บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 54 กลอุบาย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 54 กลอุบาย

บทที่ 54 กลอุบาย

กลุ่มของซูเจียวก้าวเข้าสู่ห้องโถงตำรา บรรยากาศการเผชิญหน้ายิ่งตึงเครียดมากขึ้น

ขณะที่พวกนางจ้องมองไปยังกลุ่มคนสองกลุ่มที่กำลังขัดแย้งกัน ซูเจียวและผู้คนที่อยู่เบื้องหลังก็มีสีหน้ามืดมนอย่างหาที่เปรียบมิได้ แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหารโดยมิอาจปกปิด

‘มีมาเพิ่มอีกสิบสามคน! ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังเป็นศิษย์ของขุมพลังอันยิ่งใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกรด้วย!’

ฟู่เหิงแห่งนิกายหงสาเมฆาชาดได้แต่อ้าปากค้าง ขณะนี้ สถานการณ์ได้บานปลายเกินความคาดหมายของเขาแล้ว แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกโล่งใจก็คือ เนื่องจากการมาถึงของกลุ่มของซูเจียว กลุ่มของไฉ่เล่อเทียนจึงจำเป็นต้องคิดทบทวนใหม่หากจะยังดึงดันขับไล่กลุ่มของเขาออกไป

ท่าทีของไฉ่เล่อเทียนและกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเขาล้วนตึงเครียด เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มของซูเจียว พวกเขาสูญเสียความได้เปรียบที่อยู่ในกำมือไปเสียแล้ว

ในขณะนี้ สามกลุ่มอันแข็งแกร่งเผชิญหน้ากันอยู่ในห้องโถง ทั้งสามกลุ่มยืนหยั่งเชิงกันและกันอยู่ที่คนละมุม การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรโดยสุ่มสี่สุ่มห้า

“คุณหนูซู ที่แห่งนี้ถูกพวกเรายึดครองไปแล้ว พวกเจ้าทุกคนอย่าได้สอดมือเข้ามายุ่งและทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างเรา ไม่เช่นนั้นผลที่ออกมาคงไม่ดีนัก” ไฉ่เล่อเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

สีหน้าของซูเจียวดูโกรธแค้น เนื่องจากพวกนางต้องออกมามือเปล่าจากห้องโถงทั้งสองแห่งก่อนหน้านี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหยามเหยียดเมื่อเห็นไฉ่เล่อเทียนต้องการที่จะขับไล่นางออกไป นางตวาดแย้งทันที “หยุดกล่าววาจาไร้สาระซะ เฒ่าประหลาดในตระกูลของเจ้ามิอาจทำให้ข้าเกรงกลัวใด ๆ ได้!”

“ช่างสามหาวยิ่งนัก!” อวี้ฮ่าวไป๋ที่อยู่เบื้องหลังไฉ่เล่อเทียนตะคอกเสียงดังสนั่น “ท่านผู้อาวุโสไฉ่เส้า เป็นหนึ่งในผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่หลงเหลืออยู่ในดินแดนทางตอนใต้เพียงไม่กี่คน เจ้ายังกล้าดูหมิ่นเขาว่าเป็นเฒ่าประหลาดหรือ? ช่างรนหาที่ตายโดยแท้!”

“ฮึ่ม! หยุดพล่ามซะ! มันก็แค่บรรพบุรุษไม่ใช่หรือ?”

ฉางปินที่อยู่ข้าง ๆ ซูเจียวแสดงสีหน้าเย้ยหยันก่อนจะกล่าวว่า “ไฉ่เล่อเทียน เจ้าเพียงมีบรรพบุรุษที่มีการบ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาสนับสนุนอยู่ แต่ซูเฉินพี่ชายของคุณหนูซูได้กลายเป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในรอบพันปี นั่นคือท่านบรรพจารย์หลิงตู้! เช่นนี้แล้วเจ้าคิดว่าสิ่งเจ้าที่กล่าวมาถึงตอนนี้จะมีความหมายอันใดอีกหรือ!”

บรรพจารย์หลิงตู้!

ผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้รวมทั้งไฉ่เล่อเทียน ล้วนมีสีหน้าซีดลงโดยพร้อมเพรียง ราวกับว่าพวกเขาได้ยินสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่ง

พี่ชายของซูเจียวได้กลายเป็นศิษย์ของบรรพจารย์หลิงตู้?

มุมหนึ่งที่ห่างออกไปเหนือคานหินสูง เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หากจะกล่าวถึงแง่ของความน่าสะพรึงกลัวที่สุด ในบรรดาขุมพลังของเมืองทะเลสาบมังกร นิกายกระบี่เมฆาพเนจรย่อมครองตำแหน่งสูงสุดโดยไม่ต้องสงสัย

มีผู้บ่มเพาะกระบี่ขอบเขตเซียนปฐพีที่น่าสะพรึงกลัวจำนวนมากอาศัยอยู่อย่างสันโดษในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร!

บรรพจารย์หลิงตู้ เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ขอบเขตจุติที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ยามที่อารมณ์ของเขาระเบิดขึ้นจะเกิดการสังหารอย่างโหดเหี้ยม และชื่อเสียงของเขาก็ดังกระฉ่อนไปทั่วดินแดนทางตอนใต้ ไม่ว่าผู้บ่มเพาะหรือปุถุชนต่างก็รับรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้

“ฮึ่ม! ข้าไม่แปลกใจแล้วที่เจ้าจะมั่นใจนัก ที่แท้ไอ้ตัวบัดซบซูเฉินก็กลายเป็นศิษย์ของบรรพจารย์หลิงตู้แล้วนี่เอง” สีหน้าของไฉ่เล่อเทียนหวนคืนกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะและกล่าวอย่างหยามเหยียด “ซูเฉินก็คือซูเฉิน ซูเจียวก็คือซูเจียว เจ้าคิดว่าบรรพชนหลิงตู้จะผิดใจกับบรรพบุรุษของตระกูลข้าเพียงเพราะเห็นแก่เจ้าหรือ?”

สีหน้าของซูเจียวยังคงไม่สะทกสะท้าน แต่นางก็ลอบถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มย่อมกล่าวถูกต้อง ตัวนางไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับบรรพชนหลิงตู้ แม้มันจะช่วยให้นางสามารถแสร้งสวมหนังเสือเพื่อข่มขู่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้บรรพจารย์หลิงตู้ผิดใจกับผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาซึ่งเป็นขอบเขตที่สูงกว่าเขา เพียงเพราะเห็นแก่หน้านาง

อย่างไรก็ตาม ซูเจียวหาใช่คนธรรมดาสามัญ นางกลอกตาไปมา ทันใดนั้น นางก็คิดแผนการออกแล้ว หญิงสาวหาได้สนใจไฉ่เล่อเทียน แต่กลับจ้องมองไปยังฟู่เหิงและคนอื่น ๆ ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนคงไม่พอใจที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่ได้ แต่กลับต้องออกไปมือเปล่าใช่หรือไม่? เหตุใดพวกเราไม่ร่วมมือกันและฆ่าพวกมันให้หมดสิ้น? จากนั้นค่อยแบ่งปันแผ่นหยกทั้งหมดภายในห้องโถงนี้อย่างเท่าเทียม พวกเจ้าคิดเห็นเยี่ยงไร?”

ฟู่เหิงไม่เคยคาดคิดว่าซูเจียวจะยื่นเงื่อนไขนี้ และเขาก็ตกตะลึงชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวว่า “แต่…”

ซูเจียวชิงขัดจังหวะ “เจ้าไม่ต้องกังวลถึงสิ่งอื่น ที่แห่งนี้คือดินแดนรกร้างใต้พิภพ ตราบใดที่เราไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าใครเป็นผู้ฆ่าล้างในที่แห่งนี้”

ถูกต้อง! ตราบใดที่เราฆ่าล้างกลุ่มของไฉ่เล่อเทียนและแบ่งปันแผ่นหยกระหว่างกลุ่มของเรา ผู้ใดจะโง่เขลาแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้อื่นรับรู้?

สายตาของฟู่เหิงเต็มไปด้วยความโลภราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน ในขณะที่เขารู้สึกพึงพอใจกับคำพูดของหญิงสาว

ข้อเสนอของซูเจียวนั้นโหดเหี้ยมและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง กลุ่มของไฉ่เล่อเทียนประกอบด้วยผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเพียงแปดคนเท่านั้น และไม่อาจเทียบเคียงกับกลุ่มของพวกเขาเมื่อรวมกันได้ หากพวกเขาสองกลุ่มร่วมมือกันโจมตีย่อมสามารถทำลายล้างกลุ่มของไฉ่เล่อเทียนได้อย่างง่ายดาย

“สหายเต๋าฟู่ หากเจ้ากล้ากระทำตามที่นังบ้านั่นเสนอเจ้าจะต้องเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน!” ในที่สุดไฉ่เล่อเทียนก็ไม่อาจรักษาความสงบของตนเองได้อีกต่อไป และใบหน้าของเขาแลดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น ในขณะที่เขาตะโกนว่า “เจ้าไม่กลัวว่าซูเจียวจะเผาสะพานหลังจากข้ามผ่านและฆ่าล้างพวกเจ้า จากนั้นครอบครองแผ่นหยกทั้งหมดในห้องโถงตำรานี้หรือ!”

ฟู่เหิงตกตะลึงและสีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความลังเลอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาวิตกกังวลว่าซูเจียวจะทำเยี่ยงนี้เช่นกัน

“แต่หากพวกเจ้าทุกคนร่วมมือกับข้าแทน เราจะฆ่าล้างกลุ่มของซูเจียว แล้วค่อยแบ่งแผ่นหยกเหล่านี้ตามที่เจ้ากล่าวไว้หกต่อสี่ เจ้าตกลงไหม?” ไฉ่เล่อเทียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของอีกฝ่ายและชิงตีเหล็กในยามที่กำลังร้อนระอุ

ฟู่เหิงอยู่ในสภาวะตัดสินใจเลือกลำบาก

เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่ากลุ่มของเขาซึ่งเดิมอ่อนแอที่สุดจะกลายเป็นเผือกร้อนที่ทั้งสองกลุ่มต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงมัน สิ่งนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะเห็นแก่การระแวดระวังผู้อื่นที่จะเผาสะพานหลังจากข้ามผ่านไปแล้ว และตัวเขาก็ไม่อาจตกลงกับทั้งสองกลุ่มพร้อมกันได้

ข้าควรกระทำเยี่ยงไรดี?

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว ฟู่เหิงและคนอื่น ๆ ต่างก็อยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

‘บัดซบ! หากพวกเขายังคงถกเถียงแบบนี้อยู่ต่อไป พวกเขาย่อมหาทางออกได้ในไม่ช้าก็เร็ว หากเป็นเยี่ยงนี้ ข้าจะใช้ประโยชน์จากความโกลาหลเพื่อลอบทำร้ายไฉ่เล่อเทียนได้เยี่ยงไร?’

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล เมื่อเห็นคนทั้งสามกลุ่มยังไม่ได้ปะทะกันสักที ทันใดนั้นเหมือนบางสิ่งดลใจก็แวบเข้ามาในหัวของเขา ขณะที่เขานึกถึงแผนการอันยอดเยี่ยมได้ในทันใด

….

เวลาได้ผ่านไป แต่บรรยากาศกลับทวีแรงกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสามกลุ่มยังไม่เริ่มการต่อสู้ และไม่อาจแบ่งแผ่นหยกในห้องโถงได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแต่ยืนคุมเชิงอย่างวิตกกังวลและเสียเวลาเปล่า

“ในความคิดของข้า ทั้งสามกลุ่มไม่ควรโต้เถียงกันอีกต่อไป เรามาคุยกันถึงวิธีการแบ่งปันแผ่นหยกเหล่านี้กันไหม?” ในที่สุดไฉ่เล่อเทียนก็หมดความอดทนกับการรอคอย เขาจึงเสนอทางออกอย่างฝืนใจ

“ตกลง ถ้าข้อเสนอยังพอเป็นไปได้เราก็จะยอมรับมัน” ซูเจียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางกลัวว่าหากพวกเขาจะเสียเวลาต่อไป ก็จะมีผู้อื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่ม และจะยิ่งทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากขึ้นไปอีก

“ข้อเสนอของสหายเต๋าไฉ่ เป็นสิ่งที่เรารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ” ฟู่เหิงถอนหายใจยาวเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น กลุ่มของเขาเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุดและได้รับแรงกดดันมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะต่อสู้กับอีกสองกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะนั้นเสียงที่ไม่คาดคิดก็ดังขึ้นภายในห้องโถง

“พี่ไฉ่ ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดขณะนี้คนที่มาจากนิกายหงสาเมฆาชาดกำลังรวบรวมแต่แผ่นหยกล้ำค่าโดยไม่มาสนใจท่านเลย?”

นิกายหงสาเมฆาชาด?

รวบรวมแผ่นหยกล้ำค่าอันใด?

ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินถึงสิ่งนี้

เฉินซี?

เขายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?

เมื่อสุ้มเสียงนี้ลอยเข้าสู่โสตของตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลิน หัวใจของพวกเขาต่างก็สั่นไหว อีกทั้งใบหน้าของพวกเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่อาจเชื่อ

‘เจ้าสวะนั่นยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ? แล้วสิ่งที่เขากล่าวมาหมายความว่าเยี่ยงไร?’ ไฉ่เล่อเทียนก็รู้สึกตกตะลึง ราวกับว่าเขาคิดถึงสิ่งใดออก และใบหน้าของเขาก็มืดมนลงในทันทีราวกับก้นกระทะ ระยำเอ๊ย! ช่างเป็นวิธีการที่โหดเหี้ยม!

ซูเจียวแยกแยะออกว่าผู้ใดเป็นเจ้าของน้ำเสียงนั้น และสายตาของนางก็กวาดไปทางด้านหลังไฉ่เล่อเทียน ตามที่คาดการณ์ไว้ นางไม่ได้สังเกตเห็นร่องรอยของเฉินซี แต่เมื่อนางคำนึงถึงสิ่งที่เฉินซีกล่าว ใบหน้าของนางก็เย็นชาขึ้น จากนั้นนางก็เริ่มหัวเราะด้วยโทสะ และกล่าวต่อว่า “ไฉ่เล่อเทียน! เจ้าสมควรถูกเรียกว่าไอ้ตัวเจ้าเล่ห์จอมวางแผน! เจ้าแอบส่งคนไปรวบรวมแผ่นหยกอันล้ำค่าก่อน จากนั้นจึงเสนอให้แบ่งปันแผ่นหยกในห้องโถงอย่างเท่าเทียมเพื่อถ่วงเวลา แล้วทิ้งแผ่นหยกไร้ค่าที่เหลือให้กับพวกเรา… เจ้ามันต่ำช้านัก!”

“คุณหนูซู โปรดฟังข้าก่อน เฉินซีผู้นั้นมันกำลังหลอกลวงพวกท่าน เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในกลุ่มของเราตั้งนานแล้ว…” ไฉ่เล่อเทียนรีบอธิบายในทันใด

“มันสายไปแล้ว เจ้ายังคิดจะแก้ตัวอีกหรือ? เจ้าคิดว่าข้าไม่ได้สังเกตเห็นหรือว่าเฉินซีคอยติดตามพวกเจ้าทั้งหมดตั้งแต่ออกจากเมืองอาบโลหิต?”

ชิ้ง!

ขณะที่นางกล่าว กระบี่บินที่มีสีแดงเพลิงก็ปรากฏขึ้นในมือของซูเจียวและสีหน้าของนางก็มืดมนลง “ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องแก้ปัญหานี้ด้วยการต่อสู้เท่านั้น ทุกคน เราถูกไอ้สารเลวพวกนี้หลอกลวงแล้ว! เข่นฆ่าไอ้พวกคนน่าชังทั้งหลายนี้ซะ!”

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

ฉางปินและคนอื่น ๆ ฟื้นจากอาการตกตะลึง ทันใดนั้นความคับข้องที่สะสมมานาน กับความโกรธแค้นจากการถูกหลอกลวงก็ระเบิดออกมา พวกเขาทั้งหมดชักอาวุธออกและพุ่งทะยานเข้าจู่โจมกลุ่มของไฉ่เล่อเทียนอย่างดุร้าย

“ข้า…” ไฉ่เล่อเทียนโกรธจนตัวสั่น แม้ตัวเขาต้องการจะอธิบาย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวสิ่งใด ชายหนุ่มก็เห็นบรรดาศัสตราวิเศษที่อัดแน่นไปด้วยปราณวิญญาณอันน่ากลัวพุ่งทะยานเข้าหาตัวเขา ทำให้ไม่อาจลังเลอีกต่อไป จากนั้นเขาก็ชักศัสตราวิเศษออกมาและเตรียมที่จะสกัดการโจมตีที่กำลังเข้าถึงตัว

ระยำเอ๊ย! พวกข้าบริสุทธิ์!

คนอื่น ๆ ที่อยู่เบื้องหลังไฉ่เล่อเทียนก็เสียใจเช่นกัน แต่เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มของซูเจียวจู่โจมเข้ามาโดยไม่แยกแยะถูกผิด พวกเขาก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวเช่นกัน ทันใดนั้น ใบหน้าของพวกเขาก็มืดมน จากนั้นต่างก็ดึงอาวุธประจำกายและเข้าสู่การต่อสู้

“ฆ่า!”

“ฆ่าพวกมัน!”

“บัดซบเอ๊ย!”

กลุ่มของซูเจียวทั้งสิบสามคนและกลุ่มทั้งแปดคนของไฉ่เล่อเทียน ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล ในขณะนี้เมื่อพวกเขาใช้เคล็ดวิชาที่ตนเองเชี่ยวชาญ แรงระเบิดจากการปะทะสั่นสะเทือนทั้งห้องโถง กระแสอากาศที่น่าสะพรึงกลัวราวกับคมมีดกวาดกระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทิ้งรอยบาดลึกอันน่าตกใจไว้เบื้องหลังตามผนังของห้องโถง

กระบี่บินสีแดงโลหิตแปรเปลี่ยนเป็นมังกรวารี ขณะที่มันพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งกัดกระชากและคำรามลั่น

จากนั้นกระบี่บินมากกว่าหนึ่งร้อยเล่มก็ถักทอเข้าหากันเพื่อสร้างค่ายกลกระบี่ที่เปล่งอำนาจแห่งการฆ่าฟัน

ศัสตราวิเศษทุกประเภท เคล็ดวิชาต่อสู้อันรุนแรง และแสงสีต่าง ๆ ที่งดงาม แต่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว… พลังทำลายล้างที่เกิดจากการปะทะกันเหล่านี้ดูเหมือนจะฉีกกระชากอากาศบริเวณโดยรอบให้แหลกสลาย

คลื่นปะทะอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากการต่อสู้แสนวุ่นวายได้กวาดออกไปโดยรอบส่งผลให้ชั้นวางตำราในห้องโถงพังพินาศเป็นชิ้น ๆ ในขณะที่แผ่นหยกเคล็ดวิชาทั้งหลายหล่นกลิ้งไปทั่วพื้นและถูกอำนาจทำลายล้างบดขยี้กลายเป็นผุยผงหายไปกับสายลม

ค่าตอบแทนของความโลภมีเพียงความตาย!

มันเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หามีผู้ใดสนใจเรื่องแผ่นหยกที่อยู่ภายในห้องโถงอีกแล้ว พวกเขาต่างอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งจากการฆ่าฟัน ต่างคนต่างตะโกนและคำรามก้องผ่านการใช้พลังทั้งหมด และไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากทำให้คู่ต่อสู้ของพวกเขาตกตายด้วยเงื้อมมือของตนเอง ฉากฆ่าฟันเบื้องหน้านั้นช่างน่าสยดสยองอย่างหาที่เปรียบมิได้ ราวกับเกิดนรกบนผืนดิน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท