บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 49 ถ้ำ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 49 ถ้ำ

บทที่ 49 ถ้ำ

ตู้ม!!

เงาร่างสีดำราวกับอุกกาบาตขนาดมหึมาตกลงมา เมื่อมันกระแทกเข้ากับหินสีดำสนิทที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงก็ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น

ไม่อาจทราบว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ทันทีเฉินซีฟื้นขึ้นมาก็ประสบกับความเจ็บปวดอย่างสาหัส ความเจ็บปวดอันหาที่เปรียบมิได้ราวกับหัวใจของเขาถูกเสียดแทงด้วยกระบี่นับหมื่นเล่มและถูกฝูงมดกัดไปทั้งร่างกาย เขาค่อย ๆ ฟื้นคืนสติและลืมตาขึ้น สิ่งที่ลอดผ่านดวงตาของเขามีเพียงหมอกหนาทึบ ที่ไม่มีวี่แววว่าสลายไป ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นบริเวณโดยรอบได้อย่างชัดเจน

สิ่งเดียวที่เฉินซีสามารถยืนยันได้ก็คือตัวเขายังไม่ตาย และเห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นก้นเหวของแนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด

“ฟื้นแล้วหรือ” พร้อมกับเสียงนี้ หมอกสีแดงเลือดที่ชวนลุ่มหลงโดยรอบ ก็สลายออกไปเผยให้เห็นใบหน้าซูบตอบของจี้อวี๋

เฉินซียืดร่างกายของเขาอยู่ครู่หนึ่ง นอกจากความเจ็บแสบร้อนทั่วร่างกายแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใด เมื่อเขาลุกขึ้นยืนสำเร็จก็ต้องหลั่งเหงื่อออกมาเนื่องจากความเจ็บปวดที่ได้รับ

“การประสบเหตุการณ์เยี่ยงนี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเจ้า” ท่าทีของจี้อวี๋ดูเคร่งขรึมอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าต้องจำไว้เสมอว่า เว้นแต่จะเป็นกระบี่ของมิตรสหายที่เคยร่วมเป็นตายมานับพันครั้ง การปล่อยให้ผู้อื่นระวังหลังให้เจ้าย่อมคือการไม่รักชีวิตตัวเอง!”

เฉินซีพยักหน้ารับเงียบ ๆ หากเขาระมัดระวังตัวมากกว่านี้ คงไม่มีทางที่ไฉ่เล่อเทียนจะลอบทำร้ายเขาสำเร็จแน่

“ไปกันเถอะ” จี้อวี๋เข้าใจดีว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อชายหนุ่มอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซียอมรับฟังความเห็นของเขา ชายชราจึงไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก ร่างของเขาลอยไปยังส่วนลึกของหมอกดั่งเรือลำน้อย

เฉินซีเหลือบมองบริเวณโดยรอบแล้วถามด้วยความสงสัย “จะไปที่แห่งใด?”

“ห่างออกไปยี่สิบห้าลี้ จากที่นี่เป็นที่ตั้งของฐานรากของค่ายกลนี้ หากเจ้าต้องการจะออกจากที่แห่งนี้ ก็จงทำลายรากฐานของมันเสีย” เสียงของจี้อวี๋ลอยออกมาจากภายในหมอก

มีปราณปีศาจและหมอกลอยอยู่ในอากาศ อีกทั้งเสียงเห่าหอนของอสูรปีศาจก็ดังกึกก้อง

เฉินซีเดินตามหลังจี้อวี๋ ขณะที่เขาจ้องมองไปยังหมอกสีแดงเข้มที่หนาแน่นราวกับหินหลอมเหลวและฝูงอสูรปีศาจที่อาละวาดอยู่ภายในหมอก ประสาทของเขาก็ตึงเครียดจนถึงขีดสุด

เขาเคยเห็นอสูรปีศาจขนาดเท่าเนินเขาทั้งลูกที่ค่อย ๆ คืบคลานออกมาจากหมอก และแรงกดดันที่ปล่อยออกมาก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก

อย่างไรก็ตาม ครานี้กลับแตกต่างออกไป เมื่อเขาเดินตามจี้อวี๋ไป หมอกหนาทึบไม่เพียงกระจายออกไปเองเท่านั้น แม้แต่อสูรปีศาจเหล่านั้นก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้ ตลอดทางพวกเขาไม่เคยพบกับการจู่โจมเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

ผ่านไปเพียงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป

ชายชราหยุดยืนที่เบื้องหน้ากำแพงหินสีดำสนิทภายในหุบเหว

เฉินซีแหงนหน้าขึ้นมอง และเขาก็เห็นว่าลวดลายหนาแน่นต่าง ๆ ถูกจารึกไว้บนผนังหินสีดำสนิท ลวดลายนั้นหยาบแข็งราวกับเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ บางตำแหน่งก็พร่ามัวและไม่ชัดเจน แต่พวกมันกลับมีกลิ่นอายโบราณและรกร้าง

“ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของข้าจะถูกต้อง หุบเขาแห่งนี้คือค่ายกลสำหรับควบแน่นปราณปีศาจ”

จี้อวี๋เพ่งพินิจลวดลายบนกำแพงหินครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้า จากนั้นชายชราโบกแขนเสื้อปลดปล่อยหมอกสีฟ้าหนาทึบกวาดออกไปเข้าใส่กำแพงหิน

ตูม!! ตูม!! ตูม!!!

กำแพงหินสีดำสนิทที่จารึกลวดลายนับไม่ถ้วนพลันเปิดออก ตรงกลางเผยให้เห็นถ้ำที่ดำมืด ในขณะเดียวกัน กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกก็แผ่ออกมาทุกที่เมื่อมันพัดผ่านไป ชั้นน้ำแข็งสีดำหนาทึบเกาะตัวบนพื้นผิวในทันที!

ช่างหนาวเย็นยิ่งนัก!

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน เมื่อกลิ่นอายเย็นยะเยือกนี้พัดมาที่เขา ฟันของเขาก็สั่นสะท้านทันใด ชายหนุ่มต้องรีบโคจรปราณแท้ในร่างจึงจะสามารถละลายไอเย็นยะเยือกที่รุกล้ำเข้าสู่ร่างกายของเขาได้

หลังจากเดินตามจี้อวี๋เข้าไปภายในถ้ำ เฉินซีก็มองเห็นสภาพแวดล้อมภายในอย่างชัดเจน

สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นถ้ำโบราณ ซึ่งมีกำแพงหินสีน้ำเงินเข้มผิวขรุขระและรอยกระดำกระด่างอยู่รอบ ๆ ตัวถ้ำ หินอ่อนธรรมชาติดูหยาบและหมองคล้ำเนื่องจากปราศจากการขัดเงา

นอกจากนี้ ที่ใจกลางถ้ำยังมีสระน้ำรูปทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งมีกระบี่แปดเล่มที่เปล่งแสงออกมาถูกเสียบอยู่บนมุมทั้งแปดของสระน้ำ ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นบนของเหลวข้นราวกับน้ำนมสีดำบริสุทธิ์ที่ไหลช้า ๆ ภายในสระน้ำ อีกทั้งความหนาวเย็นที่เสียดกระดูกก็แผ่กระจายออกมาจากมัน

สิ่งที่สะดุดตาที่สุด คือดอกบัวบานสีดำอยู่กลางสระน้ำ ดอกบัวนี้มีสามสิบหกกลีบ ซึ่งดูราวกับหยกนิลอันเต็มไปด้วยพลังสงบนิ่ง

จี้อวี๋เดินไปรอบ ๆ สระน้ำ แล้วส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “พวกมันคือกระบี่สะกดปราณปีศาจ ดอกบัวที่ควบแน่นไปด้วยปราณปีศาจ และขวดกักเก็บปราณปีศาจ แม้ว่าผู้จัดเตรียมค่ายกลนี้จะเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดายที่คุณภาพสิ่งของเหล่านี้ยังไม่ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้น มันยังขาดไข่มุกย้ายดวงจิต หากไม่มีใครควบคุมค่ายกลนี้ มันก็เป็นได้เพียงขยะไร้ค่า”

เฉินซีรู้สึกสับสนและครุ่นคิดในใจว่า ‘พวกมันเป็นสมบัติที่เซียนค่ายกลยันต์อักขระใช้ในการจัดตั้งค่ายกล เหตุใดถึงกลายเป็นสมบัติที่ไร้คุณภาพสำหรับผู้อาวุโสจี้อวี๋กัน?’

“ทว่าสิ่งเหล่านี้นับว่าพอใช้ได้สำหรับเจ้า” จี้อวี๋ครุ่นคิดสักครู่แล้วสะบัดแขนเสื้อของเขา กระบี่ทั้งแปดเล่มที่อยู่ข้างสระน้ำส่งเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นพวกมันก็ลอยขึ้นจากพื้นและกลายเป็นประกายแสงระยิบระยับแปดดวงขณะที่ตกลงไปบนฝ่ามือของจี้อวี๋

“กระบี่ทั้งแปดเล่มนี้เป็นศัสตราวิเศษระดับสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่พวกมันถูกผนึกไว้ที่นี่เนิ่นนานและประสบกับการกัดกร่อนของปราณปีศาจยมโลกมานับไม่ถ้วน ในตอนนี้อำนาจของพวกมันเทียบได้กับศัสตราวิเศษระดับปฐพีขั้นสูงเท่านั้น”

จี้อวี๋ประเมินก่อนที่จะโยนกระบี่ทั้งแปดเล่มให้แก่เฉินซี จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ดอกบัวสีดำที่อยู่ตรงกลางสระก็ถูกดึงรากออก และค่อย ๆ ลอยลงมาบนฝ่ามือของเขา

“ดอกบัวนี้นับว่าไม่เลวนัก มันคือบงกชจิตเยือกแข็งที่รับพลังมาจากสวรรค์และโลก การวางมันไว้ข้างกายยามที่เจ้าฝึกฝน จะช่วยชำระจิตใจของเจ้าและขจัดจิตปีศาจในใจได้อย่างดีเยี่ยม

ขณะที่กล่าว ชายชราก็ยื่นมือไปลูบดอกบัวสีดำเบา ๆ และเส้นใยของปราณปีศาจก็หลุดออกจากดอกบัว จากนั้นมันก็กลายเป็นดอกบัวสีขาวราวกับหิมะที่เปล่งกลิ่นอายเย็นสบายและสดชื่นในทันที “ข้าได้ช่วยเจ้ากำจัดปราณปีศาจที่อยู่ภายในดอกบัวแล้ว จงรับไปซะ!”

เฉินซีมองกระบี่บินขนาดเล็กหลายเล่มในมือของเขา จากนั้นเบนสายตามองไปยังบงกชจิตเยือกแข็งที่เขาเพิ่งได้รับมา หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

ในโลกแห่งการบ่มเพาะ ผู้บ่มเพาะขอบเขตสร้างรากฐานและผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดสามารถใช้ได้เพียงศัสตรามนุษย์เท่านั้น และ กระบี่อัสนีครามที่เฉินซีใช้ก่อนหน้านี้ก็เป็นศัสตรามนุษย์ขั้นสุดยอด

หลังจากพัฒนาถึงระดับขอบเขตตำหนักอินทนิล และได้ก่อตั้งรากฐานแห่งเต๋าแล้ว เขาจะสามารถควบคุมศัสตราวิเศษได้

ศัสตราวิเศษและสมบัติวิเศษถูกแบ่งลำดับชั้นเป็นสามระดับ ได้แก่ ระดับล้ำลึก ระดับปฐพี และระดับสวรรค์ ทุกระดับถูกแบ่งออกเป็นสี่ขั้น อันได้แก่ ขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสุดยอด

เหนือขึ้นไปกว่าสมบัติวิเศษคือศัสตราอมตะ!

อย่างไรก็ตามสำหรับเฉินซี ศัสตราอมตะนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อม เนื่องจากการจะหามันให้พบขึ้นอยู่กับโชคชะตา ในเวลานี้การครอบครองกระบี่บินระดับล้ำลึกขั้นสูงถึงแปดเล่ม ก็ทำให้เขามีความสุขจนมิอาจควบคุมตัวเองได้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นบงกชจิตเยือกเย็นก็มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของเขามาก เนื่องจากมันสามารถขับไล่จิตปีศาจและช่วยป้องกันการปั่นป่วนของลมปราณในร่างกายได้

“กระบี่ทั้งแปดเล่มนี้เผชิญกับการกัดกร่อนของปราณปีศาจยมโลกมาเป็นเวลาหนึ่งหมื่นปี แต่สุดท้ายก็ตกอยู่ในมือของข้า ด้วยโชคชะตาเยี่ยงนี้ เหตุใดข้าไม่เรียกมันว่ากระบี่ท่องปรภพเสียล่ะ?”

เฉินซีเริ่มมอบนามให้กับสมบัติวิเศษของเขา จากนั้นพลันขมวดคิ้ว ในขณะที่เขากล่าวในใจว่า ‘ตอนนี้ข้ายังอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์เท่านั้น เกรงว่าข้าคงไม่อาจควบคุมกระบี่ท่องปรภพเหล่านี้ได้ชั่วคราว’

“เฉินซี ปราณปีศาจในสระน้ำนี้ควบแน่นจนกลายสภาพเป็นของเหลว เจ้าสามารถใช้มันขัดเกลาร่างกายได้” เสียงของจี้อวี๋ดังขึ้นจากข้างสระน้ำ

เฉินซีรีบเก็บกระบี่ท่องปรภพและบงกชจิตเยือกเย็นเข้าไปในแหวนมิติ จากนั้นจึงก้าวเดินเข้ามาและเอ่ยถามว่า “ข้าควรทำเยี่ยงไร?”

จี้อวี๋ชี้ไปที่สระน้ำ “กระโดดเข้าไปและหมุนเวียนวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพภายในตัวซะ แต่เจ้าต้องระมัดระวัง แม้ว่าปราณปีศาจในสระนี้จะไม่อาจเทียบกับมวลพลังจากดวงดาว แต่ก็มันยังคงเป็นปราณปีศาจที่เลื่องลือถึงความเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากรู้สึกว่าทนไม่ไหวก็จงรีบออกมาเสีย”

เฉินซีหามีทีท่าลังเลใด ๆ ในขณะที่เขาถอดเสื้อผ้าออกทันที แล้วก้าวเดินไปที่สระน้ำ

ทันทีที่ผิวกายของเขาสัมผัสกับชั้นของเหลวสีดำบริสุทธิ์ในสระ ความเย็นยะเยียบเสียดกระดูกราวกับถูกเหล็กเจาะเข้าไปในผิวหนังของเขา ก่อนที่มันจะไหลไปทั่วทั้งร่างกาย ใบหน้าของเฉินซีกลายเป็นสีม่วงอมน้ำเงินในทันที จากนั้นร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้

ฮู่ววว!

เฉินซีไม่กล้ารอช้าและรีบนั่งลงในสระน้ำทันใด ทันทีที่เขาทำสิ่งนี้ เขาก็ตั้งสมาธิและละทิ้งความคิดที่ว่อกแว่กทั้งหมด จากนั้นก็หมุนเวียนวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพอย่างรวดเร็ว

ของเหลวจากปราณปีศาจภายในสระน้ำลึกพอที่จะท่วมคอของชายหนุ่มจนเหลือแต่เพียงศีรษะ เขาหลับตาสนิทขณะที่ชั้นน้ำแข็งสีดำหนาทึบแข็งตัวอยู่บนใบหน้า เมื่อมองจากที่ห่างไกล เฉินซีเป็นดั่งรูปปั้นแกะสลักที่ผนึกด้วยขี้ผึ้ง

“เจ้าเด็กคนนี้เชื่อฟังมาก เขาไม่คิดที่จะถามข้าว่าเหตุใดถึงให้เขาทำแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย…”

จี้อวี๋หยิบขวดน้ำเต้าสุราของเขาออกมา แล้วดื่มไปสองสามอึก จากนั้นก็ส่ายศีรษะและทอดถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าข้าจะเอ็นดูเขาเกินไป การพึ่งพากันมากเกินไปจะทำให้เขาไม่อาจกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงได้”

“อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาก้าวไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลและผ่านบททดสอบสรวงสรรค์ระดับแรกไปได้ ข้าอาจจะไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไป อืม ข้าจะคอยดูแลเขาอีกสักพัก หลายปีนั้นนายท่านก็คอยดูแลข้าเยี่ยงนี้เช่นกัน…”

เสียงของเขาเบาลงเรื่อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป ดูเหมือนว่าจี้อวี๋จะรำลึกเหตุการณ์ในอดีตที่เขาไม่อาจทนมองย้อนกลับไปได้ และความเศร้าโศกเสียใจที่ไม่อาจขจัดทิ้งก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

หนาววววว!

หนาวเหน็บจนเสียดกระดูก!

เฉินซีรู้สึกถึงน้ำที่เย็นยะเยือกไหลผ่านระหว่างเลือดเนื้อและกระดูก ไอความเย็นยะเยือกที่ไหลเข้าสู่ร่างกายทำให้สติของเขาค่อย ๆ เลือนราง

อย่างไรก็ตาม ดวงวิญญาณของเขายังคงชัดแจ้งและสงบอย่างยิ่ง ในขณะที่เขาโคจรการบ่มเพาะจิตของเขาอย่างเป็นระบบ เพื่อดูดซับปราณปีศาจอย่างช้า ๆ โดยใช้สิ่งนี้เพื่อขัดเกลาผิวหนัง กระดูก เลือดเนื้อและกล้ามเนื้อ

เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่พลังแห่งดวงดาวส่งมาหาเขา ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่เกิดจากปราณปีศาจนี้กลับเป็นภาระต่อเฉินซีน้อยกว่ามาก

ปัจจุบันระดับการบ่มเพาะในการขัดเกลากายาของเฉินซีได้ก้าวไปสู่ขอบเขตก่อกำเนิด และขณะนี้การบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้ประโยชน์จากปราณปีศาจทำให้การบ่มเพาะของเขารุดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

สามวันต่อมา

เสียงที่เกิดจากการแตกทลายของสิ่งเล็ก ๆ ดังขึ้นภายในถ้ำที่เงียบสงบ

เฉินซีลุกขึ้นยืนจากสระน้ำ ขณะที่ชั้นน้ำแข็งสีดำหนาบนผิวของเขากำลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ และหล่นลงมาเหมือนเศษแก้ว จึงเผยให้เห็นร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบเยี่ยงชายชาตรีและเต็มไปด้วยความแวววาวอันน่าหลงใหล ราวกับผลงานชิ้นเอกที่ถูกแกะสลักโดยน้ำมือของทวยเทพ

วูบ!

เฉินซียืดกล้ามเนื้อของเขาและรู้สึกว่าพลังชีวิตภายในร่างกายกำลังเดือดพล่าน ราวกับว่าเขาสามารถยกภูเขาด้วยมือเพียงข้างเดียวได้

นอกจากนี้ บนกระดูกสันหลังของเขามีลวดลายสีดำจาง ๆ ปรากฏขึ้นมา

จี้อวี๋นอนอยู่บนเก้าอี้หวายขณะที่จ้องมองไปที่แผ่นหลังของเฉินซี และเขาก็กล่าวขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “เส้นลมปราณของอักขระจ้าววิญญาณได้ปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเจ้า ดูเหมือนว่าการบ่มเพาะร่างกายของเจ้าได้ก้าวไปสู่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แล้ว”

การขัดเกลากายาขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์!

เฉินซีตะลึงงันจนมิอาจกล่าวสิ่งใด ‘ข้าได้บรรลุการขัดเกลากายาขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ภายในสามวัน?’

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท