บทที่ 40 สังหารเหล่าโจร
บทที่ 40 สังหารเหล่าโจร
ชายวัยกลางคนร่างกำยำผู้นี้มีนามว่า ‘เหลียงหู’ เขาเป็นหัวหน้าโจรที่มีชื่อเสียงเลวร้ายของซ่องโจรแห่งเมืองหมอกสน การฝึกฝนของเขาอยู่ในระดับขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์เท่านั้น แต่ด้วยความฉลาดแกมโกงและความระมัดระวัง เขาจึงมักจะหลุดพ้นจากการจับกุมและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งนัก
และที่สำคัญคือ เขาไม่เคยรุกรานศิษย์จากนิกายที่มีชื่อเสียงหรือตระกูลที่ยิ่งใหญ่ เพียงแค่ปล้นชิงและฆ่าผู้บ่มเพาะไร้สังกัดที่ไม่มีสถานะ หรือตำแหน่งใด ๆ ที่อยู่ในชนชั้นต่ำสุดของสังคม
เมื่อสามปีที่แล้ว เหลียงหูได้เข้าร่วมการทดสอบในดินแดนรกร้างใต้พิภพ อีกทั้งยังรู้ทุกอย่างที่อยู่ภายในนั้นราวกับหลังมือ เขารู้ว่าที่แห่งนี้เชื่อมกับหุบเขาอาบโลหิตและเขตนรกฝันร้ายที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง โดยปกติแล้วเขามักได้รับผลตอบแทนมหาศาล เมื่อเขาใช้ม่านหมอกควันเพื่อปกปิดตัวตนของกลุ่มโจรก่อนจะดำเนินการลอบโจมตี ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงกายและจิตใจในการล่าสัตว์อสูรเพียงเพื่อรับไข่มุกปีศาจ
ที่สำคัญที่สุด ตราบใดที่เขาระมัดระวังสม่ำเสมอ เหลียงหูก็ไม่ต้องกังวลว่า ตัวตนของเขาจะรั่วไหลออกไปเมื่อเขาลอบจู่โจมในที่แห่งนี้ และแม้ว่าศิษย์ของนิกายเหล่านั้นจะตกตาย แต่นิกายของพวกเขาส่วนใหญ่จะคิดแค่ว่า พวกเขาตกตายภายใต้คมเขี้ยวของอสูรปีศาจและหาได้มีข้อสงสัยอื่นใดไม่
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เหลียงหูจึงได้นำเหล่าสมุนที่มีระดับขอบเขตก่อกำเนิดกว่าสิบคน เข้าร่วมในการทดสอบของดินแดนรกร้างใต้พิภพในครั้งนี้ เพื่อแย่งชิงของจากผู้บ่มเพาะคนอื่น
ความจริงก็เป็นดั่งที่เหลียงหูคิด ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม ด้วยการปล้นชิงและเข่นฆ่าผู้บ่มเพาะนับสิบที่เดินทางคนเดียว ทำให้เขาได้รับไข่มุกปีศาจมาจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เหลียงหูหาได้หน้ามืดตามัวจากชัยชนะเพียงแค่นี้ เขายังคงเลือกผู้บ่มเพาะอย่างระมัดระวัง คือเลือกแค่ผู้ที่มักเดินทางคนเดียวเป็นเป้าหมายสำหรับการลอบโจมตี
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เขาพลันตระหนักได้ทันทีว่า พวกที่เดินทางคนเดียวก็หาได้อ่อนแอเสมอไป อย่างเช่นเด็กหนุ่มที่มีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ก็ไม่ได้เป็นลูกนกในกำมือที่รอความเมตตาจากเขา
เช่นเดียวกับ… เฉินซีที่อยู่เบื้องหน้า
เพียงชั่วพริบตาเดียว นับตั้งแต่เขาเริ่มออกจู่โจมจนไปถึงตอนที่เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ถูกเก็บซ่อนไว้อย่างเงียบงัน สายตาของเฉินซีปลดปล่อยจิตสังหารออกมา และเป็นตอนนั้นเองที่เหลียงหูรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างแรงกล้า ชายวัยกลางคนไม่ลังเลอีกต่อไป เขากระทืบเท้าข้างขวาลงกับพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นใช้แรงถีบจากการกระทืบบิดร่างกาย ก่อนจะกระโดดหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
แต่อนิจจา มันสายเกินไปแล้ว
ฟึ่บ!
แสงกระบี่อันน่าทึ่งพลันปรากฏขึ้นในกลางอากาศ แล้วพุ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
เวลาเดียวกันนั้น ร่างกายของเหลียงหูยังคงอยู่กลางอากาศ แต่แล้วจู่ ๆ รูกระบี่ก็ปรากฏขึ้นที่ด้านขวาของช่องท้อง ก่อนที่แรงฉีกกระชากนั้นจะไหลผ่านไปยังแผ่นหลังของเขาจนเป็นแนวเส้นตรง ทำให้โลหิตเข้มข้นพุ่งกระฉูดออกมาในทันใด
“เป็น… เป็นไปได้อย่างไร? ข้าบรรลุถึงระดับขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์เมื่อแปดปีที่แล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะไม่อาจป้องกันการโจมตีนี้ได้แม้แต่ครั้งเดียว?” เหลียงหูล้มลงกับพื้น จากนั้นก้มศีรษะลงมองดูอาการบาดเจ็บที่หน้าท้องด้านขวาซึ่งมีโลหิตหลั่งไหลออกมา ใบหน้าของเขานิ่งอึ้งไปด้วยความเหลือเชื่อ
“หัวหน้า!”
“หัวหน้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
เหล่าลูกสมุนของเหลียงหูต่างตกตะลึง เมื่อเห็นว่าการจู่โจมของหัวหน้าล้มเหลว ซ้ำยังถูกแทงกลับด้วยกระบี่ของศัตรูแทน และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นจากความตกตะลึง ก็ต้องส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
เหลียงหูเป็นหัวหน้าโจรของพวกมัน อีกทั้งยังมีการบ่มเพาะอยู่ในระดับขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ ย่อมถือได้ว่ายืนอยู่ในจุดสูงสุดของการทดสอบในดินแดนรกร้างใต้พิภพ แต่เวลานี้เขากลับได้รับบาดเจ็บและถึงกับล้มลงกองกับพื้นดิน ภายใต้การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว นี่…นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง!
ในสายตาของโจรที่ใช้ชีวิตอาบโลหิตปลายกระบี่มาตลอด ผู้เยาว์ที่ยืนถือกระบี่อยู่ตรงหน้ากลับเปลี่ยนจากแกะอ้วนตัวเล็กไปเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เย็นชาในทันใด ทั้งยังทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวไม่หยุด
อันที่จริงแล้ว ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันของเฉินซี หากเขาต้องต่อสู้กับเหลียงหูจริง ๆ เขาก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถทำร้ายอีกฝ่ายจนบาดเจ็บสาหัสด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวได้ ทว่าเหตุผลเดียวที่เขาสามารถทำได้อย่างง่ายดายในครั้งนี้ มันเป็นผลมาจากญาณตระหนักรู้ของเขา
ในคราแรกนั้น เมื่อเฉินซีได้ยินเสียงตะโกนจากกลุ่มของเหลียงหู เขาก็ใช้ญาณตระหนักรู้ตรวจสอบบริเวณโดยรอบทันที ญาณตระหนักรู้ของเฉินซีเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล ซึ่งสามารถตรวจสอบรอบตัวได้อย่างชัดเจนภายในพื้นที่ยี่สิบห้าลี้ และเขาก็ไม่พบเงาของฝูงสัตว์อสูรแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เขาจะตกหลุมพรางของเหลียงหูได้เยี่ยงไร?
ในขณะที่เหลียงหูหาได้รับรู้เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง และเขามองเฉินซีเป็นดั่งลูกนกที่ไร้ประสบการณ์เท่านั้น ภายใต้ความประมาทและลดการป้องกัน ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวจากเฉินซี ผู้ซึ่งรับรู้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้แล้ว
แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก!
เสียงฝีเท้ามั่นคงและเป็นจังหวะพลันดังขึ้น เฉินซีเผยท่าทีเย็นชาขณะที่กำกระบี่ไว้ในมือ เขาก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยจิตสังหารพรั่งพรู
เขาไม่มีความรู้สึกเช่นว่า ต้องปรานีหรือเมตตาต่อพวกโจรที่ลอบจู่โจมและเข่นฆ่าผู้คนเลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะญาณตระหนักรู้ของเขาที่สังเกตเห็นบางสิ่งไม่ถูกต้อง เขาคงตกหลุมพรางของพวกมันและตกตายไปแล้ว เพราะอย่างนั้น ยามนี้เขาจะปล่อยให้พวกโจรมันหนีออกไปได้อย่างไร?
เหลียงหูอดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัส ในขณะที่เขาพยายามหยัดกายขึ้นจากพื้นดิน และตะโกนออกมาเสียงดังราวกับระเบิด “เหล่าพี่น้อง โจมตีพร้อมกัน! ถึงมันจะน่าเกรงกลัวสักเพียงใด แต่มันก็มีเพียงผู้เดียว ฆ่ามันซะ แล้วไข่มุกปีศาจที่มันครอบครองจะเป็นของพวกเรา!”
“หัวหน้าพูดถูก มันมีเพียงผู้เดียว เหตุใดเราต้องกลัวด้วย?”
“ถูกต้อง! เจ้าเด็กบัดซบผู้นี้อาจมีไข่มุกปีศาจจำนวนมากอยู่ในครอบครองก็เป็นได้!”
“ฆ่ามัน!”
หัวหน้าโจรปลุกความบ้าบิ่นของเหล่าสมุนได้สำเร็จ โดยฉับพลัน พวกมันทั้งหมดต่างมีแววตาบ้าคลั่ง ขณะที่ขยับเข้ามารุมล้อมเฉินซี
ทว่าชายหนุ่มยังคงมีท่าทีไร้อารมณ์เช่นเคย ตลอดช่วงสามเดือนที่ผ่านมา เขาได้ผ่านการบ่มเพาะอย่างยากลำบากในเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้ทุกค่ำคืน ซ้ำยัง ผ่านการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับสัตว์อสูรที่มีระดับเหนือกว่าขอบเขตก่อกำเนิดจำนวนมาก มันจึงทำให้เฉินซีลืมไปแล้วว่าเขาเคยได้รับบาดเจ็บและหลั่งโลหิตไปมากมายเพียงใดในตอนนั้น
ประสบการณ์การต่อสู้จริงที่เฉินซีฝึกฝนผ่านการเข่นฆ่านองเลือด ทำให้เฉินซีเข้าสู่สภาวะพร้อมสู้ในทันทีที่เขาตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับศัตรู
ไม่มีความลังเล ล่าช้า หรือกล่าววาจาไร้สาระใด ๆ ทั้งสิ้น สมาธิทั้งหมดของเฉินซีจดจ่ออยู่กับการเข่นฆ่าที่ใกล้เข้ามา อีกทั้งจิตใจของเขาก็สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
“ตายซะ!”
ข้อมือของเฉินซีหมุนอย่างฉับไว ขณะฝ่าเท้าใช้ออกโดยเคล็ดวิชาแปดก้าวมังกรสวรรค์ กระบี่อัสนีครามในมือแปรเปลี่ยนเป็นเงากระบี่นับไม่ถ้วน ดุจสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับพายุซัดสาด
เหล่าโจรสังเกตเห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา เงากระบี่นับไม่ถ้วนเป็นเหมือนกับตาข่ายขนาดใหญ่ที่ทำจากกริชอันคมกริบ ลอยมาถึงตรงหน้าพวกเขาในทันที และทำให้ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ในทันควัน
ปุ! ปุ! ปุ!
โลหิตสีเข้มพ่นกระจายออกมาราวกับหินหลอมเหลวอย่างรุนแรง ในขณะที่ตัวเฉินซีพุ่งผ่านไป
การบ่มเพาะอย่างหมั่นเพียรและยากลำบากตลอดช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ทำให้เคล็ดวิชากระบี่แยกวายุโกลาหลของเฉินซีบรรลุถึงขั้นสูงเมื่อนานมาแล้ว และในแง่ของความลึกซึ้ง วิชากระบี่ของเขาก็เทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งนี้ย่อมห่างไกลจากเหล่าโจรที่ไร้ความสามารถจะเทียบเคียงได้
เมื่อเฉินซีประเมินพลังในการต่อสู้ ในตำราสะท้อนตัวตนที่เขาเขียนขึ้นทุกวัน เขาจะถือว่าตนเองเป็นผู้ไร้ต้านในระดับขอบเขตตำหนักอินทนิล แม้แต่จิตวิญญาณของเคหาบ่มเพาะเช่นจี้อวี๋ ผู้ซึ่งอาศัยอยู่มาเกือบหนึ่งล้านปีและเป็นเจ้าแห่งการจับผิดก็ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพลังต่อสู้ของเฉินซีเปลี่ยนไปมาก
แค่ก! แค่ก!
รูม่านตาของโจรทั้งหกขยายออกในทันที สีหน้าของพวกเขาแข็งทื่อ ก่อนจะสัมผัสได้กับความวูบโหวงเมื่อลำคอถูกตัดผ่านไป เพียงชั่วพริบตา พวกมันก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอันแหบแห้งและน่าหวาดกลัว ก่อนจะล้มลงกับพื้นดิน
กระทั่งตาย พวกมันก็ไม่เคยคิดเลยว่าวิชากระบี่ของเฉินซีจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ รวดเร็วจนถึงขั้นที่พวกมันไม่อาจจะโต้กลับ จนล้มลงไปนอนกับพื้นและสิ้นชีวิตในที่สุด
โจรอีกห้าคนที่เหลือแข็งทื่ออยู่ในอากาศ พวกมันจ้องเขม็งไปยังพวกพ้องที่กลายเป็นศพนอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ความหวาดกลัวที่มิอาจอธิบายได้ ราวกับมีมือสองข้างที่ไร้รูปร่างบีบลำคอของพวกมันอยู่ ทำให้พวกมันลืมหายใจ!
แม้ว่าพวกมันจะเป็นโจร แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีการบ่มเพาะระดับขอบเขตก่อกำเนิด และไม่ใช่ว่าพวกมันไม่เคยพบกับบุคคลที่น่าสะพรึงกลัว ซ้ำยังยากจะจัดการภายในดินแดนรกร้างใต้พิภพ แต่เพราะสุดท้ายแล้ว พวกมันมักจะได้รับชัยชนะในที่สุดโดยอาศัยจำนวนคนที่มากกว่า อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเฉินซีที่มีจิตสังหารเต็มเปี่ยม พวกมันจึงได้รับรู้ว่าความห่างชั้นระหว่างผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดทั้งสองคนเช่นนี้มีอยู่จริง!
ตายหมดแล้ว!
เพียงชั่วพริบตา เหล่าพวกพ้องที่มีการบ่มเพาะขั้นขอบเขตก่อกำเนิดของพวกมันทั้งหกคนได้ตกตายไปหมดแล้ว…
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาร่วงหล่นลงไปกับพื้นทันที ขณะที่พวกมันจ้องมองไปยังเฉินซีราวกับเผชิญหน้ากับปีศาจ และโจรทั้งห้าก็ส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวออกมา ก่อนที่จะหลบหนีไป
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
กระบี่อัสนีครามเป็นเหมือนกับม่านหมอกพลิ้วไหว ยามแสงศัสตราที่พร่ามัวกรีดผ่านอากาศจนเสียงดังแหลม ทะลุทะลวงผ่านด้านหลังของโจรทั้งห้าอย่างง่ายดาย ทำให้โลหิตสีเข้มพุ่งออกมาทุกหนแห่งยามเมื่อเขาเคลื่อนตัวผ่าน
ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาของการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย กับเหล่าอสูรร้ายที่มีระดับขอบเขตขั้นก่อกำเนิด มันได้ทำให้เฉินซีเข้าใจหลักการที่สำคัญยิ่งว่า เขาต้องรู้จักอดทนอดกลั้นยามเมื่อจัดการกับศัตรู และต้องแน่ใจว่าตนจะสามารถฆ่าศัตรูได้เร็วที่สุด นี่ย่อมเป็นวิธีที่ที่เขาใช้เอาตัวรอดเสมอ
แต่ยามนี้เขามิอาจอดทนได้อีกต่อไป เพราะในสายตาของเขา โจรป่าเถื่อนและชั่วร้ายเหล่านี้เป็นเพียงมดปลวกฝูงหนึ่งเท่า และการที่พวกมันตกตายก็นับว่าไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียใจ!!
เหลียงหูสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเขามาสักพักแล้ว และเมื่อเห็นเฉินซีถือกระบี่อัสนีครามที่ยังมีโลหิตติดอยู่ ขณะก้าวเดินเข้ามาหา ขาของเขาก็สั่นเทาก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นเสียงดัง จากนั้นเขาก็เปล่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวว่า “ขะ ข้าจะมอบไข่มุกปีศาจทั้งหมดให้ท่านหมดเลย อย่าได้ฆ่าข้าเลย ได้โปรด!”
เฉินซีหาได้แยแสท่าทางนั้นไม่ บนตัวชายหนุ่มยังคงฉายชัดถึงความเย็นชาที่แผ่ออกมาเช่นเคย
“ข้าจะแลกชีวิตกับเจ้า!” เหลียงหูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเศร้าใจเมื่อเห็นเฉินซีมีใจเด็ดเดี่ยว ภายใต้การกระตุ้นของความรู้สึกที่รักตัวกลัวตาย เหลียงหูก็ชิงออกตัวและทันใดนั้นเอง กริชสีดำสนิทพลันปรากฏขึ้นในมือของเขา จากนั้นก็กระโจนไปข้างหน้า ก่อนจะแทงกริชเข้ากับจุดตันเถียนของเฉินซีอย่างรุนแรง
ฟุ่บ!
แสงกระบี่ทอประกายวาววับเพียงครู่เดียว ศีรษะของเหลียงหูก็แยกออกจากร่างกายของเขาในบัดดล มันกระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะตามมาด้วยสายโลหิตที่ดูหนา ราวกับแขนของทารกพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอที่ขาด กระเซ็นไปทั่วพื้นดิน
ยามนี้กลุ่มโจรของเหลียงหูถูกฆ่าตายจนหมดสิ้นแล้ว!
หากมีใครได้เห็นฉากนี้ พวกเขาคงต้องตกตะลึงถึงความโหดร้ายและความเด็ดขาดของเฉินซีเป็นแน่
“แท้จริงแล้วพวกมันมีไข่มุกปีศาจมากกว่าหนึ่งหมื่นเม็ด พวกโจรเหล่านี้คงจะปล้นชิงและฆ่าผู้บ่มเพาะมามาก ช่างเป็นการกระทำที่เลวทรามยิ่งนัก! สมควรตาย ๆ ไปดีแล้ว!”
เฉินซีพบถุงสมบัติจากศพของเหลียงหู จากนั้นจึงได้ตรวจสอบดู เมื่อพบเข้า เขาพลันรู้สึกตกตะลึงไปกับไข่มุกปีศาจจำนวนมากที่อยู่ภายใน และความรู้สึกรังเกียจก็ก่อเกิดขึ้นในหัวใจ พวกโจรเหล่านี้ช่างทำบาปมหันต์ยิ่ง
“ภายในดินแดนรกร้างใต้พิภพ ไม่ว่าการฝึกฝนของผู้นั้นจะเป็นอย่างไร แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่ที่ระดับขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์อย่างแน่นอน ข้าคิดว่าซูเจียวและหลี่ไฮว่ก็คงประสบกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่ทั้งสองคนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล และยังเป็นศิษย์หลักของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ พวกมันน่าจะมีไพ่ตายอันแข็งแกร่งอยู่หลายใบ หากข้าต้องเจอกับสองคนนี้ สงสัยนักว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะกัน…?”
หลังจากโยนไข่มุกปีศาจทั้งหมดที่ได้มาลงในแหวนมิติ เฉินซีก็เริ่มครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะส่ายหัว หันหลังกลับและเดินจากไป
เมื่อชายหนุ่มกลับไปยังที่พักแรม กลุ่มของตู้ชิงซีก็เพิ่งจะทานอาหารเสร็จ พอพวกเขาเห็นเฉินซีเดินกลับมาก็ไม่ได้คาดคิดว่าเฉินซีไปประสบกับเหตุนองเลือดมา ดังนั้นพวกเขาจึงทักทายเฉินซีตามปกติแล้วพากันเดินทางต่อ
โดยปกติแล้ว เฉินซีจะไม่กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและยังคงติดตามพวกเขาอย่างใกล้ชิด หลังจากเดินไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้น ผืนนภาสีเทาตะกั่วพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ขณะที่กลิ่นอายน่าอึดอัดและแปรปรวน ก็นำพากระแสลมร้อนพุ่งเข้ามาแผดเผาและกระทบเข้ากับใบหน้าของพวกเขา
ที่แห่งนี้ปราศจากม่านปราการหมอกควันอีกต่อไป และขอบเขตการมองเห็นก็ขยายมากขึ้นกว่าเดิม เฉินซีสามารถมองเห็นภูเขาที่อยู่ไกลออกไปได้ มันตั้งสูงตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่ก้อนหินขนาดมหึมามีรูปร่างแปลกประหลาด ในอากาศมีเม็ดทรายพัดปลิวไสว พื้นที่นั้นดูปราศจากสิ่งมีชีวิตแต่อย่างใด
เสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวดังมาจากที่ห่างไกล และเมื่อรวมกับท้องฟ้าสีแดงเข้มก็ทำให้รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
“เราจะเข้าสู่หุบเขาอาบโลหิตนับจากนี้เป็นต้นไป ภัยอันตรายและการฆ่าฟันที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทุกคนโปรดระมัดระวังด้วย” เสียงที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งสะท้อนออกมา ตู้ชิงซีจ้องมองทุกสิ่งอย่างจากระยะไกล ราวกับโลกถูกย้อมไปด้วยสีโลหิต และท่าทางของนางก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด