บทที่ 48 เหตุไม่คาดฝัน
บทที่ 48 เหตุไม่คาดฝัน
แนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาดครอบครองพื้นที่ถึงสองพันห้าร้อยลี้ แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่า แท้จริงแล้วที่แห่งนี้จะมโหฬารกว่าที่คิด?
ขณะที่พวกเขารีบพุ่งทะยานเข้าไปในแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด เฉินซีก็นึกถึงสิ่งที่จี้อวี๋เคยกล่าวก่อนหน้านี้ และอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความแปลกใจ
ก่อนหน้านี้ที่เชิงเขา เหตุผลที่เฉินซีเหม่อลอยเป็นเพราะเขากำลังสื่อสารทางจิตกับจี้อวี๋ ตามข้อสรุปของกิเลนเฒ่า แนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาดที่อยู่เบื้องหน้านั้นเป็นค่ายกลอันน่าสะพรึงกลัว ที่รวบรวมพลังปราณแห่งฟ้าดินเข้าด้วยกัน และมีเพียงปรมาจารย์แห่งการสร้างยันต์อักขระเท่านั้น ที่พอจะสร้างค่ายกลเยี่ยงนี้ได้!
ความรอบรู้ของเฉินซีในเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นนับว่าไม่เลว ถึงตัวเขาจะสร้างยันต์อักขระได้ไม่กี่แบบ แต่เขาสามารถสร้างยันต์พื้นฐานได้เพียงระดับที่หนึ่งเท่านั้น อันที่จริง การสร้างยันต์ของเฉินซีบรรลุมาตรฐานเหนือปรมาจารย์ยันต์อักขระระดับที่เก้า และสามารถถือตัวเองได้ว่าเป็นยอดปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระแล้ว
ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระแบ่งออกเป็นสามระดับ ได้แก่ ระดับสูง ระดับกลาง และระดับต่ำ เหนือชั้นกว่านั้นคือปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ และผู้ที่สามารถสร้างชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระได้จะถูกเรียกว่าเป็นเซียนค่ายกลยันต์อักขระ!
นอกจากนี้ บุคคลที่สามารถกลายเป็นเซียนค่ายกลยันต์อักขระได้ ย่อมบรรลุเต๋าแห่งค่ายกลในระดับที่ไม่อาจคาดถึงอย่างแน่นอน ภายในโลกแห่งการบ่มเพาะ มีเพียงเหล่าเซียนที่บรรลุขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นที่สามารถบรรลุระดับนี้ในวิถีเต๋าแห่งค่ายกลได้
ยิ่งกว่านั้น วิถีเต๋าแห่งค่ายกลนั้นเป็นสิ่งที่คลุมเครือและลึกซึ้งที่สุดในบรรดาเต๋าทั้งมวล เนื่องจากต้องใช้เวลาศึกษาอย่างมหาศาล เว้นเสียแต่ว่าผู้บ่มเพาะบางคนที่มีพรสวรรค์ที่ท้าทายสวรรค์ตั้งแต่กำเนิด มิฉะนั้น ก็เป็นเรื่องยากยิ่งนักที่ผู้ใดจะก้าวไปยังปลายทางของวิถีนี้
ดังนั้น จะสามารถเห็นได้ว่าการดำรงอยู่ของปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสุดยอดนั้น ช่างน่าสะพรึงกลัวเพียงใด!
“ค่ายกลนี้น่าจะถูกหยุดใช้งานไปนานแล้ว เนื่องจากไม่มีผู้ใดดูแลรักษามันมานานหลายปี มิฉะนั้น พลังปราณชั่วร้ายที่กักเก็บรวบรวมเอาไว้จะไม่มีทางรั่วไหลออกมาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับท้องทะเลอสูรอันไร้ขอบเขตที่เจ้าเห็นมาทั้งหมดนี้ มันอาจเกิดขึ้นหลังจากพลังปราณที่รั่วไหลออกมาจากค่ายกลเป็นเวลาเนิ่นนาน”
เสียงของจี้อวี๋เอ่ยออกมาอย่างไม่เร่งรีบภายในจิตใจของเฉินซีอีกครั้ง “เจ้าหนู เจ้าไม่ต้องการรวบรวมปราณวิญญาณชั่วร้ายนี้หรือ? เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปที่แกนกลางของค่ายกลนี้และลองค้นหาดูเล่า? ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะค้นพบสมบัติบางอย่างที่ใช้สร้างค่ายกลก็ได้”
“สมบัติในการกักเก็บพลังปราณชั่วร้าย?”
“แน่นอนว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างค่ายกลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ โดยปราศจากสมบัติอันทรงพลังซึ่งเป็นรากฐานของค่ายกล ยิ่งกว่านั้น เป็นเพราะการมีอยู่ของสมบัติเหล่านี้ ถึงสามารถทำให้บรรดาอสูรปีศาจมากมายนับไม่ถ้วน สร้างความเสียหายอยู่ทุกหนทุกแห่งภายในดินแดนรกร้างใต้พิภพได้”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทุกสิ่งตรงตามที่จี้อวี๋กล่าว อสูรปีศาจก่อตัวขึ้นจากปราณชั่วร้าย หากไม่มีปราณชั่วร้ายคอยค้ำจุนพวกมันไว้ อสูรปีศาจเหล่านั้นคงถูกล้างบางไปเนิ่นนานแล้ว พวกมันจะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนตอนนี้ได้อย่างไร?
ข้าควรไปสำรวจรากฐานของค่ายกลหรือไม่?
เฉินซีใจสั่นด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำอธิบายของจี้อวี๋ แต่เมื่อเขาคิดว่าตัวเองยังคงต้องติดตามกลุ่มของตู้ชิงซี และยังต้องมุ่งหน้าไปยังที่พำนักของเซียนกระบี่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะลังเลเล็กน้อย
“เฉินซี? เจ้ากำลังทำสิ่งใด!?” เสียงตะโกนดังลั่นข้างหูของเขา
ในขณะนี้ กลุ่มของพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเชิงผาที่สูงชันและมีกระแสลมแรงอยู่ภายในแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาที่เย็นยะเยียบและอีกด้านหนึ่งเป็นเหวลึกที่ไร้ก้นบึ้ง
ลมภูเขาพัดผ่านราวกับจะพัดพวกเขาออกไป และใต้หุบเหวก็มีหมอกสีแดงเข้มม้วนตัวไม่หยุดหย่อน อสูรปีศาจกระหายเลือดจำนวนมากดูเหมือนจะอยู่แต่ในหุบเหวที่ไร้ก้นบึ้ง เสียงคำรามของอสูรปีศาจที่แหลมสูงและน่าสะพรึงกลัวมักจะดังก้องกังวานออกมา ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูกสันหลัง
เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของพวกเขาถูกจำกัดไว้ ตู้ชิงซีและผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคนอื่น ๆ จึงไม่อาจเหาะเหินได้ และด้วยเหตุนี้ ขณะที่พวกเขากำลังเดินบนหน้าผาอันสูงชันนี้ คนทั้งหมดจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพวกเขากลัวอย่างยิ่งว่าจะเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น
ยามนี้เฉินซีถูกจัดให้เดินนำหน้ากลุ่มแทน นี่คือการจัดแจงของไฉ่เล่อเทียน และจุดประสงค์ก็ชัดเจนยิ่ง นั่นคือหากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นข้างหน้า เขาจะเป็นคนแรกที่แบกรับความรุนแรงของมัน ไม่สำคัญว่าชายหนุ่มจะเสียชีวิตหรือไม่ สิ่งสำคัญคือเขาสามารถซื้อเวลาให้กับคนด้านหลังได้
เฉินซีหันศีรษะกลับมาและเห็นไฉ่เล่อเทียนจ้องมองเขาอย่างเย็นชา แววตาเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง เจ้าคนนี้ต้องการหาเรื่องกับข้าอีกแล้วหรือ?
ไม่ใช่ความผิดของเฉินซีที่ทำให้เขาคาดเดาเช่นนี้ เพราะนับตั้งแต่วันที่พวกเขาเดินทางออกจากเมืองอาบโลหิต การแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างศัตรูความรัก ต้วนมู่เจ๋อและไฉ่เล่อเทียน ในฐานะผู้นำ ไฉ่เล่อเทียนได้ออกคำสั่งกับต้วนมู่เจ๋อทุกครั้งที่มีโอกาส ราวกับว่าต้วนมู่เจ๋อเป็นข้ารับใช้ นายน้อยตระกูลต้วนมู่รู้สึกเกลียดชังการกระทำเยี่ยงนี้ยิ่งนัก และมักจะต่อต้านอีกฝ่ายทุกครั้ง ตราบใดที่มันเป็นคำสั่งของไฉ่เล่อเทียน เขาจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของมัน นอกจากนี้ เขายังลากเฉินซีเข้ามาเป็นปฏิปักษ์ต่อไฉ่เล่อเทียน ด้วยเหตุนี้เองจึงยิ่งทำให้เขาโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
และเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ไฉ่เล่อเทียนไม่เพียงโกรธเคืองต้วนมู่เจ๋อ แต่ยังพาลเกลียด ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ ซึ่งก็คือเฉินซีไปด้วย ระหว่างทาง เขามักจะตำหนิเฉินซีตลอดเวลาทั้งที่ดูเหมือนไม่ได้มีสิ่งใด ราวกับว่าหากเขาไม่ได้ทำเยี่ยงนั้น มันจะไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ตัวตนของเขาในฐานะผู้นำกลุ่ม
แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอก็ยังต้องอารมณ์ขึ้น และไม่ว่าความอดทนของเฉินซีจะดีสักแค่ไหน เขาก็ไม่อาจระงับความรู้สึกขยะแขยงและเกลียดชังที่มีต่อศิษย์ของพระราชวังข่ายดาราผู้นี้ได้
“เฉินซี มีอะไรผิดปกติหรือ? มีคนจับผิดเจ้าหรือเปล่า” ต้วนมู่เจ๋อตะโกนออกมาจากด้านหลัง ในฐานะพี่ชายที่ดีที่ทำหน้าที่ร่วมกัน เขาต้องแสดงความไม่พอใจ เมื่อเห็นไฉ่เล่อเทียนกำลังสร้างปัญหาให้แก่เฉินซี
“ข้าจับผิดเขาอย่างนั้นหรือ?” ไฉ่เล่อเทียนหัวเราะเยาะแล้วกล่าวว่า “พวกเราเหลือเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น หากเราไม่สามารถออกจากแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาดได้ทันเวลา พวกเราจะพลาดโอกาสที่จะเข้าไปในที่พำนักของเซียนกระบี่ และมันย่อมกลายเป็นโอกาสแก่กลุ่มของซูเจียว เจ้ายินดีที่จะเห็นผลลัพธ์เยี่ยงนี้หรือ?”
“แล้วสิ่งที่เจ้าปฏิบัติกับเฉินซีคืออันใดกัน?” ต้วนมู่เจ๋อถามอย่างมีวาทศิลป์
ตู้ชิงซีที่อยู่ใกล้เคียงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ระหว่างการเดินทางมาที่นี่ นางสังเกตเห็นการกระทบกระทั่งอย่างลับ ๆ ระหว่างต้วนมู่เจ๋อและไฉ่เล่อเทียน แต่ในฐานะผู้ที่เกี่ยวข้อง มันไม่เหมาะนักที่นางจะเข้าไปยุ่งและห้ามการต่อสู้ระหว่างทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เมื่อนางเห็นไฉ่เล่อเทียนมุ่งเป้าไปที่เฉินซีโดยไม่มีเหตุผลอันใด ก็ทำให้นางไม่อาจยับยั้งตัวเองไม่ให้โมโหได้
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าทุกคนไม่ได้สังเกตเห็น ตั้งแต่เฉินซีเป็นผู้นำกลุ่ม ความเร็วของพวกเราก็ลดลงมาก? เห็นได้ชัดว่าเจ้าคนนี้จงใจชะลอฝีเท้าของพวกเรา!”
ไฉ่เล่อเทียนกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าถึงกับสงสัยว่าตอนนี้เขาอาจจะเป็นสายลับที่ถูกส่งมาจากฝั่งของซูเจียว จงใจชะลอฝีเท้าของพวกเรา เพื่อที่จะรั้งพวกเราไว้และทำให้พลาดโอกาสที่จะเข้าไปในที่พำนักของเซียนกระบี่!”
ข้าจงใจทำให้ล่าช้า?
และยังเป็นสายลับด้วย?
ดั่งคำที่กล่าวไว้ ‘หากเจ้าต้องการกล่าวหาใครสักคน เจ้าจะไม่พบความยากลำบากในการหาข้ออ้าง!’
เฉินซีตกตะลึงโดยพลัน และความเกลียดชังของเขาที่มีต่อพฤติกรรมของไฉ่เล่อเทียนก็มาถึงขีดสุดแล้ว!
“ฮ่า ๆ! เจ้าบอกว่าเฉินซีเป็นสายลับจากฝ่ายของซูเจียว? เจ้ารู้ไหมว่าเฉินซีมีความสัมพันธ์แบบใดกับซูเจียว? ช่างไร้สาระเสียจริง!” เมื่อเขาได้ยินคำอธิบายนี้ ต้วนมู่เจ๋อที่คอยเป็นห่วงเป็นใยมาโดยตลอด ก็อดไม่ได้ที่จะสบถ
“คนที่ขอให้เฉินซีเป็นผู้นำก็คือเจ้า คนที่บอกว่าเฉินซีจงใจชะลอกลุ่มก็คือเจ้าเช่นกัน ศิษย์พี่ไฉ่ ท่านมีปัญหาอันใดกันแน่?” น้ำเสียงของตู้ชิงซีนั้นแสนเย็นชาและมิได้ปกปิดความไม่พอใจเลยสักนิด
“โอ้ กำลังหาเรื่องกับเฉินซีอีกแล้วหรือ? การกระทำของท่านนับว่าน่าชื่นชมโดยแท้” ซ่งหลินลืมตาที่ง่วงซึมขึ้น เผยประกายแสงอันเยือกเย็นในรูม่านตาของเขา
“พวกเจ้าไม่ควรกล่าวเยี่ยงนี้ ศิษย์พี่ไฉ่เพียงคิดเผื่อทุกคนเท่านั้น เพราะเป้าหมายของพวกเราคือที่พำนักของเซียนกระบี่ หากผู้อื่นไปถึงก่อน ข้าเกรงว่ามันจะไม่เป็นการดีสำหรับพวกเราใช่หรือไม่”
“ฮึ่ม! ข้าและพี่ชายสนับสนุนศิษย์พี่ไฉ่ จากที่เฝ้าสังเกตมา เจ้าเด็กคนนี้จงใจทำให้ล่าช้าอย่างเห็นได้ชัด!”
“ใช่ พี่ใหญ่ของข้ากล่าวถูกต้องแล้ว”
“ทุกคนหยุดทะเลาะกัน อันที่จริงศิษย์พี่ไฉ่เพียงทำเพื่อพวกเราเท่านั้น”
อวี้ฮ่าวไป๋ผู้มาจากสำนักเมฆาอนันต์ ตู้เฉวี่ยนกับตู้ขุยจากสำนักทะยานสายลม และมู่หลงเว่ยจากสำนักพฤกษาครามต่างเอนเอียงไปทางฝั่งไฉ่เล่อเทียน อีกทั้งยังสนับสนุนเขาด้วย
ไฉ่เล่อเทียนไม่คาดคิดว่า การตำหนิเฉินซีจะทำให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะลอบขบคิดในใจว่า เจ้าเด็กคนนี้คือเฉินซี ที่เป็นเพียงทายาทผู้ต่ำต้อยจากตระกูลที่ล่มสลายไม่ใช่หรือ? เหตุใดกลุ่มของตู้ชิงซีจึงออกตัวปกป้องเขากัน?
ข้าควรทำเยี่ยงไรดี?
หากข้าประนีประนอม ไม่ได้หมายความว่าข้ายอมรับว่าข้ากำลังหาเรื่องเฉินซีอยู่หรอกหรือ?
ยิ่งไม่ควรทำ!
ข้าไม่อาจประนีประนอมได้ ตลอดทางที่ผ่านมาเจ้าเด็กคนนี้ได้ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้าร่วมกับต้วนมู่เจ๋อทุกประการ ข้าควรใช้โอกาสนี้กำจัดเจ้าเด็กคนนี้ให้สิ้นซากเสียดีกว่า และไม่ว่ากรณีใด ๆ ข้าก็จะไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดรอดไป!
ขณะที่เขาคิดถึงจุดนี้ ไฉ่เล่อเทียนก็ถูแผลเป็นที่แก้มซ้ายของเขา เพียงชั่วพริบตา แววตาของเขาก็เผยประกายแห่งจิตสังหาร จากนั้นมือขวาก็เหยียดออกราวกับอสนีบาตคว้าไปจับเสื้อของเฉินซีไว้จากด้านหลังทันที ก่อนจะเหวี่ยงแขนของเขาออกไป และโยนชายหนุ่มเข้าไปในหุบเหวที่อยู่ด้านข้าง!
เฉินซีไม่คาดฝันเลยว่าไฉ่เล่อเทียนจะกระทำเยี่ยงนี้ เมื่อเขาตอบสนอง มันก็สายเกินไปแล้ว ร่างทั้งร่างถูกโยนออกไปในหุบเหว ยามนั้นตัวของเขาลอยละลิ่วดุจสายว่าวขาดอยู่ท่ามกลางอากาศ และไร้ที่หยั่งเท้า มิอาจกระทำสิ่งใดได้นอกจากจ้องมอง
เฉินซีไม่ได้อุทานด้วยความตกใจและไม่ได้ตะโกนออกมา เขาเพียงเม้มริมฝีปากแน่นพลางจดจ้องไปยังร่างที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ โทสะเหมือนกับหินหลอมเหลวที่แผดเผาและเดือดพล่าน ไหลไปทั่วร่างกายของเขา มันทำให้ดวงตาของเฉินซีแดงก่ำทันที และแล้วเส้นสีน้ำเงินจำนวนมากก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉินซี เผยให้เห็นความเกลียดชังที่แฝงรูปลักษณ์ดุร้ายของเขา!
‘ไฉ่-เล่อ-เทียน! ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ข้าจะกระชากวิญญาณของเจ้าออกมา และทรมานมันด้วยเปลวเพลิง จากนั้นข้าจะป่นกระดูกของเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่เพียงธุลีเดียว! จะทำให้เจ้าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกตลอดไป!’
…
ณ หน้าผาข้างหุบเหว เสียงสายลมจากภูเขายามนี้ราวกับสุรเสียงของมังกรร้องก้องคำราม
ก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบสงัด และเหลือเพียงเสียงโหยหวนของลมภูเขาอันขมขื่นดังก้องอยู่ในอากาศ
ไม่มีใครคาดคิดว่าไฉ่เล่อเทียนจะลอบทำร้ายเฉินซี และยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่กล่าวอะไรเลย ก่อนที่จะโยนเฉินซีเข้าไปในหุบเหว!
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้มาถึงอย่างรวดเร็วเกินไปและมันเกิดขึ้นในทันที ในขณะที่ผู้คนไม่ทันตอบสนอง เฉินซีก็ตกลงไปในหุบเหวที่เต็มไปด้วยหมอกสีแดงเข้มซึ่งกำลังม้วนตัวและหายลับไป
“ชาติหมานัก! มารดาเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!” ต้วนมู่เจ๋อเป็นผู้แรกที่ฟื้นขึ้นจากอาการตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็คำรามอย่างโกรธแค้น ขณะที่กระโดดออกไปเพื่อที่จะต่อสู้แลกชีวิตกับไฉ่เล่อเทียน
ซ่งหลินที่อยู่ใกล้เคียงรีบหยุดเขาไว้แล้วตะคอกอย่างดังว่า “มีสติหน่อย! หุบเหวอยู่แค่ด้านข้างพวกเรา หรือว่าเจ้าอยากจะตกลงไปอีกคน”
“ไยเจ้าทำเช่นนั้น!?” ท่าทางของตู้ชิงซีราวกับน้ำแข็ง เปลวเพลิงแห่งโทสะลุกโชนอยู่ในดวงตาที่กระจ่างใสของนาง
“ก็แค่มดปลวกตัวเดียว การตายของมันหาได้สำคัญอะไรไม่ เหตุใดถึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย” ไฉ่เล่อเทียนยิ้ม ขณะที่เขาตบ ๆ มือทำความสะอาด ราวกับว่าสิ่งที่ได้กระทำไปนั้นหาได้มีความสำคัญอันใด
“เจ้า… มันโหดเหี้ยม!” ไฉ่เล่อเทียนดูไม่แยแสแม้แต่น้อย นี่ทำให้ตู้ชิงซีโกรธจนร่างของนางสั่นเทา “หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ ข้าจะไม่ตกลงเป็นพันธมิตรกับเจ้า”
ไฉ่เล่อเทียนขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ชิงซี ข้าทนเขามาตลอดทาง เจ้าต้องการจะแตกหักกับข้าเพียงเพราะเห็นแก่มดปลวกตัวน้อยที่น่ารำคาญเยี่ยงนั้นหรือ?” สุ้มเสียงของเขาทุ้มต่ำและแฝงไปด้วยร่องรอยของการข่มขู่
ท่าทางของหญิงสาวหยุดนิ่งไปราวกับถูกแช่แข็ง ความรู้สึกที่ไร้อำนาจและความเศร้าสลดพลันไหลเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของนาง นางสามารถแตกหักกับไฉ่เล่อเทียนได้ แต่ตระกูลตู้ที่อยู่เบื้องหลังนางย่อมไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น จึงทำให้นางไม่อาจทำสิ่งใดได้
“ปล่อยข้าไป! ข้าจะฆ่าไอ้ชาติสุนัขตัวนี้!” ต้วนมู่เจ๋อยังคงตะโกนด้วยความโกรธแค้น
ซ่งหลินจับเขาไว้แน่นและตะโกนสนั่นผ่านกระแสปราณ “ข้าบอกให้มีสติหน่อยไง! เจ้าต้องการนำพาหายนะมาสู่ตระกูลต้วนมู่ของเจ้าหรือ? สำหรับไฉ่เล่อเทียนนั้นไม่มีสิ่งใดน่ากังวล แต่บรรพบุรุษที่อยู่เบื้องหลังของเขาเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา และเป็นคนที่ตระกูลของพวกเราไม่อาจแตะต้องได้อย่างแน่นอน!”
“แล้วพวกเราจะปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนี้หรือ” ต้วนมู่เจ๋อบ่นพึมพำด้วยความคับแค้นใจ
ความขมขื่นที่อธิบายไม่ได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของซ่งหลิน “พวกเราจะทำสิ่งใดได้อีก? พวกเราทำได้เพียงหวังว่าเฉินซีจะมีชีวิตรอดกลับมา อย่าลืมว่าเขาเป็นผู้ขัดเกลาร่างกายที่แข็งแกร่งด้วย แม้ว่าเขาไม่มีที่จะหยั่งเท้า แต่คงมีวิธีช่วยตัวเองให้รอดได้ อีกทั้งการตกลงไปในหุบเหวอาจไม่ถึงตาย…” เสียงของเขาต่ำลงและต่ำลงไปอีก เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนกล่าวออกมา