บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 44 กระบี่ที่แตกหัก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 44 กระบี่ที่แตกหัก

บทที่ 44 กระบี่ที่แตกหัก

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ทันทีที่พูดจบ หลี่ไฮว่กระโดดอย่างต่อเนื่องสามครั้ง จนเกิดเป็นภาพติดตามากมาย นี่คือความเร็วระดับที่สายตาไม่อาจจับได้ทัน

ช่างว่องไวยิ่งนัก!

หลี่ไฮว่เป็นเหมือนผีในขณะที่เขาเคลื่อนไปมาไร้รูปแบบ ปราณกระบี่ปกคลุมทั่วร่างกายของเขาหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ทว่ายิ่งหนาแน่นปราณกระบี่เหล่านี้ยิ่งดูไม่เสถียรคล้ายกับเป็นลูกศรคมจำนวนมากที่สะสมกำลังง้างขึ้นสายรอจะถูกยิงออก!

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ร่างของหลี่ไฮว่ถูกปกคลุมด้วยปราณกระบี่เป็นชั้น ๆ ขณะที่เขาเคลื่อนไหวโดยใช้วิชา ‘ย่างลักษณ์วายุลวงตา’ เขาประหนึ่งเป็นเม่นที่ปกคลุมไปด้วยหนามแหลมจากปราณกระบี่จำนวนมากที่ส่องประกายด้วยแสงอันเยือกเย็นรุนแรง

เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเขาเร็วเกินไป เมื่อเขาเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ ตัวของเฉินซีจึงทำให้ปราณกระบี่ของเขาเข้าใกล้ชายหนุ่มจากทุกทิศทาง โดยมุ่งเป้าไปที่คอ ตา หัวใจ ท้อง แผ่นหลัง และด้านหลังศีรษะของเฉินซี

‘ต้องการเอาชนะข้าด้วยทักษะการเคลื่อนไหวของเจ้า?’

แสงจ้าปรากฏออกจากดวงตาที่เฉยเมยของเฉินซี จากนั้นร่างของชายหนุ่มก็พุ่งทะยานเข้าหาหลี่ไฮว่ด้วยย่างก้าวที่แปลกพิสดารล้ำลึกไม่อาจจำทางได้

“เผชิญกับการโจมตีรอบทิศไร้ช่องโหว่เช่นนี้กลับไม่ตั้งรับแต่พุ่งเข้าหา เป็นไปได้ไหมว่าเฉินซีตัวซวยกำลังปรารถนาที่จะตาย?” ใครบางคนในฝูงชนอดไม่ได้ที่จะอุทานเสียงดัง

ทว่าทันทีที่คนผู้นั้นพูดจบ ผู้ชมทั้งหลายต่างสังเกตเห็นว่าขณะที่เฉินซีพุ่งไปข้างหน้า ท่วงท่าของเขาดูแปลกประหลาดและน่าหวาดเสียว ทว่าชายหนุ่มกลับสามารถหลบปราณกระบี่ที่รุมล้อมตัวเขาได้ทั้งหมด ราวกับปลาไหลที่สามารถเล็ดลอดผ่านช่องว่างที่เล็กที่สุดไปได้ แม้ว่าจะมีบางส่วนของเสื้อผ้าที่ถูกปราณกระบี่เฉือนออกไป แต่ร่างกายกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เฉินซีรอดพ้นจากคมปราณกระบี่อย่างสมบูรณ์!

“นี่คือ… แปดก้าวมังกรสวรรค์?” ต้วนมู่เจ๋ออุทานด้วยความตกใจ และเมื่อเขาเปล่งเสียงคำพูดออกไป ตนเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอับอายในทันที ‘วันนี้ข้าเป็นบ้าอะไร? ข้าสูญเสียความสงบอยู่ตลอดเวลา ข้าแทบจะเหมือนคนโง่เง่าที่ไม่เคยเห็นโลก…’

ต้วนมู่เจ๋อจะไม่สูญเสียความสงบของเขาเช่นนี้หากเคล็ดวิชาที่เฉินซีใช้ออกมานั้นคือเคล็ดวิชาระดับสูง แต่ขณะนี้ทุกเคล็ดวิชาที่ชายหนุ่มใช้นั้นล้วนเป็นเพียงแค่เคล็ดวิชาธรรมดาที่สามารถซื้อได้ดาษดื่นในท้องตลาด!

แต่หลังจากที่พวกมันถูกใช้โดยเฉินซี ไม่เพียงแต่รูปแบบและแก่นแท้ของวิชาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทว่าอำนาจที่สำแดงออกมานั้นกลับเหนือชั้นซึ่งดูไม่ได้ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับสูงของนิกายใหญ่ ๆ เลย ด้วยเหตุนี้ ต้วนมู่เจ๋อจึงไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงและสูญเสียความสงบโดยสิ้นเชิง

ตู้ชิงซีก็สับสนเช่นกัน แต่นางยังคงสามารถรักษาความสงบไว้ได้เพราะนางรู้ว่าซ่งหลินที่อยู่ด้านข้างจะต้องให้คำตอบที่น่าพอใจแก่นางได้อย่างแน่นอน

ตามที่คาดไว้ หลังจากที่เห็นแปดก้าวมังกรสวรรค์ซึ่งเฉินซีกำลังใช้ออก ดวงตาของซ่งหลินพลันสว่างขึ้นพลางเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “แน่นอนว่านี่คือเคล็ดวิชาแปดก้าวมังกรสวรรค์ที่ถูกปรับปรุงโดยผู้เลิศล้ำ! เฉินซีจะต้องมีผู้หนุนหลังเป็นแน่แท้ มิเช่นนั้นเขาไม่มีทางมีเคล็ดวิชาเช่นนี้อยู่ในครอบครอง!”

แคว่ก!

เสื้อผ้าบนร่างกายของเฉินซีถูกเฉือนฉีกออกอีกครั้ง แต่สีหน้าของชายหนุ่มยังคงไม่สะทกสะท้านขณะที่เขายังคงก้าวย่างตามเคล็ดวิชาแปดก้าวมังกรสวรรค์เอาชนะย่างลักษณ์วายุลวงตาของหลี่ไฮว่

‘ทักษะการเคลื่อนไหวของไอ้สารเลวผู้นี้ก็น่าเกรงขามเช่นกัน!?’

ในใจของหลี่ไฮว่ตกตะลึงอีกครั้ง จากนั้นเขาลอบกัดฟันและปลดปล่อยปราณกระบี่ให้หนาแน่นยิ่งขึ้น เหมือนกับห่าฝนที่ปกคลุมเฉินซีอย่างไม่หยุดยั้ง

วูบ! วูบ! วูบ!

เฉินซีรู้สึกกดดันมากขึ้นทันทีเมื่อต้องเผชิญกับปราณกระบี่ที่บ้าคลั่งกว่าเดิมของหลี่ไฮว่ และท้ายที่สุดเมื่อไม่สามารถหลบได้ กระบี่อัสนีครามในมือขวาของเขาคล้ายกับมีตา มันแทง ฟัน สะบัด สับ กวาด… บดขยี้ปราณกระบี่ที่เข้าใกล้อย่างแม่นยำ

สามสิบก้าว!

ยี่สิบก้าว!

สิบก้าว!

เหล่าผู้ชมที่มองดูตาไม่กะพริบอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นในทุกย่างก้าวที่เฉินซีเริ่มเข้าประชิดหลี่ไฮว่ พร้อมกับความตกตะลึงของพวกเขาที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น แววตาของพวกเขาที่มองไปยังเฉินซีค่อย ๆ แฝงไปด้วยความเคารพและความชื่นชม

มันคล้ายกับการกระทำของคนโง่เขลาเบาปัญญาที่พุ่งเข้าหาปราณกระบี่อันตรายจำนวนนับไม่ถ้วนตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่มันย่อมมีวิธีการอีกมากมายที่จะหลบหลีกการโจมตีนี้โดยไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย ทว่าเมื่อการกระทำที่ดูโง่เง่านี้ทำให้เฉินซีเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ มันกลับทำให้ท่าทางของชายหนุ่มดูงามสง่าและกล้าหาญจนผู้คนต้องชื่นชม

“หลี่ไฮว่กำลังตกอยู่ในอันตราย อยากให้ข้าช่วยหรือไม่?” ฉางปินขมวดคิ้วและถาม

“ไม่ มันยังไม่ถึงเวลา” ซูเจียวกัดริมฝีปากขณะที่นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แม้ว่านางจะพูดแบบนี้ แต่สายตาของนางยามมองไปที่หลี่ไฮว่กลับเผยให้เห็นถึงความผิดหวังและหงุดหงิดใจ

การหลบหลีกและต้านรับปราณกระบี่ทั้งหลายนั้นน่ากลัวหวาดเสียวอย่างยิ่ง แต่ฝีเท้าของเฉินซียังคงมั่นคง เขาคล้ายกับเป็นเซียนผู้ไร้เทียมทานที่ฟาดฟันกระบี่ไปข้างหน้า ใบหน้าไม่แยแสต่อความเป็นตายแม้แต่น้อย

‘สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร? ไอ้สารเลวตัวนี้เป็นเพียงขยะจากตระกูลที่ล่มสลาย มันรู้เพียงวิธีสร้างยันต์พื้นฐานเท่านั้นไม่ใช่หรือ? เหตุใดมันจึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้?’

จิตใจของหลี่ไฮว่เริ่มปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ เขามองเฉินซีที่ก้าวเข้าใกล้อย่างไม่หยุดยั้งด้วยแววตาวิตกกังวล แม้ว่าผลแพ้ชนะจะยังไม่ได้ตัดสิน แต่สถานการณ์ตอนนี้มันเกินความคาดหมายของชายหนุ่มโดยสิ้นเชิงแล้ว

‘ไอ้ขยะผู้นี้สามารถต่อสู้อันยืดเยื้อกับข้าได้อย่างไรกัน!?’

‘แล้วแบบนี้คุณหนูซูจะคิดเช่นไรกับข้า? แล้วทุกคนในที่นี้จะคิดอย่างไรกับข้า?’

‘แดนรกร้างใต้พิภพระยำนัก! เหตุใดจึงต้องตรึงการบ่มเพาะของข้าด้วย? หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ข้าคงฆ่าไอ้ขยะนี่ไปนานแล้ว!’

ความรู้สึกชั่ววูบผุดขึ้นในอกของเขาทันที และหลี่ไฮว่ก็เกือบจะเป็นบ้าด้วยความคับแค้นใจ

อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นความรู้สึกอันตรายร้ายแรงได้พุ่งเข้ามาในหัวใจของเขา เขารู้สึกหนาววาบไปถึงกระดูกสันหลัง ทว่าเมื่อได้สติหลี่ไฮว่ก็พบว่าขณะนี้ปลายกระบี่คมพุ่งแทงมาถึงตรงหน้าของเขาแล้วพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตาย!

ไม่!!

หลี่ไฮว่ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเสียสติและพร้อมกันนั้นเขาก็รีบดีดตัวถอยหนีอย่างสุดกำลังเท่าที่มี!

อย่างไรก็ตามเขายังก้าวช้าเกินไป

กระบี่อัสนีครามในมือของเฉินซีเป็นดั่งอสรพิษร้ายในทันทีที่หลี่ไฮว่ถอยกลับ มันพุ่งแทงไปที่ตรงกลางหน้าอกของเขา!

ปัง!

ทว่าทันทีที่ปลายกระบี่กระทบหน้าอกของหลี่ไฮว่ มันกลับคล้ายว่าแทงเข้ายังแผ่นเหล็กและเปล่งเสียงโลหะชัดเจน

เกราะระดับล้ำลึก?

เฉินซีตกตะลึงไปเล็กน้อย

ทันใดนั้นหลี่ไฮว่ก็ฟันกระบี่สนกระเพื่อมในมือสวนกลับอย่างสุดแรง ส่งผลให้กระบี่อัสนีครามในมือของเฉินซีก็ถูกตัดออกเป็นสองส่วนในทันที!

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการโจมตีด้วยกระบี่ของเฉินซีจะไม่ได้ทำให้หลี่ไฮว่ได้รับบาดเจ็บ แต่แรงปะทะอันมหาศาลทำให้หลี่ไฮว่กระเด็นถอยไปไกลกว่าสิบจั้งก่อนจะกลิ้งล้มลงกับพื้นด้วยสภาพที่น่าสังเวช

เหตุการณ์พลิกผันนี้เกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา

แม้ว่ากระบวนการนี้จะสั้น แต่เหตุการณ์ที่พลิกผันอันน่าทึ่งนี้ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงจนเกือบจะลืมหายใจ

เพล้ง!

กระบี่หักส่งเสียงดังชัดเจนเมื่อมันตกลงสู่พื้น และตอนนี้ทุกคนก็ได้สติราวกับตื่นจากความฝัน ทว่าสีหน้าของพวกเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความตกใจ

หากหลี่ไฮว่ไม่ได้สวมชุดเกราะชั้นใน เขาคงไม่ตายด้วยกระบี่เฉินซีไปแล้วหรอกหรือ?

“แข็งแกร่งมาก!”

“กาลกิ… ไม่สิ เฉินซีนั้นแข็งแกร่งจริง ๆ วิชากระบี่และกระบวนท่าของเขาดูเหมือนจะเหนือกว่าหลี่ไฮว่ ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ระดับนี้เหนือความคาดหมายมาก!”

ฝูงชนเริ่มคุยกันอย่างอื้ออึง มุมมองของทุกคนที่มีต่อเฉินซีเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความเคารพ ผู้บ่มเพาะที่มาจากเมืองหมอกสนได้เปลี่ยนวิธีที่พวกเขาเรียกขานเฉินซีอย่างไม่รู้ตัว

“น่าเสียดาย… กระบี่นั้นเป็นเพียงศัสตรามนุษย์ระดับสูงเท่านั้น หากเป็นศัสตราระดับล้ำลึกแล้วละก็ ต่อให้หลี่ไฮว่จะไม่ตาย อย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส!” ต้วนมู่เจ๋อส่ายหัวและถอนหายใจ

“เฉินซีทำได้เกินความคาดหมายของเราแล้ว เดิมทีข้านำเขาเข้ามาเป็นพ่อครัววิญญาณเท่านั้น ไม่คาดคิดเลยว่าแท้จริงเขาจะมีพลังการต่อสู้ถึงเพียงนี้ทั้ง ๆ ที่อยู่เพียงขอบเขตก่อกำเนิด ต่อให้เป็นคนรุ่นเยาว์ของเมืองทะเลสาบมังกร ความแข็งแกร่งระดับนี้ถือได้ว่าโดดเด่นเช่นกัน”

ตู้ชิงซียกย่องพลางถอนหายใจ จากนั้นคิ้วของนางขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ถ้าเฉินซีมีเพียงกระบี่เล่มเดียว หลังจากนี้เขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย…”

ซ่งหลินไม่พูดอะไรแต่จ้องมองไปที่เฉินซีด้วยแววตาเป็นประกายเจือคาดหวัง

“ความแข็งแกร่งของเจ้าเกินความคาดหมายของข้าจริง ๆ แต่ถ้าที่นี่คือโลกภายนอก เจ้าไม่มีทางทำอะไรข้าได้แม้แต่น้อย!” หลี่ไฮว่กล่าวอย่างเย็นชา

มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หากอยู่ภายนอกหลี่ไฮว่จะสามารถใช้ระดับการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลของเขาเพื่อบินขึ้นไปบนท้องฟ้าโจมตีเฉินซีได้อย่างอิสระโดยที่ตัวของเขาไม่ต้องเสี่ยงเลย

“ทว่าถึงแม้จะอยู่ที่นี่แต่เจ้าก็ยังไม่คู่ควรกับข้า เพราะ… ปราณแท้ในร่างของข้ามีมากกว่าเจ้า รวมไปถึงศัสตราและสมบัติทั้งหลายที่ข้ามีทั้งหมดนั้นมันทำให้เจ้าไม่อาจเทียบกับข้าได้แม้แต่ปลายก้อย!”

หลี่ไฮว่เหลือบมองกระบี่ที่หักในมือของเฉินซี ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก “กระบี่เล่มนี้น่าจะเป็นอาวุธเดียวของเจ้าใช่หรือไม่? ตอนนี้มันถูกทำลายไปแล้ว เจ้าจะใช้ทักษะกระบี่อย่างไรได้อีก?”

ผู้รับชมทั้งหลายที่กำลังพูดคุยกันต่างปิดปากเงียบเมื่อได้ยินประโยคนี้

ใช่แล้ว… การต่อสู้นั้นไม่เพียงแต่เป็นการวัดความแข็งแกร่งของการบ่มเพาะเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเคล็ดวิชา อาวุธ ความกล้าหาญ กลยุทธ์ และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

เฉินซีที่ยากจนมาโดยตลอดจะสามารถต่อกรกับหลี่ไฮว่ในแง่ของอาวุธและสมบัติตัวช่วยต่าง ๆ ได้อย่างไร?

เคร้ง!

เฉินซีโยนกระบี่ที่หักทิ้งไปโดยไม่ยี่หระ จากนั้นจ้องมองหลี่ไฮว่ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งอย่างเฉยเมยและพูดช้า ๆ ว่า “เพียงหมัดข้าคู่นี้ก็เพียงพอที่จะฆ่าเจ้าได้แล้ว!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท