สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด – บทที่ 3 ตอนที่ 4 ครอบครัว
บทที่ 4 ครอบครัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลัวอ้ายอวี้เป็นคนรู้จักพูดคนหนึ่ง
ในความคิดของเริ่นจื่อหลิง เธอน่าจะเป็นอย่างที่ตนเข้าใจ
“ฮ่าๆ ๆ คุณเริ่นสวยขนาดนี้ หน้าที่การงานก็ประสบความสำเร็จ ยังไงผู้หญิงก็ต้องน่านับถือถึงจะดี”
เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เคยนิยมเมื่อหลายปีก่อน ผมก็น่าจะทำที่ร้านทำผมแถวๆ นี้ ซึ่งไม่ถึงกับดี แต่จะว่าไม่ดีก็ไม่ใช่ เธอดูจะแต่งตัวเรียบร้อย แต่กลับมีบางอย่างที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้ากัน
“อืม…ยืนตรงนี้ได้หรือเปล่าคะ? แบบนี้น่าจะดูผอมหน่อย” หลัวอ้ายอวี้จัดทรงผมตัวเองไปพลางๆ “จริงสิ คุณเริ่นคะ ฉันอยากให้คุณช่วยใช้ส่วนที่ดีที่สุดของบ้านพักตากอากาศแห่งนี้หน่อยค่ะ เพราะฉันจ่ายค่าตกแต่งและปรับปรุงใหม่ไปไม่น้อยเลยล่ะค่ะ ไม่ให้ใครเห็นก็น่าเสียดายแย่เลย”
บ้านพักตากอากาศแห่งนี้มีอยู่จริงๆ เหรอ? แม้ว่าแถวๆ ละแวกนี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่เริ่นจื่อหลิงก็ยังรู้สึกเหมือนหลงกลเข้าซะแล้ว
ไม่น่าโลภเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ นี้แล้วรับปากเลยจริงๆ ถ้าตัวเองออกค่าใช้จ่ายเองไปวางแผนท่องเที่ยวที่บ้านพักตากอากาศฝั่งนั้น เกรงว่าคงจะสบายใจมากกว่านี้อีก
“เถ้าแก่เนี้ยยืนมาทางนี้หน่อยนะคะ ใช่ค่ะ ตรงนี้แหละค่ะ ดีมาก ดีมากค่ะ”
อืม แบบนี้ก็ไม่บังวิวทะเลข้างนอกแล้ว ส่วนคน…ไม่ถ่ายติดอยู่แล้ว อยากยืนตรงไหนก็ยืนไปเถอะ
“หลีจื่อ เอาเลนส์ 70-200MM ให้ฉันที”
“ได้เลยค่ะ!”
เถ้าแก่เนี้ยดูพอใจมาก มองดูคุณเริ่นที่มาจากเมืองใหญ่ผู้นี้ติดตั้งเลนส์กล้องยาวในทันที รู้สึกว่าเป็นมืออาชีพมากเลยจริงๆ แม้จะเสียดายเงินที่จ่ายไป แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า!
คิดไม่ถึงว่าเริ่นจื่อหลิงกลับหยุดชะงัก มองไปยังจุดที่เลนส์กล้องตนเองส่องไป “เจ้าเด็กนี่ เผ่นไปทำอะไรที่นั่นแล้ว?”
หลัวอ้ายอวี้นิ่งอึ้ง เผลอหันกลับไปมองแวบหนึ่งอย่างลืมตัว เธอเห็นม้านั่งยาวตัวนั้นบนสนามหญ้า ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที พลางพูดอย่างรีบร้อน “ขอโทษนะคะ คุณเริ่น ฉันจะไปดูสักหน่อย”
เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วรีบเดินออกไปทันที
“พี่เริ่น เราจะตามไปดูสักหน่อยไหมคะ?” หลีจื่อถาม
เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้าตอบ “ไม่ต้องหรอก เราไปเดินเล่นถ่ายภาพให้ทั่วสักหน่อยดีกว่า ฉันจะดูว่าคืนนี้จะเร่งทำต้นฉบับเสร็จหรือเปล่า เวลาที่เหลือก็จะได้เล่นไง!”
“ดีเลยค่ะ!”
…
การวาดอย่างลวกๆ ทำให้บนกระดาษวาดภาพเต็มไปด้วยลายเส้นแบบต่างๆ ที่ไม่มีแบบแผน จนกระทั่งกลายเป็นวังน้ำวนขนาดใหญ่ในที่สุด
ชายชรากำลังวาดวงกลมไม่หยุด ‘จำไม่ได้แล้ว’ คำพูดแบบนี้ พึมพำติดอยู่ที่ริมฝีปากเข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ!”
และก็ในตอนนั้นเอง เถ้าแก่เนี้ยของบ้านพักตากอากาศก็ก้าวเท้าเร็วๆ เดินมาอยู่ข้างลั่วชิว หลัวอ้ายอวี้รีบถามอย่างร้อนรน “ลูกค้าท่านนี้ นี่…ผู้เฒ่าผู้แก่ในครอบครัวฉันไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหมคะ?”
“เขาจะทำอะไรผมเหรอครับ?” ลั่วชิวมองหลัวอ้ายอวี้ พลางถามอย่างคาดไม่ถึง
หลัวอ้ายอวี้มองชายชราแวบหนึ่ง เห็นเขาแค่วาดภาพลวกๆ บนกระดาษ ก็ดูราวกับเบาใจขึ้นมาบ้าง แล้วถึงได้ยิ้มตอบ “ไม่หรอกค่ะ ไม่หรอก! เขาเป็นแค่คนเฒ่าคนแก่ สติเลอะเลือนไปบ้าง บางครั้งจะจำผู้คนไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ไม่ทำร้ายใครเด็ดขาดค่ะ!”
“โรคอัลไซเมอร์เหรอครับ?”
หลัวอ้ายอวี้นิ่งอึ้ง…ที่เจ้าหมอนี่พูดถึงคืออะไร?
ลั่วชิวพูดด้วยเสียงแผ่วเบาตามมา “ที่ผมพูดถึงคือโรคความจำเสื่อมในคนชราน่ะครับ”
หลัวอ้ายอวี้พยักหน้า ถอนหายใจ แล้วพูดอย่างระทมทุกข์ “เฮ้อ นานหลายปีแล้ว นับวันก็ยิ่งอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดูแลเขาแล้วเนี่ย ฉันกังวลสุดๆ เลยจริงๆ นะ! คุณว่าฉันสุขสบายไหมล่ะ? ฉันแต่งงานเข้ามาในที่บ้าๆ นี่ ดูแลผู้ใหญ่ ยังต้องดูแลคนแก่กับเด็ก แล้วไหนจะบ้านพักตากอากาศแห่งนี้อีก…เฮ้อ ที่เชิญพวกคุณมาครั้งนี้ก็คิดจะลองดูว่าจะทำให้ที่นี้กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกไหม ไม่อย่างนั้นนะ เกรงว่าพอผ่านปีนี้ไปแล้ว ครอบครัวฉันทั้งหมดต้องกินรำข้าวแล้วล่ะ! ต้องขอให้พวกคุณช่วยเหลือให้มากๆ นะคะ…”
ลั่วชิวไม่ได้สนใจฟังเถ้าแก่เนี้ยพูดคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องพวกนี้ที่นี่ เขารู้สึกได้ถึงความขัดแย้งกันของท่าทีเฉยชาของเถ้าแก่และความกระตือรือร้นของเถ้าแก่เนี้ยแล้ว
“ตรงนี้ลมแรง” ลั่วชิวลุกขึ้นยืน ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “พาคุณปู่ท่านนี้กลับไปเถอะครับ…ที่จริง ที่นี่ก็ไม่ได้แย่อะไร อย่างน้อยผมก็ชอบความเงียบสงบของที่นี่ครับ”
“อ้อ…ได้ค่ะ”
หลัวอ้ายอวี้พยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ควรจะว่ายังไงดีล่ะ?
ไม่รู้จักคนใหญ่คนโตอะไร และก็ไม่มีญาติพี่น้องที่มีอิทธิพลอะไร เคยเห็นข้าราชการที่ใหญ่โตที่สุดก็คือเลขาพรรคในหมู่บ้านข้างล่าง แต่เจ้าคนหนุ่มคนนี้กลับทำให้เธอกดดันมากว่าเจอเลขาพรรคคนนั้นเสียอีก
เธอจึงเผลอทำตามคำพูดของอีกฝ่าย
ลั่วชิวเดินไปไกลแล้ว
แต่พอได้ยินเสียงที่อยู่ข้างหลังได้รางๆ
“ลุกขึ้นได้แล้ว! ตาแก่หนังเหนียว! อย่ามาทำให้แขกของหนูตกใจนะคะ! ไม่อย่างนั้นพ่อได้เจอดีแน่…ตาแก่หนังเหนียวนี่! ไม่คิดว่าจะมาฉี่ราดที่นี่ซะแล้ว? สวรรค์! ฉันทำบาปกรรมอะไรไว้กันแน่! ถึงต้องมาเจอตาแก่หนังเหนียวนี่ ลุกขึ้น ลุกขึ้น! วาดบ้าอะไร พ่อยิ่งแก่ก็ยิ่งสติไม่ดี วันนั้นน่าจะปล่อยให้ปีศาจในทะเลกินพ่อไปเลยคงจะดี! ลุกขึ้น ลุกขึ้น…”
…
“เสียงเพลง ตำนาน…” ลั่วชิวกลับมาถึงบ้านพัก ปิดหน้าต่างเรียบร้อย เขานั่งลงบนเก้าอี้นอนริมหน้าต่าง ค่อยๆ มองท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาขาว
หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบ
สิ่งที่ส่งมาคือ…บทเพลงแปลกๆ เพลงนั้นที่หลีจื่อเคยเปิดให้ฟังบนรถ
เปรี้ยง!
ในทะเลมีฟ้าผ่าลงมา
…
…
“อีอวิ๋น อีอวิ๋น!”
หลังจากหลัวอ้ายอวี้ลากพ่อจากสนามหญ้ามาถึงบ้านพักตากอากาศแล้ว ก็เริ่มตะโกนเรียกลูกสาวตนเอง
แต่ว่าเธอเพิ่งจะกลับมาเมื่อครู่ กลับเห็นสามีของตนเองนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์หน้าประตู กำลังดื่มเหล้าคนเดียวกลางวันแสกๆ ทำหน้าตาปั้นปึ่ง
ลูกสาวได้ยินเสียงเรียก เลยรีบร้อนวิ่งออกมา “มีอะไรเหรอคะ แม่?”
หลัวอ้ายอวี้ดึงลูกสาวของตนเองไปอีกทางหนึ่ง และแอบถามว่า “พ่อของลูกทำอะไรน่ะ? ไม่ต้องทำงานเหรอ? ฟ้ายังไม่ทันมืดเลย ดื่มเหล้าอะไรกัน?”
หลี่ว์อีอวิ๋นเหลือบมองพ่อของตนเองแวบหนึ่ง ถึงพูดอึกอักว่า “เมื่อกี้นี้ ลูกค้าสาวที่สวยที่สุดในนั้นบอกให้หนูพาเธอไปที่ห้องครัว หลังจากนั้น…”
“ของพวกเราน่ะเหรอ?” หลัวอ้ายอวี้ขมวดคิ้วถาม “กลัวครัวพวกเราไม่สะอาดหรือไง?”
หลี่ว์อีอวิ๋นพูดเสียงเล็กเสียงน้อย “ไม่ใช่หรอก คุณผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเธอมาเตรียมของกิน ไม่ต้องให้พ่อลงมือเอง แล้วพ่อก็เลยโกรธ ทะเลาะกับคุณผู้หญิงคนนั้นเล็กน้อย ผล ผล…ผลคือหลังจากคุณผู้หญิงคนนั้นก็โชว์ฝีมือใช้มีดทำอาหารแล้ว พ่อก็ออกมาดื่มเหล้าแก้เซ็งโดยไม่พูดอะไรสักคำ”
หลัวอ้ายอวี้นิ่งอึ้ง แม้ว่าสามีคนนี้จะเก็บบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ไว้ แต่ใช้หาเงินไม่ได้จนคับอกคับใจ ทว่าต้องบอกว่าละแวกหาคนมีฝีมือการทำอาหารแบบนี้ไม่ได้เลย
ตอนนั้นถ้าไม่เห็นว่าเขามีฝีมือทำอาหาร และคิดว่าเขาคงลืมตาอ้าปากได้ เธอก็คงไม่แต่งงานย้ายจากเมืองข้างๆ มาสถานที่บ้าๆ แบบนี้หรอก
หลายปีมานี้ตานี่เอาแต่ทำนิสัยแย่ๆ เพิ่งจะเคยเห็นเขาหงอยครั้งแรกเพราะเห็นฝีมือทำอาหารของผู้หญิงคนนั้นนี่แหละ
“คุณปู่เป็นอะไรไปคะ?” หลี่ว์อีอวิ๋นกำลังมองคุณปู่ของตนเอง
หลัวอ้ายอวี้หันกลับมา มองดูชายชรา กลับเห็นเขากำลังถอดกางเกงออกตรงนี้ จึงรีบพูดอย่างตื่นตกใจทันที “ตาแก่หนังเหนียว! หนูให้พ่อกลับไปที่ห้องก่อนค่อยเปลี่ยนกางเกง ไม่ใช่ให้พ่อมาถอดตรงนี้!! หนูทำกรรมอะไรไว้กันแน่เนี่ย ถึงต้องมาเจอตาแก่หนังเหนียวอย่างพ่อแบบนี้! แถมยังแต่งงานกับคนไม่เอาไหนอีก!”
“พอได้แล้ว! เอะอะโวยวาย! ทั้งวันนอกจากโวยวายแล้ว เธอยังทำอย่างอื่นเป็นอีกไหม?” หลี่ว์ไห่ลุกขึ้นฉับพลัน
“แน่จริง คุณก็เข้าห้องครัวไปสิ! ไล่ให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นออกมา คุณกล้าทำไหมล่ะ?” หลัวอ้ายอวี้พูดเยาะเย้ย
หลี่ว์ไห่จุกพูดไม่ออก หน้าแดงก่ำ ทำเสียงสบถในลำคอ
“ฉันซวยมานานหลายปีดีดักแล้วจริงๆ ต้องมาเจอพวกแปลกๆ อย่างพวกคุณเนี่ย! ยังดีที่เหลือแค่พ่อสามีหนังเหนียวตายยากคนเดียว ถ้ามีแม่สามีตายยากมาอีกล่ะก็ ฉันได้หงุดหงิดตายแน่!”
“อย่าพูดถึงแม่ฉัน!” หลี่ว์ไห่สองตาจ้องเขม็ง ขู่ขวัญอย่างดุดัน แล้วเขวี้ยงขวดเหล้าในมือไปที่พื้นอย่างแรง “เธอลองพูดอีกครั้งสิ!!”
“ทำไม? คิดจะทำร้ายฉันเหรอ? เอาสิ! แน่จริงคุณก็ทำเลย!”
หลี่ว์ไห่ชูมือขึ้น พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วชักมือกลับมา แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา ก่อนปิดประตูแล้วเดินออกไปเลย “มื้อเย็นไม่ต้องรอฉัน!”
ฟังเสียงพูดที่ดังมาแต่ไกลของหลี่ว์ไห่ ทำให้หลี่ว์อีอวิ๋นตาแดงก่ำทันที ทว่ากลับได้แต่ดึงแม่ตัวเองไว้ พูดเสียงแหบแห้ง “แม่ แม่ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังมีลูกค้าอยู่นะคะ อย่าทะเลาะกับพ่อเลยนะ”
“ฉันก็ไม่สนแล้ว!” หลัวอ้ายอวี้สะบัดมือแล้วก็เดินเข้าไป
หลี่ว์อีอวิ๋นได้แต่มองปู่ของตนเองเงียบๆ …ปู่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยล่ะสินะ?
สาวน้อยถอนหายใจ