บทที่ 41 เมืองอาบโลหิต
บทที่ 41 เมืองอาบโลหิต
ณ หุบเขาอาบโลหิต ก่อนที่จะถึงหุบเขา
ผู้บ่มเพาะนับสิบคนต่างรุมล้อมพวกเขา ชายวัยกลางคนตัวผอมสูงที่เป็นผู้นำได้กล่าวเตือนว่า “สหายเต๋า โปรดรอก่อน มีอสูรปีศาจกว่าหนึ่งร้อยตัวซ่อนเร้นอยู่ภายในหุบเขาอาบโลหิต เรามาร่วมมือล่าพวกมันและแบ่งปันไข่มุกปีศาจกันดีหรือไม่”
ตู้ชิงซีไม่ได้คิดเช่นนั้นด้วย นางจึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ขออภัยด้วย เรายังมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการ”
“ฮ่า ๆ คุณหนูอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ สิ่งใดจะสำคัญเท่าการหาเงินเล่า? ท้ายที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งของพวกข้า การล่าอสูรปีศาจนั้นหาใช่เรื่องยาก สหายเต๋าเอ๋ย พวกเจ้าทุกคนดูกล้าหาญและไม่ธรรมดาอยู่แล้ว หากเข้าร่วมกับเรา เจ้าจะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลแน่นอน” ชายวัยกลางคนผู้นั้นยังคงกล่าวเตือนพวกเขาด้วยความอดทน
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะสงสารอีกฝ่าย ขณะจ้องมองไปยังผู้บ่มเพาะที่ยืนล้อมพวกเขาอยู่
ตู้ชิงซีไม่ได้กล่าวอันใดอีกต่อไป ส่วนต้วนมู่เจ๋อผู้สวมอาภรณ์สีขาวและมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า พลันก้าวเท้าออกไปและกล่าวว่า “พวกเจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง ข้าอยากบอกพวกเจ้าว่า เจ้าเลือกเหยื่อผิดเสียแล้ว”
“เหอะ! กล่าววาจาไร้สาระอันใด? จะยอมทำตามหรือหาที่ตาย!” ใบหน้าของชายวัยกลางคนดูเคร่งขรึมในบัดดล จากนั้นเขาก็ยิ้มเยาะพลางดีดนิ้ว ท่าทีของผู้บ่มเพาะที่รุมล้อมอยู่พลันเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที และดวงตาของพวกเขาก็ฉายชัดถึงความอันตรายออกมา
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย มอบไข่มุกปีศาจทั้งหมดมาแล้วไสหัวไปซะ! อ้อ จงทิ้งหญิงสาวนางนั้นไว้ด้วย นางน่าจะเหมาะกับการเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกข้า” ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างพิลึกพิลั่นในขณะที่เขายื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย
“เจ้ากล้าหยามเกียรติชิงซีหรือ? รนหาที่ตายโดยแท้!” ใบหน้าของต้วนมู่เจ๋อเย็นชาลง เมื่อเขาเห็นชายวัยกลางคนผู้นั้นเผยท่าทีใคร่กระหายในตัวตู้ชิงซี กระบี่สายรุ้งเจ็ดดาราก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
โอม!
กระบี่สายรุ้งเจ็ดดาราที่บรรจุพลังจิตวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวได้ปลดปล่อยแรงกดดันอันมิอาจหาผู้ใดเทียบได้ คมศัสตราสั่นสะท้านอยู่ในมือของต้วนมู่เจ๋อ ราวกับว่าตัวมันอยากจะบินออกไปดื่มโลหิตของศัตรูเต็มทีแล้ว
เพียงชั่วพริบตา ตำแหน่งของต้วนมู่เจ๋อที่ถือกระบี่ก็เปลี่ยนไป รอยยิ้มมุมปากแปรเปลี่ยนเป็นเหยียดหยามและเย็นชา ราวกับว่าตัวเขาได้กลายเป็นกระบี่อันแหลมคมที่ไร้ฝัก และพร้อมที่จะพุ่งกระโจนไปเบื้องหน้า!
“ไป! ฆ่าไอ้เด็กคนนี้ก่อน!” รูม่านตาของชายวัยกลางคนร่างผอมหดตัวลง ยามสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของต้วนมู่เจ๋อ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่า ตนได้เผชิญกับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวเข้าแล้ว นี่ทำให้เขาไม่อาจลังเลและต้องรีบตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง จากนั้นมือที่ถือกระบี่คู่อยู่ก็ตวัดไปยังศีรษะของชายหนุ่มในทันที
“ฆ่า!” ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ กวัดแกว่งอาวุธของพวกเขาเช่นกัน ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ต้วนมู่เจ๋อ
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ท่าทางของตู้ชิงซียังคงสงบนิ่งดังเดิม อีกทั้งซ่งหลินเองก็ยังคงดูมึนงงและเซื่องซึม ส่วนเฉินซีนั้นจ้องมองผู้บ่มเพาะพวกนั้นด้วยความสังเวชใจ
‘พวกเจ้ามิใช่สหายของเจ้าเด็กหรอกหรือ ไยถึงให้เขาเสี่ยงชีวิตแต่เพียงลำพัง?’ ชายวัยกลางคนเหลือบมองมาที่พวกเขา ก่อนจะครุ่นคิดในมุมของตนเอง เมื่อเขาเห็นตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ มองดูอย่างไร้ความกังวล เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
“ท่านหัวหน้า!” ช่วงเวลาที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นมึนงงไปชั่วครู่ เสียงร้องเรียกอย่างตื่นตระหนกพลันดังขึ้นในหูของเขา และเมื่อเขาฟื้นคืนสติ ก็เห็นเพียงประกายแสงจากคมกระบี่อันดุดันพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของคนคนนั้นแล้ว
เคร้ง! กึก! แกร็ก!
เสียงโลหะแตกละเอียดราวกับข้าวโพดคั่วดังขึ้นในบัดดล และอาวุธทั้งหมดที่อยู่ในมือของผู้บ่มเพาะซึ่งรุมล้อมรอบตัวต้วนมู่เจ๋อก็แตกหักเหลือเพียงแต่ด้าม
เป็นไปได้ไหมที่กระบี่ในมือของคนผู้นี้เป็นสมบัติวิเศษ
ผู้บ่มเพาะทุกคนที่รายล้อมเขา รวมทั้งชายวัยกลางคนร่างผอมต่างแสดงความประหลาดใจออกมา จากนั้นร่างกายคนทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความเย็นเยียบ บังเกิดความหวาดกลัวอันไร้ขอบเขตขึ้นมา คนผู้นี้ยังเยาว์วัยนัก อีกทั้งยังมีสมบัติวิเศษติดตัว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเป็นศิษย์เอกจากนิกายหรือตระกูลที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น?
“ตายซะ!” ต้วนมู่เจ๋อเงื้อกระบี่เข้าใส่กลุ่มผู้บ่มเพาะที่กำลังตกตะลึงด้วยความดูแคลน จากนั้นข้อมือของเขาก็สั่นเบา ๆ ประกายแสงนับสิบจากคมกระบี่ก็ไหลออกมาดุจสายวารี และพุ่งทะลุทะลวงออกไปยังคนพวกนั้น
ฟู่! ฟู่! ฟู่! ฟู่!
โลหิตพุ่งกระจายออกมาท่ามกลางอากาศ ชายวัยกลางคนและลูกน้องของเขายังไม่ทันจะได้แตะต้องตัวของต้วนมู่เจ๋อ ทันใดนั้นพวกเขาพลันรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก ก่อนที่บนตัวจะปรากฏรูและโลหิตไหลออกมาจากตำแหน่งหัวใจ เมื่อเห็นดังนั้นรูม่านตาพลันขยายออกก่อนที่จะล้มลงกับพื้นดิน
“คิดปล้นชิงผู้อื่นด้วยระดับบ่มเพาะเพียงน้อยนิดเช่นนี้ ช่างน่าขบขันเสียจริง!” ต้วนมู่เจ๋อส่ายศีรษะอย่างดูแคลน จากนั้นเขาก็หันกลับมาอย่างสง่างาม ไม่คิดเหลือบมองซากศพบนพื้นอีกต่อไป สุ้มเสียงสั่งเฉินซีว่า “เจ้าจงเก็บกวาดบริเวณโดยรอบเสีย”
เฉินซีก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วและเริ่มรวบรวมไข่มุกปีศาจที่ผู้บ่มเพาะเหล่านี้ครอบครองอยู่อย่างคล่องแคล่ว
ยามที่พวกเขาก้าวเข้าสู่หุบเขาอาบโลหิต คนทั้งสี่ก็มักจะเผชิญกับการจู่โจมจากกลุ่มผู้บ่มเพาะที่มีตาหามีแววไม่ และผู้บ่มเพาะเหล่านั้นก็มักอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา โดยมีจุดประสงค์เพียงเพื่อแค่ต้องการแย่งชิงไข่มุกปีศาจที่ผู้อื่นครอบครองเท่านั้น
และเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ต้วนมู่เจ๋อย่อมไม่อาจยืนดูอย่างเฉยเมยได้
แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะต้องการแสดงท่าทางอันสง่างามและความแข็งแกร่งของเขาต่อหน้าตู้ชิงซีเท่านั้น ทำให้ศัตรูทั้งหมดมักถูกเขาจัดการ โดยไม่ยินยอมให้เฉินซีและคนอื่น ๆ ได้มีโอกาสเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ เขาคนเดียวเข้าต่อสู้โดยอาศัยเคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับสูง นั่นคือวิชากระบี่ดาวไถที่สืบทอดมาในตระกูลต้วนมู่ และศัสตราวิเศษอย่างกระบี่สายรุ้งเจ็ดดาราที่เขาครอบครองอยู่ ทำให้กำจัดศัตรูทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
สำหรับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัว กลุ่มของพวกเขายังไม่เคยพบเจอเลยแม้แต่ผู้เดียว จึงนับได้ว่าโชคดียิ่งนัก
นายน้อยต้วนมู่รู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่รวบรวมทรัพย์สมบัติจากซากศพของศัตรู ดังนั้นเขาจึงมอบหน้าที่เก็บกวาดผลลัพธ์จากการต่อสู้ให้แก่เฉินซี เมื่อนึกถึงคุณค่าของไข่มุกปีศาจที่เปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณอเวจีอันชั่วร้ายภายใน เฉินซีหาได้มีเหตุผลใดที่จะต้องปฏิเสธ และหลังจากประสบกับมันสองสามครั้ง ทักษะการรวบรวมทรัพย์สมบัติของเขาก็ยิ่งมีความชำนาญมากขึ้น…
“หุบเขาแห่งนี้มีชื่อว่าอาบโลหิต มันมีเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่หลังหุบเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราพอจะไปพักพิงได้ และเราต้องรีบไปยังที่แห่งนั้น มิฉะนั้น เมื่อเข้าสู่ยามค่ำคืน ฝูงอสูรปีศาจที่ซ่อนเร้นอยู่ในเงามืดจะออกมาอาละวาดทั่วทุกพื้นที่ของบริเวณนี้ และแม้ว่าการบ่มเพาะของเราจะสูงส่งสักเพียงใด แต่เราก็ยังคงตกอยู่ในวงล้อมของอสูรปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ดี” ตู้ชิงซีดูแผนที่หยกในมือ และเมื่อนางเห็นเฉินซีเก็บกวาดโดยรอบเสร็จสิ้นแล้วก็ไม่รีรออีก และรีบก้าวเดินไปยังส่วนลึกของหุบเขาในทันใด
“ในที่แห่งนี้มีเมืองตั้งอยู่หรือไม่?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถามระหว่างทาง
“ย่อมมี ตั้งแต่ดินแดนรกร้างใต้พิภพปรากฏขึ้นก็มีประวัติศาสตร์มาเกือบหนึ่งหมื่นปี เพื่อประโยชน์ในการข้ามผ่านค่ำคืนอันน่าสะพรึงกลัวในหุบเขาโลหิต ผู้บ่มเพาะจำนวนมากได้รวมตัวกันเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เพื่อสร้างค่ายพักแรมสำหรับป้องกันจำนวนมาก หลังจากผ่านการปรับปรุง เสริมสร้าง และการขยายตัวออกไปจากผู้บ่มเพาะในรุ่นต่อ ๆ มา เมืองในปัจจุบันก็ก่อได้ตัวขึ้น”
“เช่นนี้เอง” เฉินซีพยักหน้ารับ ปราณแท้ย่อมถูกใช้กับการล่าเหล่าอสูรปีศาจร้าย และปราณวิญญาณภายในดินแดนรกร้างใต้พิภพก็เหือดแห้งไปนานแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงลมปราณอันชั่วร้ายที่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า อีกทั้งการเติมเต็มปราณแท้จะต้องพึ่งพาศิลาวิญญาณและยารักษาโรคเท่านั้น ซ้ำยังต้องการสภาพแวดล้อมและสถานที่ปลอดภัยในการดูดซับปราณวิญญาณเพื่อฟื้นฟู การคงอยู่ของเมืองนับว่าสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
การเดินทางต่อจากนี้ดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ กลุ่มของเฉินซีเดินผ่านหุบเขาที่ยาวราวสองร้อยห้าสิบลี้และได้มาถึงที่ราบอันกว้างใหญ่
ระหว่างทางนี้กลุ่มของเฉินซีก็ได้พบกับผู้บ่มเพาะอีกสองสามคน แต่ก่อนที่จะปะทะกับพวกเขา พวกมันกลับเลือกที่จะทิ้งระยะห่างเพื่อหลีกเลี่ยงกลุ่มของเฉินซี และทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากัน ราวกับวิหคที่สะดุ้งเพียงได้ยินเสียงพาดสายของเกาทัณฑ์ ดวงตาของพวกเขาพลันตื่นตระหนกและระแวดระวังมากขึ้น
‘ผู้บ่มเพาะที่มาถึงที่นี่ได้ ย่อมผ่านประสบการณ์แย่งชิงและต่อสู้อย่างโชกโชนมาสักระยะหนึ่งแล้ว ข้าว่าความแข็งแกร่งของพวกมันคงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน และเมื่อมองไปยังทิศทางที่พวกมันกำลังมุ่งหน้าไป ก็กำลังใกล้จะเข้าสู่เมืองนั้นเช่นกัน… ผู้บ่มเพาะจำนวนมากต่างมารวมตัวกัน ข้าชักกังวลว่าการฆ่าฟันยังคงจะเกิดขึ้นอีก ใช่หรือไม่…?’ เฉินซีคิดอย่างเงียบ ๆ สิ่งนี้ช่างถ่วงรั้งจิตใจของเขา แต่ฝีเท้าของเขาไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย ภายใต้การนำของตู้ชิงซี พวกเขามุ่งหน้าขึ้นไปและเกือบหนึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาก็ได้เห็นโครงร่างของเมืองที่ปรากฏอยู่ไกลแสนไกล
ขณะที่นางจ้องมองไปยังเมืองที่ส่งกลิ่นอายความเก่าแก่และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ฝีเท้าของตู้ชิงซีก็ชะลอลงเล็กน้อย และเสียงที่เย็นชาของนางก็ลอดเข้ามาในหูของเฉินซีและคนอื่น ๆ “นี่คือเมืองแรกในหุบเขาอาบโลหิต มีนามว่าเมืองอาบโลหิต ตามการคำนวณของข้า ต้องมีผู้บ่มเพาะอย่างน้อยห้าพันคนมารวมตัวกันที่นั่น ผู้บ่มเพาะเหล่านี้มาจากต่างที่ ย่อมมีทั้งคนที่เข้มแข็งและอ่อนแอปะปนกันไป เมื่อเข้าไปเราจำต้องระมัดระวัง”
เฉินซีพยักหน้ารับเบา ๆ การต่อสู้มีอยู่ทุกที่ที่ผู้คนอยู่ เพราะทุกคนมาที่นี่เพื่อรับไข่มุกปีศาจ และเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น มันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจจะหยุดลงได้ จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตกตายไป
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่กลัวเรื่องทั้งหมดนี้ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา เขาสามารถล่าถอยได้อย่างปลอดภัย แม้จะเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะในขอบเขตขั้นตำหนักอินทนิล ไม่ต้องกล่าวถึงว่าที่แห่งนี้คือดินแดนรกร้างที่จำกัดการบ่มเพาะ และการบ่มเพาะสูงสุดนั้นอยู่ในขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตก่อกำเนิดเพียงเท่านั้น
ในเวลาไม่นาน ทั้งสี่ก็มาถึงเมืองอาบโลหิต
ที่แห่งนี้ต่างจากเมืองต่าง ๆ ในโลกภายนอกแม้ว่ามัน จะมีคำว่า ‘เมือง’ อยู่ในชื่อ แต่ขนาดของมันกลับมีขนาดเท่าหมู่บ้านเท่านั้น กำแพงหนาสูงราวสิบสามจั้ง ล้อมรอบเมืองในทุกทิศทาง และมีเพียงประตูเหล็กหนักเพียงประตูเดียวตั้งอยู่ตรงกลาง เพื่ออนุญาตให้เข้าหรือออกจากเมืองได้
ทว่ายามนี้ ประตูเมืองแออัดไปด้วยผู้คน เนื่องจากเกิดการพิพาทที่ดูเหมือนใกล้จะปะทุอยู่ข้างหน้า จึงทำให้ผู้บ่มเพาะจำนวนมากหยุดยืนดูเหตุการณ์ในที่แห่งนั้น
“หลี่ไฮว่ เจ้าต้องการจะทำสิ่งใด? ฆ่าปิดปากพวกข้าหรือ?” เสียงโกรธเกรี้ยวดังขึ้นมาจากภายในฝูงชน เฉินซีพลันตกตะลึงไปเมื่อได้ยินนามนั้น
หลี่ไฮว่? คนผู้นี้ก็มาที่เมืองอาบโลหิตเช่นกันหรือนี่…
เฉินซีเดินไปข้างหน้าเพื่อย่นระยะสายตา ทำให้เขาได้เห็นหลี่ไฮว่ผู้นั้นจริง ๆ นอกจากนี้ ในพื้นที่ตรงข้ามกับหลี่ไฮว่ เขายังเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอีกสามคนด้วย — ลู่เส้าฉง ชวี่เฉิง และต้วนอิงแห่งสำนักพฤกษ์ชาด
ยามนี้ ใบหน้าของคนทั้งสามนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ทว่าแม้จะจ้องมองไปที่หลี่ไฮว่ แต่นัยน์ตายังคงแฝงไปด้วยด้วยความหวาดกลัวอยู่
ยามที่เฉินซีได้พบกับทั้งสามคราแรก พวกเขามีเพียงการบ่มเพาะระดับขอบเขตสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์เท่านั้น ผ่านไปเพียงสามเดือน แม้ว่าพวกเขาจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเป็นคู่มือกับหลี่ไฮว่ที่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างแน่นอน
“หึ! เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าทุกคนลืมเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อนไปแล้ว? พวกเจ้าไม่เพียงแต่ทำลายเรื่องสำคัญของตระกูลหลี่ข้า แต่ยังทำให้พวกข้าต้องสูญเสียสมบัติอันล้ำค่าไป ไหนลองบอกข้าหน่อย ว่าข้าควรจะปล่อยพวกเจ้าทุกคนออกไปด้วยเหตุผลอันใด?” หลี่ไฮว่ยิ้มอย่างเย็นชา
‘ทำลายเรื่องสำคัญของตระกูลหลี่? เขากำลังกล่าวถึงเรื่องที่ข้าบังคับให้ผู้ดูแลอู๋หลบหนีจากทะเลสาบถ้ำวิญญาณ และช่วยเหล่า ‘เครื่องบรรณาการ’ ที่ตระกูลหลี่ต้องการเซ่นสังเวยใช่หรือไม่? ในเวลานั้น ข้าจัดการให้พวกลู่เส้าฉงคุ้มกันคนเหล่านั้นกลับไปที่เมืองหมอกสน เดาว่าตระกูลหลี่คงสังเกตเห็นพวกเขาเข้าหลังจากที่กลับไปในเมืองหมอกสน…’ เฉินซีรับรู้ได้ในทันที และเขาก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จากนั้นเปลวเพลิงแห่งโทสะที่ยังคงแค้นเคืองพลันบังเกิดขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้าแต่มันกลับทำให้พวกเขาเดือดร้อนแทน วิธีการของตระกูลหลี่ช่างไร้ยางอายและน่ารังเกียจเสียจริง!
“ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนไม่มีอะไรจะกล่าว…” ในขณะที่เฉินซีกำลังไตร่ตรองอยู่ หลี่ไฮว่ก็ก้าวไปข้างหน้า มือขวาของเขาจับเข้าที่กระบี่พร้อมกับที่จิตสังหารอันแหลมคมพุ่งทะยานออกมาจากร่างกายของเขา
“งั้นก็จงตายเสีย!” เมื่อสิ้นเสียง หลี่ไฮว่ก็ดึงกระบี่ของเขาตวัดไปข้างหน้า ปลายกระบี่กรีดอากาศจนเป็นเสียงแหลม คมแสงอันเย็นยะเยือกกลับกลายเป็นเงากระบี่แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า แลดูคล้ายเข็มสนสีเขียวอันมากมายที่ตัดผ่านผืนนภา ขณะที่มันพุ่งตรงไปยังกลุ่มของลู่เส้าฉง
ปราณแท้ควบแน่นกลายเป็นลำแสงกระบี่ที่บางราวกับเข็ม วิชากระบี่ของหลี่ไฮว่ได้บรรลุขั้นสูงอย่างเห็นได้ชัด เขาตวัดกระบี่เพียงเล็กน้อยทว่ากลับดูน่าเกรงขามยิ่ง ทั้งสง่าผ่าเผยและเป็นระเบียบยิ่ง นอกจากนี้มันยังปิดเส้นทางล่าถอยของกลุ่มคนทั้งสามอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มของลู่เส้าฉง ไม่คาดคิดว่าหลี่ไฮว่จะโหดร้ายและเด็ดเดี่ยวถึงขนาดลอบจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว พวกเขาได้แต่จ้องเขม็งไปที่ลำแสงของกระบี่ซึ่งปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า และเมื่อมันกำลังพุ่งตรงเข้ามา พวกเขาก็ยากที่จะหลบหลีกมันได้…
เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกข้าจะต้องตกตายเยี่ยงนี้?
ในช่วงเวลาระหว่างความเป็นและความตาย ความคิดเดียวกันกลับบังเกิดขึ้นพร้อมกันภายในจิตใจของทั้งสามคน