บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 65 เหล่าสัตว์อสูรมาเยือนเพื่อแสดงความยินดี

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 65 เหล่าสัตว์อสูรมาเยือนเพื่อแสดงความยินดี

บทที่ 65 เหล่าสัตว์อสูรมาเยือนเพื่อแสดงความยินดี

มู่ขุยรู้สึกประหม่ายิ่งนัก เขาไม่กล้าแม้แต่สบตากับเฉินซี แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าทำสิ่งใดผิดเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้ยืมปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกเพื่อใช้ในการบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล และได้ดึงดูดความสนใจของสัตว์อสูรจำนวนมากที่กำลังบ่มเพาะอยู่บริเวณใกล้เคียงกับเทือกเขาวงจันทรา ดังนั้นพวกมันจึงมาขอให้มู่ขุยแนะนำตัวพวกมันแก่ชายหนุ่ม

สัตว์อสูรเหล่านี้มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับมู่ขุย และพวกมันมักจะรวมตัวกันเพื่อดื่มสุราและหารือเกี่ยวกับเต๋า แม้ว่าพวกมันจะไม่ใช่สหายที่ดีที่สุด แต่การจะปฏิเสธก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ดังนั้นมู่ขุยจึงทำได้แต่เพียงรวบรวมความกล้ามาหาเฉินซี

แน่นอนว่า ในใจของมู่ขุยยังคงตื่นตระหนก ตัวเขาได้บ่มเพาะบนเทือกเขาวงจันทรามานับพันปี ทว่าด้วยการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ระดับการบ่มเพาะของเขาจึงไม่อาจเทียบเคียงกับสัตว์อสูรระดับสูงตัวอื่น ๆ ได้ ดังนั้นสัตว์อสูรเหล่านั้นจึงไม่มีใครยินดีที่จะคบหากับเขาอย่างสนิทใจ อันที่จริงสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ก็มักจะปฏิบัติต่อมู่ขุยในฐานะสหายร่วมเส้นทางเต๋าเพียงเท่านั้น

แต่ตอนนี้ ด้วยความก้าวหน้าของเฉินซี สัตว์อสูรเหล่านี้ได้แบกเอาสมบัติมากมายติดตัวเมื่อมาพบกับมู่ขุุ่ย และพวกมันก็สนทนากับเขาอย่างกระตือรือร้น นอกจากจะทำให้มู่ขุยรู้สึกประหลาดใจแล้ว ความภาคภูมิใจก็ได้ก่อขึ้นในหัวใจของเขาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม มู่ขุยทราบดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของท่านผู้อาวุโสเฉินซี ตัวหยาบคายเหล่านี้ย่อมไม่เห็นเขาในสายตาแน่

“ตกลง” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ ในขณะนี้เขาก็ต้องการพบกับเหล่าสัตว์อสูรที่บ่มเพาะอยู่ใกล้เคียงเช่นกัน ท้ายที่สุด เขาต้องอาศัยอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปี การได้รู้จัก ‘เพื่อนบ้าน’ บ้างย่อมไม่เสียหาย แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะเป็นสหายกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นศัตรู ดังนั้นมันจึงจำเป็นสำหรับเขาที่จะรักษาระดับความสัมพันธ์กับสัตว์อสูรเหล่านี้

“ท่านผู้อาวุโส… ท่านตกลง?” มู่ขุยไม่อยากเชื่อหูตัวเองขณะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าไม่อยากให้ข้าหนุนหลังหรอกหรือ?” เฉินซีชำเลืองมองอีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า “แต่เฉพาะครั้งนี้เท่านั้น นับจากนี้ไม่มีอีกแล้ว”

มู่ขุยรู้สึกภาคภูมิใจ และเขาก็พยักหน้ารับราวกับลูกไก่จิกกินเมล็ดข้าว ขณะที่เขาตื่นเต้นจนไม่อาจกล่าวใด ๆ

ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นสนอันเขียวขจี มีน้ำตกและน้ำพุไหลลงมาอย่างสวยงาม ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกและมวลเมฆ ขณะที่สายลมเย็นพัดผ่าน

ในฉากที่ราวกับภาพวาดเบื้องหน้านี้ ชายหญิงสิบกว่าคนในชุดต่าง ๆ หัวเราะและสนทนากัน พวกเขายืนพิงต้นสนสีคราม บางคนก็นั่งอยู่บนโขดหิน บางส่วนก็นั่งบนพื้นดินเป็นกลุ่มสองสามคน ส่วนหนึ่งก็ยืนตัวตรงรอต้อนรับและแสดงความเคารพ

“สหายมู่ขุยคนนี้ช่างโชคดียิ่งนักที่สามารถผูกมิตรกับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้ ช่างน่าอิจฉาอย่างแท้จริง”

“อืม เราทำได้แค่โทษตัวเองที่ละเลยเขาในอดีต ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ ข้าอาจจะเป็นเหมือนเขาและได้รับฟังการชี้แนะจากท่านผู้อาวุโสเฉินซี”

“พวกเจ้าคิดว่าผู้อาวุโสเฉินซีมาจากแห่งหนใด? ในช่วงพันปีที่ผ่านมา ผู้บ่มเพาะที่เป็นมนุษย์แทบไม่ได้เหยียบย่างเข้ามาภายในเทือกเขาของเราเลย”

การสนทนาทุกรูปแบบก็ดังขึ้น และขณะนี้ ภายในภูเขาของเทือกเขาวงจันทราก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

“นั่น! มู่ขุยมาถึงแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าเขาคือผู้อาวุโสเฉินซีที่เพิ่งก่อสร้างรากฐานแห่งเต๋าของขอบเขตตำหนักอินทนิล?” จู่ ๆ ก็มีใครบางคนร้องออกมาด้วยความตกใจ

โอ้!

สายตาของบรรดาสัตว์อสูรหันไปทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง

พวกเขาเห็นมู่ขุยเดินตามหลังชายหนุ่มคนหนึ่ง คนผู้นี้มีรูปร่างสูงและใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาของเขากระจ่างใสและไม่แยแสใด ๆ แม้ว่าดูเหมือนคนธรรมดา แต่ด้วยทุกการเคลื่อนไหวที่เขากระทำ ราวกับว่าเขาได้หลอมรวมเข้ากับสวรรค์และโลก และปล่อยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา

ดวงวิญญาณของเขาหลอมรวมกับลมปราณ ร่างกายของเขาหลอมรวมกับโลก เขาได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างที่คาดการณ์ไว้!

ในขณะนั้น ในหัวใจของเหล่าสัตว์อสูรไม่มีความสงสัยอีกต่อไป การจ้องมองไปที่เฉินซีมีแต่ความเคารพเลื่อมใส

“ข้าคือ สยงผีแห่งเทือกเขาปักษาวิญญาณ ข้าขอแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสเฉินซี!”

“ข้าชื่อ จุ้ยหม่านแห่งถ้ำหินอัคนี ข้าขอแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสเฉินซี และขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสที่บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลและสร้างรากฐานของมหาเต๋าสำเร็จ!”

“ข้ามาจากทะเลสาบปักษาเพลิงอมตะ…”

สัตว์อสูรเหล่านั้นทยอยออกมาทีละคนเพื่อโค้งคำนับและแสดงความเคารพเลื่อมใสต่อเฉินซี การแสดงออกและคำพูดของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความเคารพอย่างจริงใจ

ในตอนแรกเฉินซีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เขาก็คุ้นเคยกับมันได้ในภายหลัง เขาเพียงพยักหน้ารับ แต่ในใจของเขากำลังจดจำชื่อและรูปลักษณ์ของสัตว์อสูรแต่ละตัวเอาไว้ ยิ่งกว่านั้นชายหนุ่มยังสังเกตว่าพวกมันมีลักษณะนิสัยคล้ายกับมนุษย์ ทั้งยังมีการกำหนดตำแหน่งตามระดับอาวุโส ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขาแสดงความเคารพต่อเฉินซี พวกเขาจะปฏิบัติตามกฎและก้าวเดินเรียงลำดับตามความแข็งแกร่งของพวกเขา

มู่ขุยได้จัดเตรียมสุราชั้นดีและผลไม้รสเลิศเอาไว้แล้ว เขาทำความสะอาดที่โล่งระหว่างป่าสนก่อนที่จะวางฟูกและโต๊ะ จากนั้นจึงเชิญเฉินซี และคนอื่น ๆ ให้นั่งลง

แม้ว่าสถานที่นี้จะเรียบง่าย แต่เฉินซีก็ยังได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเหล่าสัตว์อสูรให้นั่งอยู่หัวแถว มู่ขุยนั่งเยื้องไปทางขวาของเฉินซี และคอยเทสุราและมอบผลไม้ให้แก่เฉินซี เขาเป็นเหมือนข้ารับใช้ที่ขยันขันแข็งและซื่อตรง อย่างไรก็ตาม ภาพที่เห็นนี้ได้สร้างความอิจฉาให้กับสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ยิ่งนัก และหากไม่ใช่เพราะสถานะของพวกเขา พวกเขาคงมิอาจห้ามใจและอยากคอยปฏิบัติรับใช้เฉินซีเฉกเช่นมู่ขุย

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เนื่องจากสัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ เหตุใดพวกมันถึงต้องคอยประจบสอพลอกับข้าเยี่ยงนี้?

ตัวอย่างเช่น สยงผีของเทือกเขาปักษาวิญญาณ ผู้สืบทอดสายเลือดของสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาลอย่าง ‘หมีเทพจ้าวอหังการ’ ตัวตนของสยงผีนั้นน่านับถืออย่างหาที่เปรียบมิได้ และความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ห่างจากขอบเขตตำหนักอินทนิลอีกเพียงก้าวเดียว

‘เขาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพและให้เกียรติแก่ข้าเลยด้วยซ้ำกระมัง?’

“ผู้อาวุโส ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป ท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล และผู้บ่มเพาะสัตว์อสูรเยี่ยงพวกเรานับถือในความแข็งแกร่งเท่านั้น ตราบใดที่ความแข็งแกร่งของท่านแข็งแกร่งกว่า พวกเขาก็เต็มใจที่จะเป็นทาสรับใช้ของท่านหากท่านต้องการ” มู่ขุยซึ่งอยู่เคียงข้างเฉินซีดูจะตระหนักได้ถึงความสับสนของเฉินซี จึงกระซิบผ่านกระแสปราณไปสู่อีกฝ่าย “ท่านผู้อาวุโส จงกินและดื่มตามสบาย ในแง่ดีก็คือพวกเขามาที่นี่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับท่าน แต่ในแง่ที่ไม่ดีก็คือพวกเขามาที่นี่เพื่ออยากรู้ถึงตัวตนของท่าน”

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรหรือมนุษย์ พวกมันก็ไม่วายที่จะแสร้งประจบประแจงผู้มั่งคั่งและทรงพลังได้

พวกเขาดื่มสุราและกล่าวคุยกันอย่างเป็นกันเองจนเข้าสู่ยามพลบค่ำโดยไม่รู้ตัว

“ท่านผู้อาวุโส นี่คือน้ำเต้าดวงจิตสีคราม ที่เติบโตภายในถ้ำหินอัคนีของข้าและจะก่อตัวขึ้นทุก ๆ หนึ่งพันปีเท่านั้น มันประกอบไปด้วยมิติภายในที่ไม่เพียงจะสามารถบรรจุสุราชั้นดีได้ถึงสองพันห้าร้อยจิน แต่ยังมีคุณสมบัติอีกสองประการคือธาตุไฟและธาตุน้ำแข็ง ยามใช้ดื่มสุราก็สามารถแช่แข็งหรืออุ่นสุราได้ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะกรุณายอมรับมันไป” เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง สัตว์อสูรจุ้ยหม่านแห่งถ้ำหินอัคนี ก้าวมาข้างหน้าและมอบน้ำเต้าดวงจิตสีครามให้เป็นของขวัญ รูปร่างของมันเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ แต่กลับเปล่งแสงหมอกสีเขียวออกมา

“ท่านผู้อาวุโส นี่คือผลอาชาสวรรค์ทมิฬที่ขุดขึ้นมาจากส่วนลึกในทะเลสาบ ซึ่งจะทำให้รากฐานการบ่มเพาะมีเสถียรภาพมากขึ้น”

“เห็ดหลินจือกระดูกหยกของข้าได้รับการฟูมฟักภายในหินหลอมเหลวของแกนโลก มันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บใด ๆ ก็ตาม อีกทั้งยังมีสรรพคุณอันไร้ขอบเขต ผู้อาวุโส ท่านโปรดรับสิ่งนี้ไว้”

สัตวอสูรร่างมนุษย์เหล่านี้ได้เตรียมการมาก่อนแล้ว และพวกมันก็หยิบสมบัติหรือของวิเศษออกมาก่อนที่จะก้าวออกมา และมอบมันให้แก่เฉินซี

ชายหนุ่มตกตะลึงอย่างยิ่ง ในขณะที่มู่ขุยรับมอบสมบัติทั้งหมดด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติและไม่สงวนท่าทีเลยแม้แต่น้อย

“ฮึ่ม! พวกเจ้าแข่งขันเอาของที่ไร้ประโยชน์ออกมาหรือ?” สยงผีที่มักจะนั่งหลังตรงได้เปล่งเสียงอันเย็นยะเยียบอย่างฉับพลัน จนทำให้สัตว์อสูรตนอื่นตกตะลึง พวกเขาจ้องมองไปยังสยงผีด้วยสายตามืดมนอย่างยิ่ง

‘อืม…สัตว์อสูรตนนี้ดูเหมือนจะมีนิสัยตรงไปตรงมา’

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เมื่อเหล่าสัตว์อสูรเหล่านั้นนำสิ่งของของพวกเขาออกมาก่อนหน้านี้ ช่างดูแปลกใหม่และล้ำค่า แต่ของเหล่านั้นหาได้มีประโยชน์อันใดต่อการบ่มเพาะ ดังนั้นสิ่งที่สยงผีกล่าวมาก็ไม่ผิดนัก

“ฮึ่ม! สหายเต๋าสยง สวรรค์รู้ถึงความตั้งใจของพวกเราดี พวกเราไม่เหมือนเจ้าที่ไม่ได้มอบของขวัญอันใดเลยและรู้แต่วิธีประชดประชันเท่านั้น!”

“จริงอยู่ที่การบ่มเพาะของเจ้าสูงที่สุดในหมู่พวกเรา แต่ในยามนี้ พวกเรามาเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสเฉินซี เจ้ากลับตั้งใจหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความแตกแยก เจตนาของเจ้านั้นเลวร้ายยิ่งนัก”

“เจ้าคิดว่าสิ่งของที่พวกเรานำมานั้นไร้ประโยชน์หรือ? เอาล่ะ เจ้าเฒ่าสยง เจ้านำสิ่งที่มีประโยชน์ออกมาเพื่อให้เราได้เปิดหูเปิดตาเถิด!”

สัตว์อสูรทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่สยงผี พวกเขาบ้างก็ดูถูก บ้างก็เยาะเย้ย และถ้อยคำกล่าวของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความชิงชัง

เฉินซีมองไปยังมู่ขุยด้วยความสงสัย ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังคงไม่มีท่าทีใด ๆ และเขาก็กระซิบผ่านกระแสปราณ “จะไม่ห้ามหน่อยหรือ?”

“นิสัยของสยงผีเป็นเช่นนี้ การห้ามเขาจะทำให้ผู้อื่นไม่มีความสุข ท่านผู้อาวุโสโปรดรอดู ถ้าเขากล้าพูดเช่นนี้ ข้าคิดว่าเขาคงเตรียมพร้อมมาแล้ว” มู่ขุยรีบอธิบายผ่านกระแสปราณไปให้เฉินซีฟัง

มันก็เป็นอย่างที่มู่ขุยว่า สยงผีแสร้งเป็นหูหนวกจากการถูกเสียดสีและเยาะเย้ยโดยรอบ และซดสุราชั้นดีในถ้วยทั้งหมดภายในอึกเดียว ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนพร้อมกับสมบัติวิเศษที่พลันปรากฏอยู่ในมือของเขา

ของชิ้นนี้เปรียบเสมือนไผ่เรียวตรงสมบูรณ์และละเอียด มันมีความยาวสี่ฉื่อ ลำต้นมีสีเข้มสนิทและฉายแสงดำสลัว แม้ดูธรรมดา แต่ทันทีที่มันปรากฏขึ้น กลิ่นอายที่เย็นยะเยือกจนทำให้หัวใจสั่นสะท้านอย่างเงียบ ๆ ก็แผ่ออกมา

สิ่งนี้คือ…

สัตว์อสูรทั้งหมดต่างจ้องจนตาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อสายตา

สายตาของเฉินซีจดจ้องไผ่สีดำนี้เช่นกัน หลังจากที่เขาบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล ญาณสัมผัสของดวงวิญญาณของเขาก็ยกระดับขึ้น และชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าไผ่สีดำนี้มีพลังที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัว

พลังนั้นราวกับฟ้าร้องจากสวรรค์ทั้งเก้าและนำพากลิ่นอายแห่งการทำลายล้างมาด้วย ทำให้ใจของผู้คนต่างสั่นไหว

สยงผีที่มีร่างกายสูงและแข็งแรงเหมือนเนินเขาเล็ก ๆ กวาดสายตาไปโดยรอบ ในขณะที่เขาเอ่ยถามอย่างเย็นชา “กระบี่ไผ่ทองคำนิลที่ยาวสี่ฉื่อนี้พอจะเข้าตาพวกเจ้าได้หรือไม่”

กระบี่ไผ่ทองคำนิล?

เมื่อพวกเขาได้ยินชื่อนี้ สัตว์อสูรทั้งหมดต่างก็อ้าปากค้าง ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่ต้นไผ่สีดำ สายตาของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าและเกิดความโลภขึ้นมา

มันคือกระบี่ไผ่ทองคำนิล!

ในเวลาเดียวกัน เฉินซีได้เข้าใจในทันใด และความตกตะลึงนี้ก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา

เช่นเดียวกับชื่อของมัน กระบี่ไผ่ทองคำนิลเป็นศัสตราวิเศษที่มีคุณสมบัติทั้งธาตุโลหะและธาตุไม้โดยธรรมชาติ ลำต้นของมันคมกริบเหมือนกระบี่ สาเหตุที่มันหายากก็เป็นเพราะมันเติบโตเพียงหนึ่งชุ่นในทุกหนึ่งร้อยปีและต้องเผชิญกับการถูกฟ้าผ่าหลังจากนั้น หากมันสามารถทนต่อพลังของฟ้าผ่าและไม่ล้มตาย มันก็จะมีชีวิตรอดอีกหนึ่งร้อยปีและเติบใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งชุ่น อย่างไรก็ตาม กระบี่ไผ่ทองคำนิลส่วนใหญ่มักถูกฟ้าผ่าเป็นผุยผงในยามที่พวกมันแตกหน่อ และมีเพียงหนึ่งในหมื่นเพียงเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้อย่างปลอดภัย

ดังนั้นกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของสยงผีน่าจะคงอยู่มาถึงสามพันปีแล้ว มันย่อมเผชิญกับสายฟ้าผ่ามาแล้วไม่น้อยกว่าสามสิบครั้ง แต่ถึงแม้จะเผชิญกับฟ้าผ่านับหลายครั้ง มันก็ยังไม่ล้มตาย มันง่ายที่จะจินตนาการถึงความแข็งแกร่งที่กระบี่ไผ่ทองคำนิลได้ฟูมฟักมา

“ท่านผู้อาวุโส โปรดยอมรับสิ่งนี้!” สยงผีเดินมาเบื้องหน้าและประเคนสองมือขึ้นเพื่อมอบกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือให้แก่เฉินซี

สัตว์อสูรทั้งหมดจ้องมองอย่างตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาแทบจะเค้นสมองของพวกเขา ก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดสยงผีถึงยอมมอบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่เฉินซี

มู่ขุยรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน และกำลังจะช่วยรับแทนเฉินซี ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็หยุดเขาและกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “ศัสตรานี้ล้ำค่าเกินไป สหายเต๋าสยงโปรดเก็บรักษาไว้เถิด”

“สมบัติชิ้นนี้ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ในมือของข้า กินไปก็ไร้รสชาติ โยนทิ้งก็น่าเสียดาย มันจะสามารถสำแดงพลังของมันอย่างเต็มที่ยามอยู่ในมือของผู้อาวุโสเท่านั้น” สยงผียืนกรานที่จะมอบของขวัญนี้ให้แก่เฉินซีและไม่ยอมประนีประนอมใด ๆ

“เจ้ามีอะไรอยากจะร้องขอจากข้าหรือไม่” เฉินซีเงียบอยู่นานก่อนที่จะเอ่ยถาม สายตาของเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของสยงผี

สยงผีดูจะไม่แปลกใจเลยสักนิด และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “แน่นอน ตลอดชีวิตของข้าเฒ่าสยงไม่เคยร้องขอสิ่งใด ข้าขอเพียงผู้อาวุโสช่วยฆ่าราชาวานรทมิฬของถ้ำวารีกระซิบให้แก่ข้าที!”

ทันทีที่เขากล่าวจบ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกตะลึง

‘ฆ่าราชาของข้า!?’

บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกล รูม่านตาของปักษาวิญญาณที่มีขนสีขาวหรี่ลงก่อนจะกระพือปีกทะยานขึ้นสู่หมู่เมฆและหายลับไปอย่างรวดเร็ว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท