บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 36 ปรมาจารย์มากมาย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 36 ปรมาจารย์มากมาย

บทที่ 36 ปรมาจารย์มากมาย

ตระกูลซู!

คำพูดเพียงสองคำ กลับทำให้ความเกลียดชังและโทสะที่ถูกเก็บไว้ในใจของเฉินซีมาหลายปีปะทุขึ้นมาทันที

ภาพของเขาในวัยสี่ขวบปียังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ครานั้น ผู้บ่มเพาะตระกูลซูขอบเขตเคหาทองคำจำนวนสิบสามคน ได้ฉีกสัญญาการแต่งงานระหว่างเขากับคุณหนูตระกูลซู ต่อหน้าต่อตาทุกคนในเมืองหมอกสน

เขายังคงจำวาจาเย้ยหยันและสีหน้าเหยียดหยามของผู้ฝึกตนแห่งตระกูลซูได้

ทั้งยังจำได้ไม่ลืมว่า ยามปู่ของเขาเห็นว่าสัญญาแต่งงานถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ได้แต่มองเศษกระดาษพวกนั้นลอยล่องอยู่ในอากาศ สีหน้าที่แก่ชราของปู่เผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวังเป็นอย่างมาก

หนำซ้ำเมื่อสามเดือนก่อน ปู่ของเขายังสิ้นชีพไปอย่างน่าเวทนาที่นอกประตูเมือง เมื่อหวนนึกถึงยันต์เสียงสงัดที่เฉินฮ่าวมอบให้เขา เฉินซีก็เริ่มแน่ใจแล้ว บางทีผู้ที่ลอบสังหารปู่ของเขาอาจเป็นคนของตระกูลหลี่ แต่ผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง อาจเป็นตระกูลซู!

เฉินซีไม่ทราบเหตุผลเบื้องหลัง แต่รู้แค่ว่าปู่ของเขาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของตระกูลซู เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว!

“เจ้าเป็นอันใดไป?” ตู้ชิงซีสังเกตเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวเฉินซีดูผิดแปลกไป

เฉินซีสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะหลุดจากภวังค์คับแค้น ชายหนุ่มเพียงส่ายหัวให้อีกฝ่าย

แกร็ก!

รอยแยก ณ ขอบฟ้า แสงแห่งสุริยันเล็ดลอดจากแนวของกลุ่มก้อนเมฆาราวกับเกล็ดปลาที่ประดับประดาอยู่บนท้องฟ้า มันส่องแสงระยิบระยับน่าดูไม่น้อย ไกลออกไปมีเสียงร้องของนกกระเรียนสดใสและชัดเจนดังแว่วมา

เมื่อเมฆาและม่านหมอกเริ่มเบาบางลง ปรากฏภาพกระเรียนขาวกระพือปีกอย่างแข็งขันยิ่ง จากนั้นพวกมันก็ทะลวงผ่านผืนเมฆา มุ่งผ่านสายตาของคนทุกผู้ด้วยความเร็วสูง

วูบ!

เพียงชั่วพริบตา นกกระเรียนสีขาวพิสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือหัวของทุกคน มันกระพือปีกพลางส่งเสียงร้องที่ชัดเจน

สายตาของคนทุกผู้จับจ้องไปยังนกกระเรียนขาวทันที และแล้วก็ปรากฏสตรีวัยแรกแย้มในอาภรณ์สีทมิฬอันประณีต ท่าทางของนางนั้นมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ กายเหยียดตรงดูสูงส่ง ขณะที่มือไขว้หลังอย่างเป็นธรรมชาติ เส้นผมนุ่มสลวยดุจเมฆาเคลื่อนคล้อย ทรวดทรงนับว่างามสะกดตา และด้วยรูปร่างบอบบางของนางที่ราวกับต้องลมทีอาจถูกพัดปลิวไป ยิ่งทำให้ผู้คนหลงใหลในรูปลักษณ์โฉมสะคราญของนาง

ซ่งหลินที่นอนอยู่บนพื้นพลันลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน เขาเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่บนหลังนกกระเรียนขาว ก่อนจะพึมพำเบา ๆ ออกมา “โอ้ ต้วนมู่ แม่นางซูของเจ้ามาถึงแล้ว”

ต้วนมู่เจ๋อชำเลืองมองตู้ชิงซีที่อยู่ข้าง ๆ กาย มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “เจ้าอย่าได้พูดเหลวไหล อันใดคือคุณหนูซูของข้า? นางมีความสัมพันธ์อันใดกับข้ากัน?”

ซ่งหลินเบะปากด้วยความดูถูก แต่เมื่อเขากำลังจะพูดบางอย่างออกไป ต้วนมู่เจ๋อก็เอื้อมมือไปปิดปากชายหนุ่ม จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างเขินอายให้กับตู้ชิงซีที่อยู่ใกล้ ๆ “คนผู้นี้ละเมออีกแล้ว”

ตู้ชิงซีหาได้สนใจคำอธิบายของต้วนมู่เจ๋อ ทว่าใบหน้างดงามที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุม ปรากฏสายตาอันล้ำลึกสายหนึ่งวาบผ่าน ยามเมื่อนัยน์ตาที่ทอประกายฉายชัดราวกับดวงดารามองไปยังเฉินซี คิ้วรูปสวยของนางพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย และดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้

ยามนี้เฉินซีก้มหน้าลง ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเห็นสีหน้าของเขาได้ ทว่าภายใต้การจ้องมองอย่างใกล้ชิด ตู้ชิงซียังคงสังเกตเห็นว่าร่างกายของอีกฝ่ายสั่นเทาเล็กน้อย มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังพยายามยับยั้งความรู้สึกที่ผันผวนอย่างรุนแรงในตัวเขาอยู่

‘ยามซูเจียวปรากฏตัว ท่าทีของเขาก็ผิดปกติไปทันที เป็นไปได้ไหมว่า… ใช่แล้ว! ผู้หญิงที่เฉินซีเคยหมั้นหมายด้วยในปีนั้น ก็คือซูเจียวอย่างไม่ต้องสงสัย!’

ความเฉลียวฉลาดปรากฏขึ้นแววตาของตู้ชิงซี นางนึกถึงข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับเฉินซีในเมืองหมอกสน และในที่สุดก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ สัญญาการแต่งงานของเขาถูกคนตระกูลซูฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าผู้คน บางทีจวบจนวันนี้ เขาคงยังไม่ลืมวันคืนอัปยศนี้ได้กระมัง?

“เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลซูจากเมืองทะเลสาบมังกร!”

“อ๊า! สตรีผู้นั้นคือแม่นางซู ผู้เป็นความภาคภูมิใจของเมืองทะเลสาบมังกรใช่หรือไม่? เป็นโฉมสะคราญที่งดงามยิ่งนัก!”

“หึ! แน่นอนว่านางงดงามกว่าผู้ใด! การบ่มเพาะของแม่นางซูนับว่าไม่ธรรมดายิ่ง มิเช่นนั้นแล้ว นางจะกลายเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในเมืองทะเลสาบมังกรได้อย่างไร ที่แห่งนั้นล้วนแต่มีผู้บ่มเพาะดุจเมฆเกลื่อนท้องฟ้า ซ้ำแล้วนางยังนับว่าเป็นหนึ่งในสองความภาคภูมิใจของเมืองทะเลสาบมังกรอีกด้วย!”

ยามนี้ ฝูงชนที่ทะเลสาบถ้ำวิญญาณต่างก็รู้ถึงตัวตนของซูเจียว บทสนทนาล้วนไม่พ้นความตื่นตกใจ ความชื่นชม และความเคารพ

บนเวหา ซูเจียวแสดงสีหน้าเฉยเมย ราวกับไม่รับรู้ถึงความกระตือรือร้นของทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง อันที่จริง สายตาของนางกำลังจับจ้องไปที่ระยะไกล

และกระทำของนางก็ค่อย ๆ ดึงดูดผู้คน จากนั้นสายตาของพวกเขาก็พุ่งไปในทิศทางเดียวกันตามลำดับ

“ฮ่า ๆๆๆ! ข้าปล่อยให้แม่นางซูรอแล้ว!” เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ กลับปรากฏเสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องไปทั่วท้องนภา แสงโลหิตสีชาดมาพร้อมกับเสียงกรีดอากาศที่ดังทะลวงผ่านม่านเมฆมา ในสายของคนทุกผู้ปรากฏร่างสง่างามร่างหนึ่งที่ดูอหังการไม่น้อยกำลังเหาะเหินอยู่ระหว่างฟ้าดิน

หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านไปในบัดดล ยามได้เห็นท่าทางองอาจและน่าเกรงขาม แต่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและทะนงตน ก่อนที่คนเบื้องล่างจะรู้สึกประหลาดใจและสับสนตาม ๆ กันไป

เมื่อแสงโลหิตสีชาดหยุดลง ก็เป็นยามนี้เองที่ฝูงชนได้เห็นค่าหน้าค่าตาของผู้มาใหม่อย่างชัดเจน คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำปักเลื่อมทอง แผ่นอกกว้างดูองอาจ จมูกโด่งเป็นสัน มีผมยาวสลวยคลอเคลียอยู่ที่บ่า เขายืนอยู่บนกระบี่สีชาดทมิฬที่ดูสดใสราวกับสีของโลหิต ทว่าด้วยท่าทางที่น่าเกรงและดูดื้อดึง กลับทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูสง่างามและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเสียมากกว่า

“กระบี่วิญญาณโลหิตบงกชสีชาด! เขาคือกระบี่ปีศาจน้อย ฉางปิน! อัจฉริยะด้านวิถีกระบี่ของตระกูลฉางแห่งเมืองทะเลสาบมังกร!”

มีคนอุทานด้วยความประหลาดใจ และด้วยวาจานั้นพลันทำให้เกิดความโกลาหลในทันที ขณะที่มองไปยังร่างในชุดคลุมสีดำซึ่งกำลังยืนอยู่บนกระบี่โลหิตกลางอากาศ สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกลัวและความเคารพต่อคนผู้นี้

นี่เป็นเพราะจิตสังหารของคนผู้นี้เข้มข้นเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าคนเขาผ่านประสบการณ์การสังหารหมู่มานับไม่ถ้วน!

เฉินซีที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดก็ฟื้นคืนเช่นเดียวกัน เขาเงยหน้ามองดูบุรุษภายใต้เสื้อคลุมสีดำที่ยืนอยู่กลางอากาศ และญาณตระหนักรู้ก็ทำให้เขามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่าคนอื่น

“โอ้ ต้วนมู่ คู่แข่งเก่าของเจ้าก็มาด้วยนี่นา หากเจ้ายังไม่รีบเอง แม่นางซูของเจ้าได้ถูกแย่งไปแน่”

เสียงเกียจคร้านของซ่งหลินดังขึ้นมาอีกครั้ง ประโยคนั้นดูคลุมเครือไม่น้อยและเมื่อต้วนมู่เจ๋อได้ยินเช่นนั้น เส้นเลือดก็ปรากฏบนหน้าผากทันที เขากัดฟันพูดว่า “ข้าบอกว่าอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล นางไม่ใช่แม่นางซูของข้า แต่คนที่ข้าชมชอบ…คือ…”

ทว่า ‘ชิงซี’ สองคำนี้ยังไม่ทันได้ออกจากปากของต้วนมู่เจ๋อ โดยฉับพลัน เขาเห็นตู้ชิงซีหันมาจ้องมองเขาอย่างเย็นชา หัวใจของต้วนมู่เจ๋อสั่นสะท้านขึ้นมาในบัดดลและกลืนสิ่งที่กำลังจะพูดกลับเข้าไป จากนั้นท่าทีของเขาก็กลายเป็นเขินอายแทน

เฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องทั้งหมดนี้ เนื่องจากความสนใจของเขาถูกดึงดูดไปที่บทสนทนาอันไกลลิบ ณ ตรงนั้น

“แปลกเสียจริง เหตุใดวันนี้ถึงมีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลมามากมายนัก? ความจริงควรมีแค่ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิด หรือต่ำกว่าเท่านั้นที่เข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพได้ไม่ใช่หรือ”

“มันแปลกมาก ไม่เพียงแต่มีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอยู่ที่นี่สำหรับการทดสอบดินแดนรกร้างใต้พิภพในปีนี้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะจากนอกเมืองหมอกสนก็มีจำนวนคนมากกว่าครึ่งหนึ่ง ฉากที่งดงามเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต!”

“ชู่ว! มีอะไรให้ต้องรู้สึกแปลกกัน ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเพียงต้องการยาผนึกแก่นแท้เท่านั้น เพื่อควบคุมระดับการบ่มเพาะที่สูงเกินไปให้อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ การเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพย่อมนับเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา”

“เป็นเช่นนั้น? แต่หากพวกเขาเข้าร่วมไม่ใช่ว่าสุดท้ายแล้ว ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดอย่างเราจะได้ไข่มุกปีศาจเพียงก้อนเดียวกลับมาหรอกหรือ?”

“อย่ากังวลไป ภูมิหลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลนั้นยอดเยี่ยมมาก ด้วยตัวตนของพวกเขาจะมาสนใจกับแค่ไข่มุกปีศาจก้อนนี้หรือ? ข้าว่าวัตถุประสงค์ของพวกเขาคือ การหาที่พำนักของเซียนกระบี่ที่เคยก่อให้เกิดข้อถกเถียงกันมากในตอนนั้นเสียมากกว่า และแม้ว่าจะไม่ใช่แต่พวกเขาก็มาที่นี่เพราะเรื่องอื่นอยู่ดี และถึงอย่างนั้น พวกเขาย่อมไม่ได้มาที่นี่เพื่อไข่มุกปีศาจอย่างแน่นอน”

ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดกลุ่มของตู้ชิงซีถึงมาที่นี่ นั่นเพราะมันมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาสามารถได้รับยาผนึกแก่นแท้ ที่สามารถลดระดับการบ่มเพาะของพวกเขาให้อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดได้ เดิมทีเฉินซียังคงสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเขาได้ยินการสนทนาจากฝูงชนรอบข้าง เขาก็เข้าใจในทันที ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น อันใดคือที่พำนักของเซียนกระบี่?

ทว่าสิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกตกใจมากที่สุดคือ ยามนี้เขาได้เห็นตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ ซ่งหลิน ซูเจียวและฉางปิน ห้าบุคคลสำคัญที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งเมืองทะเลสาบมังกร และภูมิหลังของพวกเขาแต่ละคนล้วนน่าเกรงขามไม่ต่างกัน นี่ยังไม่นับผู้บ่มเพาะคนอื่นที่มีความแข็งอันน่าสะพรึงเก็บซ่อนไว้และหลบอยู่ในเงามืดอีก

“พี่ฉาง ลงไปรอด้วยกันเถิด ดินแดนรกร้างใต้พิภพใกล้จะปรากฏแล้ว” ซูเจียวพยักหน้าเบา ๆ ให้ฉางปินที่อยู่กลางอากาศเช่นเดียวกัน สายตาของนางเรียบนิ่งเป็นอย่างมาก อารมณ์ของนางราวกับธารน้ำที่ไหลอย่างเชื่องช้า และเมื่อนางพบเป้าหมายอย่างรวดเร็ว นางก็ลงไปที่ด้านล่างในทันที

“ตามใจเจ้า” ฉางปินหัวเราะ ขณะที่เขาเก็บกระบี่วิญญาณโลหิตบงกชสีชาดและตามนางลงไปข้างล่าง

ในบรรดาพวกเขาทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งมีนิสัยไม่แยแส ส่วนอีกคนหนึ่งเย่อหยิ่งและไม่เป็นมิตร แต่การบ่มเพาะและอัตลักษณ์ของพวกเขานับว่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก ขณะที่พวกเขาลงมาที่พื้น ฝูงชนก็เปิดเส้นทางให้แก่คนทั้งสองคนทันที

ซูเจียวหาได้สนใจสายตาของคนรอบข้างที่จับจ้องมาอย่างร้อนแรง นางเพียงเดินตรงไปยังที่ตั้งกลุ่มของเฉินซี ก่อนจะหยุดเดินและยิ้มอ่อนหวานออกมา “ศิษย์พี่ต้วนมู่ ศิษย์พี่ซ่ง ข้าไม่คิดเลยว่าท่านสองคนจะอยู่ที่นี่ด้วย”

“ศิษย์น้องซู ดีจริงที่เจ้าอยู่ที่นี่ด้วย” ต้วนมู่เจ๋อยืนขึ้นและยิ้มบาง ๆ ขณะที่พูด เมื่อเขาอยู่ในอาภรณ์สีขาวตามปกติ ทำให้ภาพลักษณ์ยังคงหล่อเหลาเช่นเคย และยามเขากล่าววาจานี้ออกมา ก็ยิ่งทำให้ท่าทางที่สง่างามของเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีกจนถึงขั้นที่มิมีผู้ได้จับผิดได้

แต่เมื่อเทียบกับฉางปินที่ยืนอยู่ข้างซูเจียว อารมณ์และรูปลักษณ์ของพวกเขานับว่าแตกต่างกัน ถึงอย่างนั้นคนทั้งคู่ก็ยังเผยให้เห็นท่าทางที่มั่นใจและดูแข็งแกร่ง ซึ่งเข้ากันได้ดี

“โอ้ ข้าง่วงนอนมาก พวกเจ้าคุยกันไปเถิด” ซ่งหลินกลับหาได้แยแสสถานการณ์ไม่ เขายังคงนอนอยู่ตรงนั้นราวกับสุนัข และในขณะที่เขาพึมพำ เปลือกตาของเขาก็เริ่มหย่อนลงอีกครั้ง จนในที่สุดเขาก็หลับสนิทและกรนเสียงดังออกมา

เมื่อเปรียบเทียบกับต้วนมู่เจ๋อและฉางปินแล้ว ซ่งหลินที่เกียจคร้านและชอบนอนดูไม่เหมือนกับคนที่มาจากหนึ่งในหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร นั่นคือตระกูลซ่ง!

ซูเจียวยิ้มบาง นางหันไปมองตู้ชิงซีที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำแทน “พี่ใหญ่ชิงซี ท่านก็มาหาที่พำนักของเซียนกระบี่ด้วยหรือ?”

“เจ้าคิดอย่างไรเล่า?” น้ำเสียงของนางที่เอ่ยออกไปเย็นชาดุจน้ำแข็ง ตู้ชิงซีจับผืนผ้ายกเอาผ้าคลุมสีดำที่คลุมศีรษะออก เผยให้เห็นดวงหน้าที่เย็นชาและงดงามของนาง นัยน์ตาที่ทอประกายดุจดาราของนางกระจ่างใสราวกับวารี ริมฝีปากเป็นกระจับของนางแดงระเรื่อเหมือนกับสีของดอกกุหลาบ และใบหน้าพิสุทธิ์ของนางก็ราวกับบงกชที่เบ่งบานอยู่ในสระ ดูงดงามและตรึงตรา

เมื่อเหล่าคนรอบข้างได้เห็นรูปลักษณ์ของตู้ชิงซี พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึงไปและบังเกิดความประหลาดใจเป็นอย่างมากกับความงามของนาง

“แน่นอน มิฉะนั้นแล้ว เหตุใดพี่ใหญ่ชิงซีถึงได้มาอยู่ที่เมืองหมอกสนเล็ก ๆ แห่งนี้นานนักเล่า?” ซูเจียวยิ้มเล็กน้อย “ย่อมเพียงเพราะที่พำนักของเซียนกระบี่เป็นแน่ และหากเป็นเรื่องนี้จริง ข้าย่อมไม่ประนีประนอมเช่นกัน แม้ว่าท่านจะเป็นพี่ใหญ่ของข้าก็ตาม”

“เนื่องจากเป็นเช่นนั้น เราจะใช้สิ่งนั้นตัดสินผู้ชนะในดินแดนรกร้างใต้พิภพ” ตู้ชิงซีตอบอย่างตรงไปตรงมา น้ำเสียงของนางเย็นเยียบเหมือนเช่นเคย และให้ความรู้สึกว่านางได้ตัดสินใจที่จะฆ่าลงไปแล้ว

“นั่นคือสิ่งที่ข้าตั้งใจไว้เช่นกัน” ซูเจียวยิ้มขณะที่ตอบ จากนั้นนางก็จ้องมองไปทางด้านข้าง ที่ตรงนั้นมีเฉินซีนั่งไขว่ห้างมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่

นอกจากการปรากฏตัวของซูเจียวและฉางปินแล้ว ผู้คนในบริเวณโดยรอบก็ต่างจ้องมองมาที่พวกเขาแล้ว ต้วนมู่เจ๋อมาถึงก่อนเวลาและทุกคนก็ได้รู้จักตัวตนของเขาแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นยามซูเจียวเรียกชื่อตู้ชิงซี ทำให้ผู้คนได้เห็นรูปลักษณ์ที่งดงามและแสนละเอียดอ่อนของนาง คนส่วนใหญ่จึงสามารถเดาได้ว่า สตรีนางนี้ย่อมต้องเป็นอัจฉริยะจากตระกูลตู้แห่งเมืองทะเลสาบมังกรแน่นอน อีกอย่าง ตู้ชิงซีถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสองความภาคภูมิใจของเมืองทะเลสาบมังกร คู่กับซูเจียว!

สำหรับซ่งหลิน เพียงแค่ได้ยินชื่อของเขา ทุกคนก็รู้ว่าสหายที่เกียจคร้านและง่วงนอนผู้นี้ มาจากตระกูลซ่งของหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร

ตระกูลซู ตระกูลฉาง ตระกูลต้วนมู่ ตระกูลตู้ ตระกูลซ่ง… ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งห้าคนนี้ มาจากหกตระกูลใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกรตามลำดับ ที่ยิ่งกว่านั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในหมู่อัจริยะรุ่นเยาวน์ด้วย เพราะอย่างนั้น หากเป็นภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้คนที่มาที่นี่จะได้เห็นการรวมตัวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?

ดังนั้นในยามนี้ เมื่อพวกเขาได้เห็นซูเจียวจ้องมองเฉินซี ผู้คนที่อยู่รอบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเดาในใจว่า ‘ชายคนนี้คือผู้ใดกัน? การที่เขาสามารถรวมกลุ่มกับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งห้า ที่มีภูมิหลังล้ำลึกและการบ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขาจะเป็นศิษย์จากหนึ่งในหกตระกูลใหญ่สุดท้าย…ตระกูลฟาง?’

และแน่นอนว่ายามนี้ เฉินซีผู้ซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนพื้นได้กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท