูรแรดอินทนิลสองหัว?

“หมาเฒ่าอู๋! ไม่คิดเลยว่าเมืองหมอกสนของเราจะมีขยะเช่นเจ้า! เจ้ามันชาติชั่วที่คิดใช้ชีวิตของเราเป็นเครื่องบรรณาการเพื่อสร้างพันธมิตรกับสัตว์อสูร! ตระกูลหลี่ของเจ้ามันชั่วยิ่งกว่าเดรัจฉาน!” ชายหนุ่มที่มีรูปร่างเล็กดูอ่อนแอซึ่งถูกมัดไว้กับพื้น สาปแช่งเสียงดังด้วยความโกรธ

“ถุย! ไอ้ขี้ข้าของสัตว์อสูร! แม้วันนี้ข้าจะตาย แต่ข้าขอสาบานว่าต่อให้เป็นวิญญาณ ข้าก็จะตามหลอกหลอนเจ้าทุกชาติภพ!”

“อย่างที่คาดไว้ตระกูลหลี่มีแต่เดรัจฉานจากนรก! เดรัจฉานในคราบมนุษย์! ไม่สิ พวกแกมันเลวร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉานซะอีก!”

เมื่อเห็นชายหนุ่มเป็นผู้นำในการต่อต้าน คนอื่น ๆ ที่ถูกมัดไว้กับพื้นก็เริ่มสาปแช่งด้วยความโกรธ และเสียงของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความอาฆาต

“รนหาที่ตาย!” ชายชุดดำก้าวมาข้างหน้าและเตะชายหนุ่มอย่างรุนแรง ขณะสาปแช่ง “พวกเจ้ามันก็แค่เศษเดนจากเขตสามัญชน! หยุดพูดจาไร้สาระและตายไปอย่างเป็นประโยชน์ซะ!”

เขตสามัญชน… หรือว่าคนเหล่านี้จะเป็นผู้ยากไร้ที่มีสถานะทางสังคมต่ำที่สุดเช่นเดียวกับข้า?

เจตนาฆ่าในหัวใจของเฉินซีรุนแรงขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หมาเฒ่าอู๋เอาชีวิตคนอื่นมาประเคนให้สัตว์อสูร การกระทำเช่นนี้มันช่างชั่วช้าถึงขีดสุด!

“ใคร? ออกมา!” ทันใดนั้น ผู้ดูแลอู๋หันมองยังจุดที่เฉินซีซ่อนอยู่ เป็นเพราะอารมณ์แปรปรวนของเฉินซีซึ่งทำให้ปราณของเขารั่วไหลออกไป และดึงความสนใจของผู้ดูแลอู๋ในที่สุด

“หมาเฒ่าอู๋! วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า!” เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกเปิดเผยแล้ว เฉินซีจึงไม่สามารถซ่อนตัวอีกต่อไป เขาเดินออกจากเงามืดทันที สายตาจับจ้องไปยังผู้ดูแลอู๋อย่างเย็นชา

“ฮ่า ๆๆๆ! ก็นึกว่าเป็นผู้ใดที่แท้เป็นตัวกาลกิณีประจำเมืองนี่เอง! เพราะเจ้า ข้าจึงต้องสูญเสียกำลังหลักไปถึงสามคน เดิมทีข้าตั้งใจจะไปหาเจ้าทีหลัง แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมามอบตัวอย่างเชื่อฟัง นี่ช่างเป็นเจตจำนงของสวรรค์อย่างแท้จริง!”

ผู้ดูแลอู๋ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่ม แต่แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนที่จะโบกมือสั่ง “ไป! ทำลายแขนขาของไอ้เด็กนั่นและทำให้การบ่มเพาะของมันพิการซะ! ข้าต้องการทำให้มันกลายเป็นขยะอย่างสมบูรณ์!”

“รับทราบ!” คนชุดดำผู้หนึ่งกระโจนออกจากกลุ่มอย่างรวดเร็ว แววตาโหดเหี้ยมมองไปทางเฉินซี

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท