บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 29 สังเวย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 29 สังเวย

บทที่ 29 สังเวย

เฉินซี?

ตัวกาลกิณีนั่นน่ะหรือ?

ทุกคนที่ถูกมัดไว้กับพื้นล้วนมาจากเขตสามัญชนของเมืองหมอกสน แม้ว่าจะไม่เคยเห็นเฉินซีมาก่อน แต่พวกเขาก็เคยได้ยินชื่อและฉายาของเฉินซี ในเวลานี้ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อได้ยินเกี่ยวกับชายหนุ่มที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา

“เฉินซี หนีไปเร็ว! เจ้าไม่ใช่คู่มือเขา!” มีคนตะโกนออกมาอย่างกังวลใจ

“ถูกต้อง! หนีเร็ว! และไปบอกทุกคนเกี่ยวกับการกระทำที่ชั่วช้าของไอ้สุนัขเฒ่าอู๋!” คนอื่น ๆ หายจากอาการตกตะลึงและแนะนำทันที

“หนี? เขาทำได้หรือ?” ชายชุดดำที่พุ่งเข้าหาเฉินซียิ้มอย่างชั่วร้าย เมื่อเข้าใกล้ได้ระยะ เขาก็ยกมือขึ้นเพื่อจับไหล่ของชายหนุ่ม

เฉินซีไม่ได้ทำแม้แต่การชำเลืองมอง ในขณะที่เขาปล่อยหมัดเข้าใส่หน้าอกของชายชุดดำ

ปัง!

เสียงทุ้มและลึกดังก้องออกมา และชายชุดดำที่ถูกหมัดของเฉินซีก็กระเด็นออกไปไกลกว่าสิบจั้ง รอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัวของชายชุดดำหยุดนิ่งทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างและใบหน้าของเขาเป็นสีแดง จากนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมา ก่อนที่จะล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง และไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก

“เจ้ามันสมควรตาย!” เฉินซีดึงกำปั้นกลับและการแสดงออกของเขาก็เย็นชามาก

บรรยากาศเงียบลงทันที

ฆ่าคู่ต่อสู้ด้วยหมัดเดียว?

ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกมัดไว้กับพื้นหรือเหล่าชายชุดดำที่เหลือ พวกเขาทั้งหมดมองดูร่างสูงผอมนั้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

“บัดซบ! พวกแกทุกคนออกไปฆ่ามันพร้อมกัน!” ผู้ดูแลอู๋เป็นคนแรกที่ฟื้นจากอาการตกตะลึงและตะโกนออกด้วยโทสะ

อันที่จริงตัวเขาเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน ชายชุดดำทั้งหมดที่เขาพามาในวันนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือหลักที่ตระกูลหลี่ได้ฟูมฟักมา ทุกคนต่างอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิด ยิ่งกว่านั้นคนเหล่านี้มีประสบการณ์การต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วน ทว่าโดยไม่คาดคิด แค่เพียงหมัดเดียวเฉินซีก็สามารถจัดการหนึ่งในลูกน้องของเขาได้แล้ว ถ้าเขาไม่เห็นด้วยสองตาของตัวเองก็คงไม่มีทางเชื่อ

ไอ้เด็กนี่มันรู้แค่วิธีสร้างยันต์ไม่ใช่หรือ? เมื่อใดกันที่พลังการต่อสู้ของมันแข็งแกร่งขนาดนี้?

หรือว่ามันได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว?

เป็นไปไม่ได้!

เดือนที่แล้วมันยังต้องสร้างยันต์เพื่อเลี้ยงชีพอยู่เลย อีกทั้งยังไม่ได้เป็นศิษย์ของคนใหญ่คนโตคนใด เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่มันจะก้าวหน้าเร็วขนาดนั้น!

บางทีการโจมตีเมื่อครู่นี้อาจเป็นเพียงการฉวยโอกาสที่คู่ต่อสู้ยังไม่ทันตั้งตัวก็ได้ใช่ไหม?

แม้ว่าเขาจะคิดเช่นนี้ แต่ผู้ดูแลอู๋ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ สายตาคู่นั้นจับจ้องไปที่การกระทำของเฉินซีอย่างไม่วางตา

ในขณะเดียวกัน ชายชุดดำทั้งหมดได้โถมเข้าใส่ชายหนุ่มแล้ว

“ฆ่า!” ความตายอันน่าสังเวชของสหายสร้างความโกรธแค้นให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งหมดพุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างดุเดือด

ตึง! ตึง! ตึง!

เฉินซีก้าวไปข้างหน้าด้วยก้าวที่มั่นคงและทรงพลัง ราวกับไม่สังเกตเห็นภัยอันตรายที่กำลังกล้ำกรายเข้ามาเลย

“ระวัง!”

“หนีเร็ว! เจ้าอยากตายหรืออย่างไรเฉินซี!”

เหล่าคนที่ถูกมัดไว้กับพื้นตะโกนออกมาอย่างกังวล แม้ว่าเฉินซีจะฆ่าชายชุดดำคนแรกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่เขานั้นไร้พรรคพวกมาด้วย คนคนเดียวจะสู้กับยอดฝีมือของตระกูลหลี่นับสิบได้อย่างไร?

ปัง!

เฉินซีเพิกเฉยต่อกระบี่ที่พุ่งเข้าหาเขาอย่างไม่ยี่หระและชกหมัดไปที่ท้องของคู่ต่อสู้โดยตรง

“อั่ก!”

ชายชุดดำเผยยิ้มขณะเห็นชายหนุ่มประมาทไม่หลบกระบี่ของเขา ทว่าพริบตาถัดมา รอยยิ้มของเขากลับต้องแข็งค้างเพราะการโจมตีด้วยกระบี่เต็มกำลังของเขากลับทิ้งรอยข่วนขาวจาง ๆ ที่ไหล่ของเฉินซีเท่านั้น ขณะที่ท้องของเขาถูกหมัดของชายหนุ่มชกอย่างรุนแรง จนร่างลอยกระเด็นถอยไปตกที่พื้นพลางร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวชก่อนจะสิ้นลม

ในทางกลับกัน เฉินซีอาศัยการโจมตีครั้งนี้แหวกฝ่าวงล้อม เขาเป็นเหมือนเสือที่หลุดออกจากกรง จากนั้นก็เคลื่อนเข้าประชิดเหล่าชายชุดดำที่เคยปิดล้อมเขาทีละคน ยามลงมือสังหาร หมัดของเขาเหมือนกับเม็ดฝนหนาทึบที่โปรยปราย

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงหมัดหนัก ๆ กระทบร่างกายดังไม่ขาดสาย ในไม่กี่อึดใจชายชุดดำมากกว่าสิบไม่ต่างกับว่าวสายป่านขาด ลอยละลิ่วไปไกลพร้อมกับมีเลือดทะลักออกจากทวารทั้งห้า

“มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!”

“สวรรค์!”

“นี่… นี่… นี่ไม่จริงใช่ไหม?”

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างขณะจ้องมองที่ร่างสูงซึ่งยืนท่ามกลางแอ่งเลือดและซากศพอย่างไม่เชื่อสายตา

“จ…เจ้า… พวกเราคือองครักษ์ชุดดำของตระกูลหลี่เชียวนะ!” สีหน้าของเหล่าชายชุดดำที่ยังเหลือรอดเผยออกซึ่งความหวาดกลัวล้ำลึก แม้พวกเขาจะเดือดดาล แต่กลับไม่กล้าก้าวเข้าหาเฉินซีอีกเหมือนในตอนแรก

“พวกเจ้าเตรียมใจรอได้เลย วันนี้ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมดทุกคน!” เฉินซีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตระกูลหลี่และตระกูลเฉินเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาช้านาน และตระกูลหลี่ก็เป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการตายของเฉินเทียนลี่ รวมไปถึงเฉินฮ่าวที่ต้องพิการแขนขวา ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดจะปรานีคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

วูบ!

ร่างของเฉินซีพุ่งไปข้างหน้าราวกับลูกธนูออกจากคันศรอีกครั้ง หมัดถล่มทลายถูกเขาใช้อย่างเต็มกำลัง หลังจากนั้นอีกไม่กี่อึดใจชายชุดดำอีกแปดคนก็กลายเป็นศพอยู่แทบเท้า

“ร่างกายของไอ้เด็กนี่ทนทานต่อดาบและกระบี่อย่างสมบูรณ์ มันฝึกฝนเคล็ดวิชาขัดเกลาร่างกายระดับสูงล้ำแน่นอน พวกเรารีบหนีเร็ว!”

“หนี!”

องครักษ์ชุดดำที่เหลืออีกห้าคนตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวสุดขีด ตอนนี้พวกเขาไม่สนใจผู้ดูแลอู๋อีกแล้ว และต่างพากันวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตทันที

ทว่าเฉินซีจะปล่อยให้ศัตรูของเขาหนีไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร? ชายหนุ่มพุ่งกายติดตามไป ก่อนจะโคจรปราณแท้ในร่างกายจนถึงขีดสุดและถ่ายเทไปยังหมัดของตนเอง จากนั้นปล่อยหมัดรัวเป็นชุดจากระยะไกลจนบังเกิดเป็นรูปลักษณ์หมัดบินซึ่งควบแน่นจากปราณแท้ พุ่งฝ่าอากาศเข้าหาแผ่นหลังของเหล่าชายชุดดำที่กำลังหนีเอาชีวิตรอด

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

อึดใจต่อมามีรูขนาดเท่ากับชามปรากฏขึ้นกลางแผ่นหลังของชายชุดดำเหล่านั้น และพวกเขาก็ล้มลงแน่นิ่งอยู่ที่พื้น

“หา?” ผู้ดูแลอู๋ไม่สามารถรักษาอาการสงบได้อีกต่อไป ใบหน้าของเขาซีดเผือด อำนาจหมัดของเฉินซีที่สามารถพุ่งผ่านอากาศและสังหารศัตรูได้จากระยะไกล ทำให้เขาเริ่มหวาดหวั่น

“แข็งแกร่งมาก!”

“แข็งแกร่งเหลือเกิน!”

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาคงความสงบมาได้ตลอดแม้จะถูกผู้คนเหยียดหยาม ที่แท้กลับกลายเป็นว่าเขาคืออัจฉริยะที่ซ่อนเขี้ยวเล็บรอวันฉายแสงในคราวเดียว!”

เหล่าผู้คนที่ถูกจับตัวมาต่างรู้สึกตื่นเต้น เมื่อได้เห็นวิธีการฆ่าอันเฉียบขาดของเฉินซี ในใจของพวกเขาบังเกิดความหวังว่าจะรอดตาย

“ฮึ่ม! ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้แนบเนียนขนาดนี้ ดูเหมือนเจ้าจะขัดเกลาร่างกายตนเองจนถึงขอบเขตก่อกำเนิดในวิถีแห่งการบ่มเพาะภายนอก และถ้าดูไม่ผิด ทักษะการใช้วิชาหมัดของเจ้ากำลังจะก้าวไปสู่ขั้นสูงในไม่ช้า ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ากล้าจะหยิ่งผยองต่อหน้าข้า! แต่น่าเสียดายที่ข้าตอนนี้ได้เข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลไปแล้วครึ่งก้าว ความห่างชั้นระหว่างเจ้ากับข้านั้นมากมายเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้!” ดวงตาของผู้ดูแลอู๋หรี่ลงเล็กน้อย

แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะประมาท เพราะตัวอย่างมีให้เห็นอยู่คาตาว่าขณะนี้เฉินซีนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

ศพที่นอนเกลื่อนพื้นเป็นเครื่องยืนยัน!

“เลิกเพ้อเจ้อ! วันนี้ข้าจะปลิดชีวิตสุนัขเช่นเจ้าซะ!” เฉินซีตะโกนอย่างเย็นชา การต่อสู้กับองครักษ์ชุดดำแห่งตระกูลหลี่ไม่ถือว่าอันตราย แต่กลับทำให้เขาสามารถยืนยันความแข็งแกร่งของตัวเองได้ ภายใต้การผสมผสานของการบ่มเพาะภายในและการบ่มเพาะภายนอกที่เขาสำเร็จมา เขาไม่กลัวผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดใด ๆ เลย

ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายเหลืออีกครึ่งก้าวจะเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลน่ะหรือ?

ไม่ว่าจะอย่างไร อีกฝ่ายก็ยังคงอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบอยู่ดี ไม่มีอะไรต้องกลัวสักนิด!

“ฮึ่ม! ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายนักเช่นนั้นข้าจะสนองให้!” ผู้ดูแลอู๋ตวาดก่อนจะซัดฝ่ามือ ซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำหนา ลงไปยังพื้นดินด้านหน้าอย่างรุนแรง

ตู้ม!

ทันใดนั้นพื้นดินก็แยกออกและรอยแยกพื้นสีดำสนิทก็แผ่ขยายออกด้วยความเร็วยิ่งราวกับสายฟ้า

หืม? ไอ้สุนัขเฒ่าผู้นี้ต้องการ…

ยังไม่ทันที่เฉินซีจะฟื้นจากอาการงุนงง เสียงระเบิดดังกึกก้องและเศษหินที่แหลมคมก็พุ่งออกจากรอยแยกพื้น ซึ่งแผ่กระจายออกไปราวกับใยแมงมุม ประหนึ่งมีห่าฝนอาวุธลับโปรยปรายและเป้าหมายของเศษหินแหลมคมนั้นไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เฉินซี แต่กลับเป็นเหล่าผู้คนที่ถูกมัดอยู่บนพื้น!

“สารเลว!” ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจแผนการของอีกฝ่าย เขาตะโกนออกมาทันทีพร้อมกับพุ่งไปยืนต่อหน้ากลุ่มคนและปล่อยหมัดรวดเร็วราวกับสายฟ้าสกัดกั้นเศษหินที่พุ่งเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน

แต่ทว่าจำนวนเศษหินนั้นมีนับหมื่นและหนาแน่นเหมือนฝูงตั๊กแตน แม้เฉินซีจะออกหมัดไปอย่างสุดความสามารถ แต่เขาก็ปกป้องได้เพียงแค่ผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ระยะหนึ่งจั้งรอบตัวเขาเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไปชีวิตถูกริบไปโดยเศษหินเหล่านั้นทันที

“ฮ่า ๆๆๆ! บรรณาการเหล่านี้เป็นอาหารของอสูรแรดอินทนิลสองหัวเฒ่า! แต่ตอนนี้บรรณาการส่วนใหญ่ตายไป ดังนั้นเจ้าก็จงอยู่รอเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของไอ้แรดเฒ่านั่นเถอะ! ส่วนตัวข้าคงต้องขอตัวร่ำลาเจ้าไปก่อนในวันนี้!” ผู้ดูแลอู๋หัวเราะเสียงดังด้วยความพอใจจากระยะไกล จากนั้นร่างของเขาก็ลับสายตาหายไปหลังจากกระโดดไม่กี่ครั้ง

การมองผู้ดูแลอู๋หนีรอดไปได้ทำให้เฉินซีไม่มีที่ระบายความโกรธแค้นของเขา สีหน้าของเขาเย็นชาระคนเดือดดาลเป็นที่สุด

ปัง!

จากนั้นเฉินซีหันไปมองรอบ ๆ ตัวและเห็นว่ามากกว่าครึ่งของคนที่ถูกมัดไว้ตายแล้ว และเหลือเพียงสามสิบคนเท่านั้นที่รอดชีวิต

หมาเฒ่าอู๋! ข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งเป็นในสักวัน!

เฉินซีสูดหายใจเข้าลึกและควบคุมแรงกระตุ้นที่จะไล่ตาม เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือการส่งคนเหล่านี้กลับไปยังเมืองหมอกสน เนื่องจากเขตต้องห้ามป่าเถื่อนทางใต้นั้นอันตรายอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเรียกกลุ่มของลู่เส้าฉงซึ่งอยู่ห่างออกไปให้เข้ามาช่วยพากลุ่มคนเหล่านี้กลับเมือง ในขณะที่เขาเลือกที่จะรั้งอยู่รออสูรแรดอินทนิลสองหัวที่นี่แทน

พวกลู่เส้าฉงเห็นการต่อสู้เมื่อครู่นี้เต็มสองตาเช่นกัน แต่พวกเขานั้นอ่อนแอเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าสอดมือเข้าช่วยเหลือ ท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้แต่สวดอ้อนวอนในใจให้เฉินซีได้รับชัยชนะเท่านั้น

ในเวลานี้ เมื่อพวกเขาเห็นเลือดและศพที่นอนเกลื่อนพื้น และได้ยินว่าคนเหล่านี้เป็นเครื่องบรรณาการที่ตระกูลหลี่นำมาที่นี่เพื่อสนองความอยากอาหารของอสูรแรดอินทนิลสองหัว หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ ความเดือดดาล และความเศร้าโศกในทันที พวกเขาไม่ลังเลเลยที่จะรับหน้าที่ปกป้องสามสิบคนนี้ที่เหลือกลับเข้าเมือง

‘ที่นี่คือสถานที่ที่สุนัขเฒ่าอู๋และแรดอินทนิลนัดพบกันเพื่อส่งบรรณาการ อสูรแรดอินทนิลสองหัวจะปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน ข้าต้องรออยู่ที่นี่ก่อน’

หลังจากส่งลู่เส้าฉงและคนอื่น ๆ ออกไป เฉินซีก็นั่งขัดสมาธิที่พื้น กลิ่นเลือดเหม็นคาวฉุนทำให้อารมณ์ของเขาปั่นป่วนอย่างมาก เขาต้องการระบายความรู้สึกที่อัดอั้นในอกโดยด่วน และอสูรแรดอินทนิลสองหัวย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดให้เขาใช้เป็นเครื่องระบาย!

ตู้ม!

ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปไหม้ผ่านไป กลางทะเลสาบถ้ำวิญญาณเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงจนละอองน้ำกระเซ็นขึ้นสูงหลายจั้ง มันเป็นชายร่างใหญ่ที่สูงถึงหนึ่งจั้งกระโดดพุ่งขึ้นจากทะเลสาบด้วยเสียงดังกึกก้อง

ชายร่างใหญ่ผู้นี้หัวโล้น มีดวงตาเพียงดวงเดียว ร่างสูงนั้นเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ดูแข็งเหมือนก้อนหิน อันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันมหาศาลเกินกว่าที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาจะมีได้

แม้ว่าจะแปลงกายเป็นมนุษย์ แต่ปราณปีศาจในร่างนั้นไม่สามารถปกปิดได้… เป็น ‘มัน’ แน่นอน! เฉินซีลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่เย็นเยียบ!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท